ตอนที่ 5 : สำเร็จและล้มเหลว
มือของหลินมู่ถูกดึงเข้าไปในช่องว่าง เขารู้สึกราวกับว่ามันจมลงไปในวารี แต่มันก็ไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น มันมิได้เย็นหรืออุ่นจนเขาบอกไม่ได้ว่าเขากำลังสัมผัสอยู่กับสิ่งใด เขาขยับมือไปรอบ ๆ พยายามจะดึงมือกลับมาแต่มันก็รู้สึกเหมือนกับว่าติดอยู่ หลินมู่ขยับมือไปมาในช่องว่างได้อย่างอิสระ แต่เขามิอาจมือกลับมาได้
ในใจของเขากำลังคลั่งเพราะไม่รู้ว่ากำลังพบเจอกับสิ่งใด เขาไม่เคยเห็นหรือไม่ยินเรื่องราวเช่นนี้มาก่อน เขาคิดว่ามือเขาอาจจะติดอยู่ในนั้นไปตลอดกาลถ้าหากเขาไม่รีบดึงออกมาโดยเร็ว เขาพยายามตะโกนขอความช่วยเหลือแต่ที่นี่ก็ไกลจากเมืองมาก มันไม่มีใครอยู่ใกล้ ๆ เลย เขาทำได้แค่หวังว่าจะมีนายพรานที่ผ่านมาได้ยินเสียงเรียกร้องของเขา
‘ข้าจะดึงมือออกมายังไง!? จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ แล้วเร็ว ๆ นี้ก็ไม่น่าจะมีใครมาช่วยข้าด้วย ข้าอยู่ไกลเมืองเกินไป นายพรานก็ไม่มาล่าที่ชายป่าเช่นนี้เหมือนกัน ตรงนี้ไม่มีสัตว์ป่าให้เสียเวลามาเดินสำรวจ แต่ข้าทำได้แค่ลอง’
หลินมู่ไม่รู้ตัวเลยว่าถ้าหากมีผู้บ่มเพาะพลังคนใดผ่านมาเห็น พวกเขาคงจะตกใจยิ่งกว่าตัวหลินมู่เอง รอยแยกมิติที่กลืนมือของเขาไปนั้นแทบจะไม่มีทางได้เห็นแม้ว่าจะเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตเปลือกวิถีที่มีสมบัติจิตช่วยและใช้พลังทั้งหมด แต่ถึงแม้กระนั้น มันกลับเกิดกับคนที่ไม่ใช่ผู้บ่มเพาะพลังและเพิ่งจะมีร่างกายระดับสี่เท่านั้นเอง
เขาไม่รู้เลยว่าที่หลายหมื่นกิโลเมครห่างออกไปจากตัวเขา ในนิกายกฎนภา ศิษย์ในยอดจับดารากำลังแตกตื่นและพยายามจะหาตำแหน่งของมิติปั่นป่วนที่พวกเขาตรวจเจอ เพราะมันเกิดมาเป็นเวลาสิบนาทีหลังจากที่พวกเขารับรู้และมันยังไม่หายไปไหน
หลินมู่ยังคงขยับมือไปมาในรอยแยกมิติ เขาพยายามจะดึงมือออกมาให้ได้ ในตอนนั้นเองนิ้วของเขาได้แตะบางสิ่งบางอย่าง มันเป็นครั้งแรกที่เขาได้แตะบางอย่างที่มีรูปร่างในรอยแยก เขาพยายามจับมันอีกครั้งแต่ก็มิอาจหามันเจอ เป็นเวลาสิบห้านาทีแล้วที่มือของเขาติดอยู่ในรอยแยก และเขาเห็นได้เลยว่ารอยแยกกำลังแคบลงเรื่อย ๆ ราวกับจะปิดตัวลง มันยิ่งทำให้เขากังวล เขาคิดว่าถ้าเขาไม่ดึงมือออกมาตอนนี้ มือของเขาอาจจะขาดสะบั้นไป
หลินมู่ที่พยายามขัดขืนชะตาอย่างบ้าคลั่งนั้นพยายามทุกวิถีทางเพื่อที่จะรักษามือของตัวเองเอาไว้ เมื่อรู้สึกว่ามือได้แตะกับบางอย่างอีกครั้ง ครั้งนี้เขาก็กำมันไว้แน่น เขาที่ถือสิ่งของในมือรู้เสึกว่ารอยแยกมิติที่ดึงมือเขาเข้าไปคลายตัวออก เขาไม่รอช้ารีบดึงมือออกอย่างรุนแรงเป็นครั้งสุดท้ายด้วยแรงทั้งหมดที่มี และในที่สุดมือของเขาก็หลุดออกมา
หลินมู่มองดูมือตัวเองจนแน่ใจว่าไม่มีอันตรายเกิดขึ้นกับมือของเขาเลย เขาขมวดคิ้วมองต้นตอของปัญหารอยแยกมิติครั้งนี้ และเขาก็พบว่ารอยแยกกำลังปิดตัวลง รอยแยกสีดำค่อย ๆ สมานเข้าหากันและปิดตัวอย่างช้า ๆ ไม่เหลือร่องรอยใดทิ้งไว้ หลินมู่ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและล้มลงไปกองกับพื้น เขาหลับตาพักเหนื่อย การดิ้นรนตลอดสิบห้านาทีนั้นทำให้เขาเหนื่อยล้าอย่างมาก
หลังพักได้สิบนาที หลินมู่ลากตัวเองกลับมาที่กระท่อมนายพรานเพื่อกินและหลับใหล ดวงตะวันเริ่มตกดิน อีกไม่นานจะเข้าสู่ยามวิกาล หลินมู่ที่กำลังกลับกระท่อมหยิบหม้อต้มที่แอปเปิ้ลไว้และเริ่มกิน เขากลืนทุกชิ้นในหม้อด้วยความหิว เขานอนแผ่ลงบนแผ่นไม้คิดถึงเรื่องทั้งหมดที่ได้เจอในวันนี้
วันนี้เต็มไปด้วยเรื่องน่าทึ่งและน่าหวาดหวั่น ประการแรกเขาต้องไปอยู่ในพื้นที่อันมืดมิดที่มีแท่นบูชาที่เกิดจากอักษรโบราณเรืองแสง เขาได้พระสูตรสงบใจที่ทำให้เขาทะลวงพลังมาเป็นขั้นสี่ เขาตื่นเต้นมากกับการที่ตัวเองจะได้เป็นผู้บ่มเพาะพลังและทำฝันให้เป็นจริง แต่จู่ ๆ เขาก็โดนดึงมือของตัวเองออกไปโดยรอยแยกมิติที่กลืนมือเขาไป
เขารู้สึกหวาดกลัวอย่างมากในตอนที่มือติดอยู่ในรอยแยก เพราะเขาคิดว่ามือตัวเองอาจจะขาดไปในนั้นเลยก็ได้ จนกระทั่งเขาได้เจอบางอย่างในรอยแยกและดึงมือออกมา พูดถึงเรื่องสิ่งของในรอยแยกนั้น เขาหามันไม่เจอในตอนที่ดึงมือออกมา มันไม่ได้อยู่ในมือเขาเลย ราวกับว่ามันหายไปโดยที่เขาไม่รู้ว่ามันหายไปที่ใด เขาพยายามคิดย้อนกลับไปจนเหนื่อยอ่อนและนอนหลับก่อนจะตื่นมาจัดการทุกสิ่งในวันต่อไป
ณ นิกายกฎนภา ยอดจับดารา
เหล่าศิษย์นิกายทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อหาตำแหน่งที่เกิดมิติปั่นป่วน แม้ว่าจะผ่านมาสิบห้านาทีแต่พวกเขาก็มิอาจระบุตำแหน่งที่ชัดเจนให้แคบลงได้ มีศิษย์นิกายถึงยี่สิบห้าคนที่นั่งเรียงกันตามตำแหน่งบนค่ายกล พวกเขาควบคุมมันเพื่อหาร่องรอยของมิติปั่นป่วน เหงื่อผุดออกมาบนหน้าผากหลังจากพยายามสุดความสามารถโดยเฉพาะผู้เฒ่าฮั่นที่มาขอให้พวกเขาทำสุดฝีมือด้วยตัวเองในการหาตำแหน่ง และมันยังเป็นคำสั่งของเจ้านิกายเองด้วย ศิษย์ทุกคนล้วนเป็นหัวกะทิของนิกาย พวกเขาถูกคัดเลือกมาอย่างดีหลังจากการทดสอบ
ศิษย์ชุดสีเทานั่งอยู่ด้านบนค่ายกล ที่อกด้านซ้ายมีดราปักเอาไว้เป็นรูปภูเขาที่มีแผ่นแบนราบเหนือมันและดาวตกที่ซัดลงมา นี่คือสัญลักษณ์ของยอดจับดารา ศิษย์ทุกคนมีมันปักอยู่บนเสื้อ ส่วนศิษย์อันดับหนึ่งจะปักด้วยด้ายสีเงิน และศิษย์คนอื่นทั้งหมดจะปักด้วยด้ายดำ
จู่ ๆ ค่ายกลก็เริ่มหม่นแสงลง ศิษย์ที่นั่งอยู่ในค่ายกลต้องเค้นพลังปราณออกมาให้มันคงอยู่นานขึ้น แต่สุดท้ายมันก็หายลับไปพร้อมกับตำแหน่งมิติปั่นป่วนที่หายไปด้วย ศิษย์อันดับหนึ่งถอนหายใจยาว เขาหันไปมองศิษย์นิกายคนอื่นที่เหนื่อยอ่อนจากการใช้ปราณจนหมด ศิษย์น้องคนหนึ่งยืนขึ้นจากค่ายกลและเดินมาประสานมือคารวะเขา
“ศิษย์พี่หลี่จิง พวกเราหาแม้แต่ตำแหน่งคร่าว ๆ ยังมิได้ โปรดลงโทษพวกข้ากับความล้มเหลวนี้เถอะ”
ศิษย์อันดับหนึ่งมองด้วยความผิดหวัง เขาถอนหายใจยาวอีกครั้ง
“พวกเจ้าทั้งหมดหาใช่คนผิดไม่ นี่เป็นงานที่ยากมาก ไม่ว่ามันจะผิดปกติเพียงใด มันก็อาจบุกเข้ามาที่ขอบโลกได้ นับว่าปาฎิหาริย์แล้วที่เรารักษาค่ายกลให้อยู่ได้สิบห้านาที ข้าจะรายงานทุกเรื่องกับผู้เฒ่าฮั่นด้วยตัวเอง ข้ามั่นใจว่าผู้เฒ่าจะต้องเข้าใจเรา”
ศิษย์คนอื่นเองก็ลุกขึ้นและคารวะศิษย์อันดับหนึ่งหลี่จิง
หลี่จิงหยิบหยกสื่อสารและติดต่อผู้เฒ่าฮั่นรายงานเรื่องความล้มเหลวในการระบุตำแหน่งมิติปั่นป่วน และแจ้งตำแหน่งที่เป็นไปได้ของที่มาในมิติปั่นป่วนไป
ตอนนี้ผู้เฒ่าฮั่นอยู่ในหอภารกิจ เขาพูดกับผู้เฒ่าที่ดูแลหอภารกิจในการออกภารกิจและหาศิษย์ที่เหมาะสมในการออกไปสืบเรื่องมิติที่ประหลาด ผู้เฒ่าฮั่นรู้สึกว่าหยกสื่อสารของเขาสั่นอีกครั้ง
เขารับรายงานจากศิษย์อันดับหนึ่งในหอจับดาราหลี่จิงและคำขออภัยที่มิอาจระบุตำแหน่งที่ชัดเจนได้ อันที่จริง ผู้เฒ่าฮั่นตกใจมากที่พวกเขาสามารถยื้อค่ายกลไว้ได้ถึงสิบห้านาทีและเจอการสั่นไหวของมิติ
แม้ว่าศิษย์ทุกคนในยอดจับดาราจะมีพลังในขอบเขตรวมแกนและหลี่จิงที่อยู่ในขอบเขตรวมแกนขั้นสูงสุด การควบคุมค่ายกลยอดจับดาราไว้เป็นเวลานานจะทำให้พวกเขาใช้ปราณจนหมดสิ้น เขาบอกหลี่จิงว่ามิต้องกังวลกับโทษที่จะได้รับและบอกให้เขาทำให้ดีที่สุด แม้จะเป็นการจำกัดพื้นที่จากแดนเหนือลงได้สามในสี่ส่วน มันก็ยังจะทำให้ลดเวลาในการสืบเรื่องได้เป็นอันมาก
แต่ทั้งผู้เฒ่าฮั่นและศิษย์ยอดจับดาราไม่รู้เลยว่าที่ค่ายกลอยู่ได้นานถึงสิบห้านาทีหาใช่เพราะความพยายามของพวกเขา แต่เป็นเพราะรอยแยกมิติที่อยู่ได้นานขนาดนั้นต่างหาก มิเช่นนั้นพวกเขาจะไม่เจออะไรเลย
หลินมู่ที่ไม่รู้เลยว่าเกิดสิ่งใดขึ้นในระยะหลายหมื่นกิโลเมตรจากเขา ณ นิกายใหญ่ในจักรวรรดิโจว เขากำลังหลับใหลลึกล้ำ เมื่อหลับลงไปนั้น เขาพบว่าตนอยู่ในที่มืดที่เดิมอีกครั้ง
“...ทำไมข้าถึงมาที่นี่อีกล่ะ?”