ตอนที่ 4 : มิติปั่นป่วน
หลายหมื่นกิโลเมตรห่างไกลจากเมืองอยู่หลิมยังมีภูเขาสูงเสียดฟ้าล้อมรอบโดยขุนเขาที่เล็กกว่าหลายร้อยลูก ซ่อนอยู่ในหมอกพิศวง สวนสวรรค์ตั้งอยู่และเต็มไปด้วยเสียงร้องของสรรพสัตว์ กลิ่นสมุนไพรจิตที่หอมกว่าที่ใด และเมฆาปราณจิตที่หนาแน่น
ในภูเขาที่เล็กกว่านั้นจะเห็นเหล่าศิษย์หลายพันคนเคลื่อนไหว บ้างก็ฝึกฝนในลาน บ้างก็ขายวัตถุดิบล้ำค่า โอสถ และอาวุธอยู่ในตลาด บ้างก็บ่มเพาะพลังในหอ
ที่นี่คือนิกายใหญ่ที่สุดในจักรวรรดิโจวอันยิ่งใหญ่ มีศิษย์หลายล้านคนและมีพื้นที่ที่ใหญ่ยิ่งกว่าประเทศใดในจักรวรรดิ แม้แต่เมืองหลวงขนาดใหญ่ยังเล็กกว่าที่นี่สิบเท่า ที่นี่ยังเป็นหนึ่งในไม่กี่นิกายในจักรวรรดิโจวที่มีผู้เฒ่าในขอบเขตย่างวิถีบ่มเพาะพลังอยู่ อีกทั้งยังมีข่าวลือว่ามีบรรพบุรุษเซียนปิดประตูฝึกตนอยู่ด้วย
ณ จุดสูงสุดของนิกาย มีตำหนักสง่างามที่ประดับประดาด้วยรูปปั้นสื่อลางดี ประตูเคลือบทอง และสระน้ำงดงามที่มีปลาสีสันสดใสแหวกว่าย ที่นี่คือตำหนักใหญ่แห่งนิกาย ที่เจ้านิกายและผู้เฒ่าอันดับสูงอาศัยอยู่และใช้ดูแลจัดการนิกาย
ภายในห้องขนาดใหญ่มีชายวัยกลางคนสวมชุดนักพรตขาวนั่งอยู่ ผมยาวเก็บรวบโดยปิ่นเงิน เคราตรงยาวถูกดูแลอย่างดี ชายคนนี้นั่งด้วยความสงบ แต่ดวงตาของเขาแสดงความสง่าผ่าเผย มือซ้ายมีตราหยก มือขวามีม้วนคัมภีร์ เขากำลังหมกมุ่นกับการอ่านขณะที่ประตูเปิดพร้อมกับผู้เฒ่าชุดดำที่เดินเข้ามา
ผู้เฒ่าชราในชุดดำมีผมขาวยาวเหมือนกับเคราขาวยาว บนใบหน้าไม่มีแม้แต่ริ้วรอยเดียว ชายขอบชุดดำมีลายทองปักไว้ระบุตำแหน่งหัวหน้าผู้เฒ่า ผู้เฒ่าเดินหาเจ้านิกายผู้ที่กำลังอ่านคัมภีร์และรอสิบห้านาทีกว่าเจ้านิกายจะอ่านจบ
เมื่อเจ้านิกายอ่านม้วนคัมภีร์จบ เขายกตราหยกโบกปะทุคลื่นปราณจิตมากมายออกมา จากนั้นเขาจึงประทับตราหยกลงบนคัมภีร์ คลื่นปราณจิตได้หยุดบนคัมภีร์เป็นตราสัญลักษณ์สีทองที่เกิดจากปราณบริสุทธิ์เข้มข้น
เจ้านิกายม้วนคัมภีร์วางไว้บนโต๊ะข้างกายที่มีคัมภีร์อีกหกม้วนวางอยู่ เขามองผู้เฒ่าชุดดำและถาม
“มีสิ่งใดรายงานรึ ผู่เฒ่าฮั่น? คงเป็นเรื่องสำคัญใช่หรือไม่ มิเช่นนั้นท่านคงส่งศิษย์คนอื่นมารายงานแทนมาด้วยตัวเองเช่นนี้”
ผู้เฒ่านามฮั่นยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบ
“ท่านเจ้านิกายหลักแหลมเช่นเคย…ข้ามีเรื่องรายงานอย่างที่ท่านว่า ข้าจะบอกท่านสองเรื่อง เรื่องแรกคือองค์ชายได้ทะลวงพลังเป็นขอบเขตรวมแกนที่อายุ 20 ปี กลายเป็นคนอายุน้อยที่สุดที่ทะลวงพลังเป็นขอบเขตรวมแกนได้ในทุกประเทศของจักรวรรดิโจว แน่นอนว่าไม่รวมศิษย์หลักของสามนิกายสูงสุด ในการเฉลิมฉลองเรื่องนี้ จักรพรรดิจัดงานเทศกาลใหญ่และเชิญตระกูลขุนนางทั้งหมดรวมถึงนิกายสูงของจักรวรรดิด้วย”
เจ้านิกายพูดอย่างไม่ประทับใจ
“ฮื่ม นี่คือสาเหตุของงานเลี้ยงที่จักรพรรดิจัดสินะ เพราะองค์ชายหนึ่งไม่คิดจะรับราชสมบัติตลอดที่ผ่านมา องค์ชายสองถึงได้รับตำแหน่งผู้ครองราชย์แทน และเมื่อองค์ชายสองสำเร็จครั้งนี้ ตำแหน่งผู้ครองราชย์จึงยิ่งหนักแน่น ข้าไม่อยากจะคิดเลยว่าราชินีต้องลงทุนให้บุตรชายเพียงใดถึงได้เป็นขอบเขตรวมแกนรวดเร็วเช่นนี้”
ผู้เฒ่าฮั่นมองเจ้านิกายวัยกลางคนพลางคิด
‘กว่า 30 ปีมาแล้วที่เขาได้ตำแหน่งเจ้านิกาย แต่ความสงสัยใฝ่รู้ดั่งคนหนุ่มยังไม่จางหายไปที่ใด เป็นการคิดอ่านที่ถูกต้องยิ่งนักจากเจ้านิกายคนก่อนที่เลือกเขาแทนคนอื่น’
จากนั้นจึงพูด
“เหล่าศิษย์หอเงารายงานว่าราชินีได้ทำข้อตกลงกับนิกายโอสถสายรุ้ง ไม่รู้ว่ามีข้อตกลงกันเช่นใด หากท่านต้องการ ข้าจะขอให้ศิษย์หอเงาสืบเรื่องลึกลงไป อีกเรื่องคือ จะมีงานประลองจัดขึ้นในงานฉลองเพื่อให้คนหนุ่มสาวได้มาแสดงความสามารถด้วย”
เจ้านิกายดูสนใจขึ้นมาเล็กน้อย
“จงทำตามนั้น ให้หอเงาสืบเรื่องต่อไป แล้วก็เลือกศิษย์ที่เหมาะสมกับผู้เฒ่าหนึ่งคนไปเป็นตัวแทนนิกายเราร่วมงานฉลองและงานประลองด้วย”
เจ้านิกายพักก่อนจะพูดต่อ
“ส่วนเรื่องที่สองเล่า ท่านมีอะไรอีก?”
ในตอนนี้ผู้เฒ่าฮั่นสายตาจริงจัง เขาพูดด้วยใบหน้าแข็งทื่อ
“ยอดจับดาราพบเห็นมิติปั่นป่วนมาทางจักรวรรดิ”
เจ้านิกายสอบด้วยใบหน้าสงบ
“นั่นมิใช่เรื่องทั่วไป แต่ข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดเราต้องกังวล ดาวตกหล่นมาทั่วไปทุกปีทั้งจักรวรรดิอยู่แล้ว ต่อให้ใช้ค่ายกลจับดาราก็มิอาจจับดาวตกทั้งหมดในค่ายกลได้”
ผู้เฒ่าฮั่นตอบ
“มันจะมิใช่เรื่องใหญ่หากเป็นแค่ดาวตก แต่เราไม่รู้ว่ามันคือสิ่งใด หรือผู้ใด มันทำให้เกิดมิติปั่นป่วนไแล้ว แต่ก็มิเคยได้สัมผัสพื้นโลก เพียงแค่ผ่านไปราวไร้ตัวตน มิอาจรู้ได้เลยว่ามันไปตกที่ใด”
ใบตอนนี้ เจ้านิกายตกตื่น เพราะเขารู้ว่ามันหมายความว่าอะไรหากขอบเขตของโลกไม่ได้รับผลกระทบแต่ก็ยังเกิดมิติปั่นป่วน มันคงจะไม่เป็นไรถ้าหากเป็นเพียงแค่วัตถุดิบล้ำค่าหรืออาจจะเป็นสมบัติสักชิ้น แต่ถ้าหากเป็นมุนษย์ สถานการณ์จะยิ่งซับซ้อนกว่าเป็นร้อยเท่า
“ผู้เฒ่าฮั่น ท่านรู้ว่ามันอาจหมายความอย่างไรใช่หรือไม่? ถ้าหากเป็นเรื่องใหญ่อย่างที่เราคิด เราต้องส่งข่าวบอกนิกายอื่นรวมถึงจักรพรรดิด้วย เหตุการณ์เพิ่งสงบเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราไม่อยากให้เกิดสิ่งใดหรือปัจจัยใดมากระทบกับแผนการระยะยาวของเราอีก”
ผู้เฒ่าได้ฟังและมองอย่างเข้าใจ เขาพูด
“จริงดั่งท่านว่า หวังว่าจะไม่เป็นเช่นนั้นเถิด ในตอนนี้ ข้าจะบอกให้ผู้เฒ่าจากยอดจับดาราตรวจสอบเรื่องมิติปั่นป่วนด้วยตัวเอง แม้ว่าเราจะยังไม่รู้ว่ามันไปตกที่ใดก็ตาม”
ขณะที่ผู้เฒ่าฮั่นพูด หยกสื่อสารที่แขวนเอวไว้สั่นสะเทือน เขาหยิบขึ้นมาฟังข้อความและพูดกับเจ้านิกาย
“ศิษย์จากหอจับดาราเพิ่งจะพบมิติปั่นป่วนอีกจุด มันเบาบางกว่าก่อนหน้านี้มากและเราไม่รู้ว่ามันเกิดจากสิ่ง ๆ เดิมหรือไม่ แต่เรารู้แล้วว่ามันมาจากแดนเหนือ”
หลังจากฟังคำผู้เฒ่าฮั่นพูด เจ้านิกายครุ่นคิดอยู่นาทีหนึ่งก่อนตอบ
“ส่งผู้เฒ่าหนึ่งคนกับศิษย์จำนวนหนึ่งไปสืบที่แดนเหนือ ส่งรายงานเรื่องนี้ไปที่ผู้เฒ่านอกนิกายในทุกพื้นที่ ขอให้จับตามองเรื่องมิติปั่นป่วนในพื้นที่ของตัวเองด้วย เผื่อว่าอาจเกิดเรื่องในแดนเหนือ ส่วนความผิดปกติอาจเกิดในที่อื่นด้วย”
ผู้เฒ่าฮั่นประสานมือตอบ
“น้อมรับบัญชาใต้เท้า ข้าควรจัดให้เป็นภารกิจทั่วไปกับศิษย์ทั้งหมดในนิกายในการหาข่าวเรื่องมิติปั่นป่วนหรือเหตุผิดปกติหรือไม่?”
“ย่อมได้ เราอาจจะหาข้อมูลจากศิษย์ธรรมดา ๆ หรือเบาะแสที่ศิษย์คนอื่นทำภารกิจนอกนิกายอาจจะพบเจอ”
ผู้เฒ่าฮั่นยังคงประสานมือ ขเาพูดต่อ
“เราควรจะบอกนิกายพันธมิตรอื่นให้คอยฟังข่าวลือด้วยหรือไม่?”
เจ้านิกายดูเหนื่อยหน่าย เขาพูด
“ไม่ อย่าเพิ่งบอกพวกเขา ไม่ต้องบอกจนกว่าเราจะได้ข้อมูลมากกว่านี้ อย่าไปกวนน้ำให้ขุ่นถ้าไม่ได้อะไรกลับมา”
ผู้เฒ่าฮั่นพยักหน้าและหันกลับเดินจากไป เจ้านิกายพูดขึ้นมาอีกครั้งด้วยเสียงหม่นหมอง
“จงบอกศิษย์ทุกคนที่ออกไปทำภารกิจสืบข่าวด้วยว่าให้ทิ้งเศษปราณไว้ในห้องวิญญาณ ให้ยันต์สองแผ่นกับศิษย์ทุกคน ใบหนึ่งเป็นแบบธรรมดา ส่วนอีกใบเป็นของสำหรับเตือนนิกาย อย่างน้อยเราจะได้รู้ว่ากำลังเจอกับสิ่งใดอยู่”
ผู้เฒ่าฮั่นมองอย่างเข้าใจว่าสถานการณ์อาจจะเลวร้ายอย่างที่พวกเขาคิด นี่เป็นวิธีระวังภัยทางเดียวที่พวกเขารู้ เพราะผู้เฒ่าหรือศิษย์ในนิกายอาจจะไม่กลับมาอีกเลยก็ได้
“ตามท่านบัญชา ใต้เท้า ข้าจะจัดการตามท่านบอก”
ผู้เฒ่าฮั่นเดินออกจากห้องไปทางหอภารกิจเพื่อเลือกศิษย์ที่จะส่งไปสืบ และยังแจ้งยอดจับดาราให้ดำเนินการตามที่หารือกันไว้ด้วย
เมื่อประตูห้องใหญ่ปิด เจ้านิกายนำมือจับคางและหลับตาคิดทุกความไปได้ที่อาจเกิดขึ้น เพราะเขารู้ว่าแม้แต่เรื่องเล็กน้อยที่สุดก็อาจนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ได้ และการเปลี่ยนแปลงจะทำให้เกิดอันตรายต่อนิกายที่เขาต้องการหลีกเลี่ยง เพื่อที่เขาจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับเจ้านิกายคนก่อนที่แต่งตั้งเขาขึ้นมา