ตอนที่ 3 : แหวนประหลาด
หลินมู่พบว่าตัวเขาอยู่ในที่มืดอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาเห็นร่างกายตัวเองได้อย่างชัดเจนแม้ว่าจะไม่มีต้นกำเนิดแสงเลย หลินมู่ไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงมาอยู่ที่นี่ เขากลัวและอดคิดไม่ได้ว่าตัวเองกลับมาในความฝันเดิม
“ข้าจะออกไปจากที่นี่ยังไง? หรือแค่ต้องรอจนกว่าข้าจะตื่นไปเอง? …ไหน ๆ ก็อยู่นี่แล้ว เดินรอบ ๆ สำรวจที่นี่คงดีกว่า”
หลังจากเดินในที่มืดได้ครู่หนึ่ง ดวงตาหลินมู่ก็เริ่มคุ้นชินกับความมืดและเห็นได้อย่างชัดเจนขึ้น เขามองไปยังทุกทิศทางและเห็นแสงจาง ๆ มาจากจุดหนึ่ง เขาเดินไปหามันเพราะอยากรู้ว่ามันคือสิ่งใด ขณะที่เดินไปหาแสง หลินมู่ก็ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงบนท้องฟ้าอันมืดมิด
“ริ้วแสงจาง ๆ บนฟ้านั่นมันอะไร? ข้าไม่เคยได้ยินว่ามีปรากฏการณ์เช่นนี้มาก่อน ข้าคงอยู่ในฝันไม่ผิดแน่”
มีริ้วแสงสีเงินและสีเทาบนท้องนภาซึ่งจะจางหายไปในความมืดและปรากฏขึ้นใหม่อีกครั้ง เห็นริ้วแสงเหล่านั้นได้หลายพันสายราวกับว่าพวกมันร่ายรำเป็นรูปแบบประหลาดอย่างเป็นจังหวะ ไม่กี่นาทีผ่านไป หลินมู่ก็ได้เดินมาถึงต้นกำเนิดแสงจางจากระยะไกล ในระยะนี้เขาเห็นว่ามันเป็นแท่นบูชาที่เกิดจากอักษรโบราณที่เรืองแสงอ่อนและข้อความลึกลับที่ลอยอยู่บนอากาศ อักษรเหล่านั้นลอยร้อยเรียงกันเป็นรูปลักษณ์ของแท่นบูชาที่ไม่มีสิ่งใดจับต้องได้เลย
“ตัวหนังสือพวกนี้คล้ายกันอักษรที่สลักไว้ในวัดเก่าเมืองอู๋หลิม แต่มันถูกใช้โดยผู้บ่มเพาะพลังที่ใช้ทำค่ายกลปราณไม่ใช่รึ? ทำไมถึงมาอยู่ในฝันข้าได้?”
หลินมู่ยังจำได้ว่าครั้งที่เขาไปเมืองอู๋หลิมกับพ่อในงานปีใหม่เมื่อสองปีก่อน พ่อพาเขามายังวัดเก่าเพื่อคารวะ แต่สามัญชนมิอาจเข้าไปด้านในได้ พวกเขาจึงได้แต่คารวะอยู่ด้านนอก เขาจำได้ว่าพ่อเห็นเขาจ้องมองอักษรที่สลักเอาไว้ในวัดเก่า พ่ออธิบายว่าอักษรสลักเหล่านั้นใช้เพื่อสร้างค่ายกลปราณโดยผู้บ่มเพาะปราณ ซึ่งใช้ได้ในหลายวิธี เช่นการเสริมแกร่ง เพิ่มพลัง จู่โจม ป้องกัน และอีกหลายวิธี
เมื่อหลินมู่เดินเข้าใกล้แท่นบูชา อักษรโบราณเหล่านั้นก็ยิ่งส่องสว่างขึ้น หลินมู่ที่อยากจะแตะอักษรวางมือลูบแท่นและพบว่ามันแข็งแรงแม้จะไม่มีสสารยึดเกาะ จากนั้นเขาก็รู้สึกเจ็บอย่างรุนแรงในศีรษะ ข้อมูลมหาศาลหลั่งใหลเข้ามาในสมอง เสียงสวดประหลาดดังก้องในใจ เกิดรอยประทับด้านในนั้น
“พระสูตรเก้าจิตเทพ ย่อยเป็นแก่นแห่งเก้าวิถี เข้าถึงล้านดวงใจเป็นหนึ่งและขึ้นไปสู่วิถีแห่งจักรวาลยิ่งใหญ่”
เมื่อเสียงสวดในใจหยุดลง หลินมู่พบว่าตัวเองกลับมายังกระท่อมพรานหลังเก่า เป็นเวลาครู่หนึ่งที่เขาตาพร่ามัวและนึกจำได้ว่าตนอยู่ที่ใด เขาตรวจดูร่างกายตัวเองและพบว่าทุกอย่างปกติดี เขาพยายามจำบทสวดที่ดังในใจ แต่ก็จำได้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น เขาพยายามนึกท่อนที่เหลือแต่ก็ราวกับว่ามันมีม่านหมอกที่บดบังความทรงจำอยู่
“ข้าจำได้แค่ท่อนแรก พระสูตรสงบจิต ลองท่องดีไหมนะ? ไม่น่าจะอันตรายถ้าข้าลอง…”
หลินมู่เริ่มท่องพระสูตรสงบจิต ในทีแรกเขาไม่รู้สึกสิ่งใด แต่หลังจากท่องจนจบ เขาก็รู้สึกว่ามีคลื่นสงบกระจายไปทั่วร่างกาย ราวกับว่าสิ่งที่เขากังวลทั้งหมดได้ถูกชะล้างหายไป ความรู้สึกอันสุดยอดนี้คงอยู่หลายนาทีก่อนจะจางหายไปสู่ภาวะปกติ และหลินมู่ก็กลับมาเป็นตัวเองอีกครั้ง
“ความรู้สึกอะไรกัน ข้ารู้สึกได้ถึงทุกส่วนของร่างกายอย่างชัดเจน การไหลเวียนของโลหิต คลื่นพลังเล็ก ๆ ในกล้ามเนื้อ ข้าต้องลองอีกรอบ”
หลินมู่ท่องบทสวดอีกครั้ง ความรู้สึกสงบชะล้างหลินมู่ไปทั้งตัว ครั้งนี้เขาพยายามสัมผัสคลื่นพลังที่ทำให้กล้ามเนื้อของเขาเคลื่อนไหว เมื่อเพ่งสมาธิอยู่กับคลื่นพลัง มันทำให้พลังเข้มข้นขึ้นและเขารู้สึกว่ามีพลังกำลังเติมเข้ามาในร่างกายมากเสียยิ่งกว่าตอนเช้าที่เขาสวมแหวนลึกลับเข้ามา
“ฮ่าฮ่า ข้ามีร่างกายขั้นสี่แล้ว! โชคดียิ่งนัก ทะลวงพลังสองขั้นในวันเดียว! บทสวดนี่จะต้องเป็นวิชาบ่มเพาะร่างกายแน่นอน คลื่นพลังที่เหมือนกับตอนที่ข้าสวมแหวน มันคงเป็นพลังนั่น แหวนวงนี้คือสมบัติอย่างแน่นอน หรือมันจะเป็นแหวนมิติเก็บของที่ผู้บ่มเพาะปราณใช้กันนะ?”
หลินมู่ในตอนนี้ไม่ต้องการขายแหวนอีกแล้ว มีเพียงแค่โง่เท่านั้นที่จะปล่อยโอกาสที่จะมอบแต่ประโยชน์ให้หลุดมือไป ส่วนแหวนจะเป็นแหวนมิติหรือไม่นั้น เชามิอาจยืนยันได้เพราะเขายังไม่เป็นผู้บ่มเพาะปราณ และเขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองไปลงเอยอยู่ในที่มืดที่มีแท่นบูชาที่เกิดจากอักษรโบราณเรืองแสงได้อย่างไร
คิดเช่นนี้แล้ว เขาอาจจะทำความฝันที่มีมาอย่างยาวนานในการเป็นผู้บ่มเพาะปราณให้เป็นจริงก็ได้ เขารู้สึกตื่นเต้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ความรู้สึกเศร้าหมองทั้งหมดจากเมื่อวานได้หายไปสิ้น
“ถ้าข้าเป็นผู้บ่มเพาะพลัง ข้าจะซื้อบ้านคืนแล้วก็ไม่ต้องก้มหัวให้ใครอีกแล้ว! ข้าจะเดินหน้าตรงได้อย่างภาคภูมิใจ ส่วนคนในเมืองก็ต้องเคารพนับถือข้า”
หลินมู่ที่รู้จุดมุ่งหมายในชีวิตแล้วได้เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น แม้ว่าเขาจะรู้ว่าถ้าเขาอยากจะเป็นผู้บ่เพาะปราณ เขาจะต้องการทรัพยากรเช่นสมุนไพรและเนื้อสัตว์ป่าดุร้ายที่เต็มไปด้วยพลังชีวิต เขามิอาจล่าสัตว์ป่าที่มีพลังอัดแน่นในเนื้อหนังในป่าได้เพราะเขายังไม่แข็งแกร่งพอ ทำเช่นนั้นไม่ต่างกับรนหาที่ตาย ในเวลานี้เขาสามารถวางกับดักจับสัตว์เล็ก ๆ ได้ แต่มันก็ทำได้แค่ดับความหิวและไม่ช่วยให้เพิ่มพลังมากนัก
“สงสัยคงต้องกลับไปทำกับดักจับสัตว์เล็กอย่างกระต่ายเขาดำกับหนูหางหนาม ต่อให้ขายไม่ได้ราคา มันก็ยังเอาไปขายในเมืองได้ ข้าต้องหาทางเก็บเงินให้มากพอจะซื้ออาวุธเพื่อสังหารสัตว์ที่แข็งแกร่งกว่า”
หลินมู่เดินไปหาร่องรอยสัตว์เล็กเพื่อค้นหาจุดวางกับดัก เมื่อเจอร่องรอย เขาใช้เถาวัลย์ที่อยู่ในป่าเหนี่ยวกับต้นไม้เรียวเป็นบ่วง ตอนนี้เขาเพียงแค่ต้องรอจนกว่าจะมีบางอย่างมาติดกับ หลินมู่ที่หิวอีกครั้งมองตำแหน่งพระอาทิตย์ เขารู้สึกว่าเขามีเวลาอีกสองชั่วโมงกว่าจะตกเย็น เขาเดินกลับต้นแอปเปิ้ลและเด็ดผลแอปเปิ้ลเพิ่มมารับประทานในยามเย็นพลางคิดว่ากับดักจะจับสิ่งใดได้ และถึงแม้ว่าเขาจะจัดอะไรได้ การเข้าป่าในยามวิกาลก็อันตรายแม้จะอยู่ในชานเมือง ถ้าหากสัตว์ป่าดุร้ายที่แข็งแกร่งกว่าออกมาในแถบนี้ เขาจะต้องตายอย่างแน่นอน เขาคิดว่าคงดีหากจะกินแอปเปิ้ลต่อไป
เมื่อเดินกลับกระท่อม เขาเติมน้ำในหม้อและใส่ชิ้นแอปเปิ้ลลงไปอีกครั้ง เขาตั้งเตาหินเตรียมต้ม ขณะที่กำลังรอ หลินมู่ท่องบทสงบใจอีกครั้ง เขารู้สึกถึงความสงบที่แผ่กระจายทั่วร่างแต่ไม่รู้สึกถึงคลื่นพลังที่ไหลผ่านกล้ามเนื้ออีกแล้ว ไม่ว่าเขาจะเพ่งสมาธิเพียงใดมันก็ยังคงเดิม
“เฮ่อ พระสูตรสงบใจจะช่วยได้ตอนที่ข้ามีพลังชีวิตที่มากพอสินะ มันจะช่วยให้ข้าทะลวงพลังไปได้ถ้ามีพลังที่ไหลเข้ามาจากแหวนอย่างเมื่อเช้า ตอนนี้พลังนั้นหมดไปแล้ว ข้าต้องฝึกแล้วกินอาหารเพิ่มเพื่อค่อย ๆ สะสมพลัง”
เขาคิดถึงแหวนลึกลับและยกมือขวาขึ้นมาดูแหวนและการออกแบบที่ประหลาดใกล้ ๆ ขณะที่มองแหวน เขารู้สึกถึงพลังที่ดึงมือเขา เขาตกใจมาก มือขวาของเขาถูกดึงไปยังทิศทางที่บังคับให้เขาต้องเดินไป หลินมู่เบิกตากว้าง มือของเขาถูกดึงขึ้นไปบนอากาศที่มีช่องว่างเปิดออกพร้อมกับมือที่ถูกดึงเข้าไป