ตอนที่ 163 ผลกระทบต่อเนื่อง
พื้นที่ว่าง ใช่แล้วมันคือพื้นที่ว่าง!
ถังเทียนคว้าหมัดของบุรุษร่างใหญ่ได้และปล่อยพลังสั่นสะเทือนอย่างไม่ลังเล พลังปราณสั่นสะเทือนรุนแรงแล่นไปตามตัวของบุรุษร่างใหญ่ เขาชาไปทั้งร่างและโล่กลมป้องกันสลายไปอย่างรวดเร็ว
ถังเทียนฉวยโอกาสเข้าประชิดตัวของคนร่างใหญ่
บุรุษร่างใหญ่ตื่นตระหนก เขาใช้ศอกโจมตีเพื่อพยายามดันถังเทียนให้ออกไป แต่เขาประเมินความสำเร็จในการสู้ระยะประชิดของถังเทียนผิดไป ถังเทียนฉากมาอยู่ด้านข้างก้าวหลบจากศอกของเขาและสกัดจุดตรงข้อศอกของบุรุษร่างใหญ่
ด้วยความเป็นยอดฝีมือสู้ระยะประชิด เมื่ออยู่ในจุดวิกฤติ เขาใช้วิชาสกัดข้อต่อเพื่อหยุดคู่ต่อสู้และทุกอย่างเกิดขึ้นในเวลาสั้น
แครก แครก
วิชาสกัดข้อต่อนับได้ว่าเป็นวิชาที่แข็งแกร่งมักจะมุ่งโจมตีจุดอ่อนที่ปราณเที่ยงแท้ยากจะโคจรไปถึง ในประวัติศาสตร์ยอดฝีมือมักมองข้ามศัตรูผู้เข้าใกล้พวกเขาและจากนั้นก็ถูกวิชาสกัดข้อต่อเล่นงาน เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทั่วไปมาก
เมื่อถังเทียนเข้าโจมตีที่จุดสกัดเขาได้ บุรุษร่างใหญ่รู้ตัวว่าเขาแพ้แล้ว
“ข้ายอมแพ้”
การยอมแพ้กะทันหันทำให้ถังเทียนตะลึง ไม่ว่าจะมองยังไงบุรุษร่างสูงใหญ่ก็เป็นคนที่หนักแน่น มั่นคง ถังเทียนคิดว่าคู่ต่อสู้ยอมตายดีกว่ายอมแพ้
แต่เขากลับยอมแพ้จริงๆ
ไม่เพียงแต่ถังเทียนเท่านั้น หลิงซิ่วก็งงไปด้วย
“ถูกแล้ว, ข้ายอมแพ้” ฝ่ายตรงข้ามพูดตามตรง
ถังเทียนรู้สึกหัวร้อนขึ้นมาทันที เขาไม่ได้เตรียมพร้อมรับสถานการณ์เช่นนี้ หลังจากนั้นชั่วขณะ เขาก็เรียกความรู้สึกกลับคืนมาและต้องป้องกันฝ่ายตรงข้ามไม่ให้หนีหรือต่อต้าน เขาสกัดจุดบุรุษร่างใหญ่ หลังจากนั้นก็ใช้เชือกหวายมัดเขาเหลือแต่เพียงหัวโผล่ให้เห็นเท่านั้น
“ไม่มีทางที่คนจากคณะปกครองสวี่ซื่อจะไม่มีความกล้า” หลิงซิ่ววิ่งออกมาขณะที่เขาประเมินบุรุษร่างใหญ่ด้วยความสงสัย
บนหน้ากากแพนด้าของเขา มีรอยเท้าอยู่หนึ่งรอย
ถังเทียนกระแอมเบาๆ และเริ่มทำท่าซักถาม “ไหนๆ เจ้าก็เป็นเชลยแล้ว เจ้าก็ต้องประพฤติตัวให้เหมือนเชลย ตกลงนะ เชลย! บอกชื่อเจ้ามา!”
“ไจ๋เหิงจ้าน!”
“ไจ๋เหิงจ้าน?” ถังเทียนมีสีหน้างงและหันไปถามหลิงซิ่ว “พวกที่มาจากกลุ่มสวี่ซื่อมีชื่ออะไรบ้าง?”
“เยี่ยนเซี่ย, อูหนาน,กงอี้ซิ่ว, สั่วกวง ไม่มีคนชื่อไจ๋เหิงจ้าน”หลิงซิ่วจ้องมองไจ๋เหิงจ้านอย่างไม่เป็นมิตร ความจริงเขาคงถูกคนผู้นี้หลอก
ถ้าไม่ใช่เพราะถังเทียน... เดี๋ยวก่อน, ถังเทียน..ไอ้บ้านี่เหยียบหน้า แล้วยังชิงคู่ต่อสู้ของเราไปด้วย
หลิงซิ่วจ้องมองถังเทียนอย่างขุ่นเคือง
ถังเทียนไม่สนเขา และถามไจ๋เหิงจ้านด้วยความสงสัย “เจ้าก็แข็งแกร่งทรงพลังดีทำไมชื่อของเจ้าถึงไม่ได้อยู่กับกลุ่มสวี่ซื่อ?”
“ข้าไม่ได้มาจากกลุ่มสวี่ซื่อ” ไจ๋เหิงจ้านได้ฟังแล้วก็คาดเดาได้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นทำให้เขาใจสงบลง
“เจ้าไม่ได้มาจากกลุ่มสวี่ซื่อเหรอ?” ถังเทียนยิ่งตะลึงหนักขึ้น “อย่างนั้นทำไมเจ้าถึงอยู่ในยานของกลุ่มสวี่ซื่อ? อย่าบอกข้านะว่าเจ้าก็ถูกพวกนั้นจับ? เอ่..นั่นก็ไม่ถูกเห็นได้ชัดว่าเจ้าเป็นอิสระนี่”
ถังเทียนกระชากตัวของไจ๋เหิงจ้านขึ้นมา หน้าของเขาเขียวคล้ำ “นี่,เจ้าบังอาจโกหกข้า!”
ไจ๋เหิงจ้านอดพูดไม่ได้ “เจ้าไม่รู้จักกระทั่งเครื่องหมายของกลุ่มสวี่ซื่อหรือ? ยานของเราแขวนป้ายของรัฐบาลอู่โหว”
“อู่โหวเหรอ?” ถังเทียนตะลึง เขาหันไปถามหลิงซิ่ว “ซิ่วซิ่วน้อย เจ้าเคยได้ยินชื่ออู่โหวมาก่อนไหม?”
“ไม่รู้” หลิงซิ่วยังคงโกรธอยู่ และแค่นเสียง “ใครจะไปรู้กันแมวหมาเหล่านี้ว่ามาจากซอกมุมไหน! ดูเหมือนเจ้าไม่มีประสบการณ์ในพื้นที่ต่อสู้นี้ ให้ข้าบอกเจ้าในเรื่องนี้ก็ได้ ในพื้นที่ต่อสู้นี้ ถ้าเจ้าได้ยินชื่อที่น่ากลัวเหล่านั้น พวกเขาก็ต้องเป็นแมวเป็นหมา”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เด็กหญิงหวายที่อยู่ในมือของปิงถึงกับตาเบิกกว้าง
ไจ๋เหิงจ้านหัวเราะ “พวกเจ้าเป็นศัตรูกับกลุ่มสวี่ซื่อหรือ?”
ถังเทียนไม่เปิดเผยอะไร และกล่าวอย่างใจเย็น “เอ่, พวกเขาต้องการมาหาเรื่องกับเรา ดังนั้นเราก็เลยวางแผนลงมือก่อน”
ไจ๋เหิงจ้านค่อยรู้สถานการณ์ และถาม “เนื่องจากทุกอย่างชัดเจนแล้วเจ้าจะปล่อยเราได้หรือยัง?”
“ไม่มีทาง!” จู่ๆหลิงซิ่วก็ตะโกนห้ามพวกเขา “จะเป็นยังไงถ้าพวกเขาโกหกเรา?”
ปิงยังคงกล่าว “เราไม่อาจปล่อยพวกเขาไปได้ เราไม่พลังเหลือไว้พัวพันพวกเขา ยังคงมัดพวกเขาต่อไปดีกว่า
ไจ๋เหิงจ้านพูดทันที “ทุกคนโปรดวางใจ นี่เป็นการเข้าใจผิด เราจะไม่สืบสาวเอาความ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ถังเทียนหัวเราะพลางชี้ไจ๋เหิงจ้าน “ข้าเคยพูดไว้อย่างนั้นเหมือนกัน แต่ทุกครั้งข้าเป็นต้องไล่ตามเอาเรื่องทุกที ยิ่งกว่านั้นข้าต้องเล่นงานถึงตาย”
เมื่อเห็นท่าทียินดีของถังเทียนเช่นนั้น ไจ๋เหิงจ้านจึงต้องชะงักคำพูดไว้
หลิงซิ่วและปิงเบือนหน้าไปอีกทาง เหมือนกับว่าพวกเขารำคาญสีหน้าถังเทียน
“ฉะนั้น ท่านแค่อยู่กับเราก่อน จนกว่าเราจัดการกับกลุ่มสวี่ซื่อที่มาวุ่นวายกับเราก่อนแล้วเราจะปล่อยเจ้าไป” ถังเทียนตบไหล่ของไจ๋เหิงจ้านเขาปลอบโยนด้วยคำพูดจากใจจริง
“แต่...” ไจ๋เหิงจ้านร้องออกมาอย่างกังวล แต่ขณะที่เขาอ้าปาก เศษผ้าก้อนขี้ริ้วก็ถูกยัดใส่ปากเขาแล้ว
ถังเทียนขอโทษ “เราไม่สามารถหาเศษผ้าดีๆ เพิ่มได้ ดังนั้นจึงใช้ผ้านี้แทนไปก่อน
พูดจบ เขาก็แบกไจ๋เหิงจ้านไปวางไว้ข้างๆ เด็กหญิงที่ถูกมัดหวาย มนุษย์หวายทั้งสอง หนึ่งใหญ่หนึ่งเล็กเป็นเหมือนรูปปั้นที่กองไว้รวมกัน
“เราจำยานผิดลำเสียแล้ว” ถังเทียนบอก เมื่อเขาพูดออกไป ทุกคนรู้สึกอึดอัด
“เรื่องนี้ยังค้างคาใจอยู่ เราไม่อาจเชื่อทุกเรื่องที่เขาพูดได้” สีหน้าของปิงยังสงสัย แต่ในใจของเขาก็รู้เช่นกันว่า มีโอกาสเก้าในสิบที่พวกเขาขึ้นยานผิดนอกจากนี้ ในฐานะผู้อยู่เบื้องหลังแผนการ เรื่องนี้ทำให้เขาขายหน้า
เรื่องนี้น่าขายหน้าจริงๆ... โชคดีคนที่เหลือของกลุ่มไม่อยู่ที่นี่ ถ้าไม่อย่างนั้นชีวิตของพวกเขาคงไม่เหลือ....”
“เราทำผิดพลาด, เราทำผิดพลาด” หลิงซิ่วคำรามเหมือนเป็นคนร้าย
“เรารีบกลับกันก่อน, อาเสวี่ยอยู่คนเดียว ไม่อาจต้านรับกลุ่มสวี่ซื่อได้” ถังเทียนพูดโดยไม่ลังเล “ไปเถอะ, กลับตระกูลกู้!”
พูดจบ ถังเทียนก็รีบยึดตัวไจ๋เหิงจ้านไว้แน่นด้วยตัวเขาเอง
เมื่อไจ๋เหิงจ้านได้ยินชื่อตระกูลกู้ ความคิดอย่างหนึ่งก็วาบผ่านในดวงตาเขา
ปิงอุ้มเด็กหญิงหวาย กลุ่มของพวกเขาวิ่งกลับตระกูลกู้
※※※※
“เราถูกโจมตีจริงๆ! องค์หญิงหมิงจูถูกลักพาตัว!” องครักษ์หญิงผู้ใช้กระบี่ขวางถังเทียน ใบหน้านางสกปรก ส่วนบุรุษอีกคนที่อยู่ถัดจากนางมีสีหน้าซีดขาวและสั่นด้วยความกลัว
องครักษ์หญิงเสียลมปราณไปมากและเสียเลือดไปมากวิ่งวุ่นตลอดทั้งวันทั้งคืน ใบหน้าของนางเปื้อนฝุ่นอย่างไรก็ตามช่วงเวลานี้ นางมีสีหน้าเย็นชา
“อู่โหวรักตามใจองค์หญิงหมิงจูมากเกินไป นอกจากนี้ท่านยังเป็นผู้อาวุโสในคณะปกครองอู่โหว ข้าเชื่อว่าเจ้าคงมีความชัดเจนมาก ถ้าผมขององค์หญิงหมิงจูร่วงแม้แต่เส้นเดียวอู่โหวจะเผาดาวไพรมายาทั้งหมดโดยไม่ลังเลใจเลย!”
น้ำเสียงขององครักษ์หญิงเย็นชา
บุรุษผู้นั้นหลั่งเหงื่อราวกับอาบฝน ใบหน้าขาวซีดและสั่นไปทั้งตัว เขาเข้าใจได้อย่างชัดเจน อู่โหวอารมณ์ร้ายมาก ถ้าจะเผาดาวไพรมายาทั้งดวง อู่โหวสามารถทำได้แน่นอน ขณะที่ตัวเขาเองก็จะตายเช่นกัน
องครักษ์หญิงกล่าว “ระดมคนทั้งหมดที่เจ้าสามารถติดต่อได้และขุดดาวไพรมายาให้ลึกลงไปสามฟุต เจ้าต้องหาองค์หญิงหมิงจูให้พบ ถ้าทำไม่ได้เจ้าก็จะพบจุดจบในฐานที่เป็นผู้ว่าการดวงดาว”
ผู้ปกครองดวงดาว บุรุษผู้นี้ที่กำลังอยู่ต่อหน้าองครักษ์หญิงคือผู้ปกครองสูงสุดของดาวไพรมายา เขาคือผู้ว่าการดวงดาว!
“บริวารเข้าใจแล้ว!” ผู้ว่าการดวงดาวถูกบังคับจนอยู่ในสภาพเช่นนี้ เขารู้ว่าต่อให้เมื่อเขาหาองค์หญิงพบ เขาก็ยังจะถูกลงโทษ แต่มีชีวิตรอดสำคัญกว่า ถ้าเขาไม่สามารถหาเธอพบ ครอบครัวของเขาเองก็จะไม่รอดด้วย
“คนกลุ่มนี้ไม่ใช่โจรแน่นอน พวกเขาแข็งแกร่งมาก! องครักษ์หญิงเบาใจเมื่อพูดเช่นนั้น และพูดต่อ”และฝ่ายตรงข้ามลอบทำร้ายเราจากหุบเขาปากกระเรียน นั่นก็หมายความว่าพวกเขารู้เรื่องการเดินทางของเรา ฝ่ายตรงข้ามต้องมีแผนที่!”
“เมืองที่อยู่ใกล้หุบเขาปากกระเรียนที่สุดก็คือเมืองเฮยซาน” ผู้ว่าการดวงดาวคิดว่า“หรือว่าจะมีเรื่องเกิดขึ้นกับเมืองเฮยซาน?”
“มีบางอย่างเกิดขึ้นที่เมืองเฮยซานหรือ?” องครักษ์หญิงประหลาดใจ
“กลุ่มปกครองสวี่ซื่อและชาวพื้นเมืองดาวไพรมายากำลังต่อสู้กัน” ผู้ว่าการดวงดาวไม่มั่นใจ มีหลายเรื่องเกิดขึ้นทุกวัน และพวกที่สามารถให้ผลประโยชน์เขาได้ เขาก็จะแกล้งหลับตาทำเป็นไม่เห็น
“คณะปกครองสวี่ซื่อและชาวพื้นเมืองดาวไพรมายาน่ะหรือ?” องครักษ์หญิงหัวเราะ และกล่าว“ต่อให้พวกมันกล้ากว่านี้ถึงพันเท่าพวกมันก็ไม่กล้าปรากฏตัวที่ยานซึ่งมีสัญลักษณ์ของอู่โหวแน่ และยิ่งกว่านั้นยังกล้าลักพาตัวองค์หญิงหมิงจูของพวกเราด้วย”
เมื่อได้ยินคำตำหนิเช่นนี้ หน้าของผู้ว่าการดวงดาวถึงกับเป็นสีแดงด้วยความอาย เขากำลังพูดกับตัวเองไว้ก่อนแล้ว แต่สิ่งที่นางพูดก็เป็นความจริง
กลุ่มพวกด้วงพื้นดินนั้นคงไม่กล้า
“ต้องมีอำนาจบางอย่างแทรกซึมเข้ามาแน่นอน”องครักษ์หญิงครุ่นคิดและกล่าว “ปิดประตูดวงดาว ก่อนจะหาองค์หญิงพบ ห้ามมิให้ผู้ใดออกจากดวงดาว”
“ขอรับ!” ผู้ว่าการดวงดาวรีบรับคำและกล่าวต่อ “เราต้องตรวจสอบคนที่มาจากภายนอกด้วยไหม?”
องครักษ์หญิงส่ายหน้า “อย่าเพิ่งทำให้ผู้ร้ายตกใจ ถ้าศัตรูทำอะไรกับองค์หญิง เราจะไม่พ้นผิด นอกจากนี้ ศัตรูมีการเตรียมการวางแผนไว้ เป็นไปได้ว่าพวกเขายังมีแผนอื่นรอเราอยู่อีก”
ผู้ว่าการดวงดาวพยักหน้าอย่างที่คาดไว้ คนที่อยู่ใกล้ตัวองค์หญิงนางมีความคิดที่ชัดเจนมาก
“เราไม่สามารถใช้กำลังบังคับได้” องครักษ์หญิงรีบคิดใหม่ และยกเลิกแผนเดิมของนาง “อย่าเพิ่งรวมคน ให้เรียกมาแต่ยอดฝีมือเท่านั้น เฉพาะคนของเจ้า ที่เชื่อถือได้เท่านั้น”
“ขอรับ” ผู้ว่าการดวงดาวรับคำทันที
“จุดวิกฤติของเรื่องนี้ไม่ใช่อยู่ที่พวกเจ้าทั้งหมด แต่เป็นตระกูลท้องถิ่น” องครักษ์หญิงกล่าว “พวกเขาเป็นเผด็จการป่าเถื่อนอย่างแท้จริง และการมีชาวท้องถิ่นกระจายข้อมูลข่าวอย่างนี้ พวกเจ้าไม่อาจเทียบได้ถ้าเจ้าต้องการจะตรวจสอบหาร่องรอย เจ้าจำเป็นต้องใช้พลังของพวกเขา”
ผู้ว่าการดวงดาวคิดอยู่ชั่วขณะ “ตระกูลที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเฮยซานก็คือตระกูลกู้”
สีหน้าของเขาเปลี่ยนทันที “ไม่ดีแน่! กลุ่มสวี่ซื่อวางแผนจะบดขยี้ตระกูลกู้อยู่!”
ใบหน้าขององครักษ์หญิงคล้ำทันที
ผู้ว่าการดวงดาวเรียกนักปกครองท้องถิ่นทันทีแล้วสั่ง“รีบส่งข่าวให้สวี่ฉางเทียนโดยเร็วที่สุด! ไม่ว่ายังไงก็ตาม ห้ามพวกเขาลงมือกับตระกูลกู้! บอกพวกเขาให้หยุดเฉยๆ รอข้าด้วย! พวกเจ้าไปดำเนินการเดี๋ยวนี้!”
เมื่อได้ฟังเช่นนั้น นักปกครองท้องถิ่นตกตะลึง และรีบรับคำทันที “ขอรับ”
เมื่อนักปกครองท้องถิ่นออกไปแล้ว องครักษ์หญิงยังคงพูดต่อ “ฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งมาก เราต้องระวังด้วย!และฝ่ายตรงข้ามได้ลงมือไปแล้ว ดังนั้นพวกเขาคงจะไม่อยู่ในที่เดิม พวกท่านไปดึงเอาตระกูลอื่นมาช่วยเป็นหูตาให้พวกเราด้วย ถ้าพวกเขาพบใครที่มีพิรุธ เราจะได้ไปจับกุมมาสอบสวนทันที”
“คนแก่เหล่านั้นข้าเพียงแต่กลัวว่าพวกเขาจะไม่ยอมฟัง” ผู้ว่าการดวงดาวรู้สึกว่าเป็นงานที่ยากลำบาก
องครักษ์หญิงพูดเย็นชา“ใช้ชื่อของรัฐบาลอู่โหวเชิญประมุขตระกูลและยอดฝีมือจากเมืองเฮยซานมา ใครจะกล้าขัดขืนไม่มา?”
ผู้ว่าการดวงดาวตะลึง “ไม่มีใครขัดขืนแน่นอน”
“ที่สำคัญคือ ต้องรีบด้วย” องครักษ์หญิงมีวาวตาเย็นชาผู้ว่าการดวงดาวรับคำทันที “ข้าจะไปเดี๋ยวนี้!”