ตอนที่ 161 เข้าตาจน
“เป็นที่นี่!” สั่วกวงเป็นคนที่คุ้นเคยที่สุดกับเมืองเฮยซาน ในขณะที่เขาชี้ไปที่แสงไฟบนป้าย ที่ตระกูลกู้อยู่มีเสียงอึกทึก
พวกที่เหลือทั้งหมดมีรอยยิ้มเยาะปรากฏบนใบหน้า
“หึหึ ดูเหมือนสาวน้อยจะไม่ใช่คนธรรมดาเลยนะ ถึงได้จัดฉากได้ขนาดนี้ ถ้าผู้อาวุโสหวีเห็นความสิ้นเปลืองอย่างนี้ เขาคงมีความสุขมากแน่นอน” กงอี้ซิ่งแค่นเสียง “การมาที่นี่ก็เพื่อทำลายสถานที่รวมตัวของผู้อาวุโสหวี ตาแก่นั่นจะไม่โกรธจนกลั้นใจผายลมเรอออกมาหรอกหรือ?”
เยี่ยนเซี่ยแค่นเสียง แต่นัยน์ตายังคงเย็นชา “เล่าอู! ไปเคาะประตู!”
อูหนานหัวเราะ ก้าวมาข้างหน้า เขาเหมือนกับภูเขาน้อยที่เดินได้ และตกเป็นจุดสนใจคนอื่นทันที
“เฮ้! เจ้าเป็นใคร?”
“เจ้าจะทำอะไร! นี่คือตระกูลกู้!”
….
การกินดื่มสนุกสนานหยุดลงทันทีเมื่อทุกคนได้ยินเสียงอูหนาน อูหนานแค่หัวเราะและหันหน้าหาประตูตระกูลกู้ ย่อตัวในท่านั่งม้าและปล่อยหมัดออกไป
รังสีหมัดสีดำถูกปล่อยออกไป
เหมือนกับดาวตกร่วงจากฟ้า กระแทกใส่ประตูใหญ่
ภาพบนประตูที่เพิ่งถูกวาดเสร็จแตกหักเป็นชิ้นเล็กน้อยในพริบตา พลังปราณผ่านไปที่ใดก็เกิดความเสียหายตรงนั้นยามของตระกูลกู้ที่อยู่ใกล้กระเด็นไปเพราะคลื่นพลังปราณกระแทกใส่
เสียงตะโกนด่าทอ ดังอยู่ทั่วไป
“ใครกัน, ใครกล้ามาหาเรื่องตระกูลกู้!” เมอเรย์ปรากฏตัวที่ทางเข้า
“ไสหัวไป” อูหนานไม่พูดมาก ต่อหมัดออกทันที
สายตาเมอเรย์เย็นเยือก เขาต่อยหมัดออกไปโดยไม่ลังเล รังสีหมัดทั้งสองปะทะกันและเมอเรย์สามารถรู้สึกได้ถึงพลังที่น่าทึ่งท่วมทับเข้ามาเขารู้สึกเหมือนว่าถูกค้อนฟาดที่หน้าอก และกระอักโลหิตกระเด็นไปตกที่ลานบ้าน
“ลุงเมอเรย์” กู้เสวี่ยตกใจกลัว
อูหนานหัวเราะลั่น เขาเต็มไปด้วยความรังเกียจและดูถูกขณะกล่าว“สุนัขกระจอกเทียนชิงเมอเรย์ ฝีมือเจ้าก็งั้นๆ”
คนทั้งสี่สาวเท้าเข้ามาในตระกูลกู้
เมอเรย์อยู่บนพื้น หน้าของเขาซีดขาว มุมปากมีรอยเลือด แต่เขาฝืนตัวลุกขึ้นยืน เมื่อเห็นอาการของเมอเรย์ น้ำตาหลั่งออกจากตาของกู้เสวี่ย นางรู้ว่านางเหลือเวลาร้องไห้ไม่มาก ดังนั้นนางจึงกัดฟันและหันไปตะโกนใส่“เยี่ยนเซี่ย! ทำอย่างนี้หมายความว่ายังไง? คณะปกครองสวี่ซื่อคิดจะรังแกตระกูลกู้หรือ?”
“หมายความว่ายังไง?” กงอี้ซิ่วแค่นเสียง “เราก็แค่มาทักทาย ใครจะไปรู้กันว่าประตูของตระกูลกู้แข็งไม่พอ”
เยี่ยนเซี่ยไม่เสียเวลาพูดไร้สาระ “ส่งตัวถังเทียนออกมา”
กู้เสวี่ยหน้าซีดขาวทันที ในที่สุดนางก็ตระหนักได้ว่า เยี่ยนเซี่ยและกลุ่มมีเป้าหมายอยู่ที่อาเทียน
อาเทียน, พวกเจ้าอย่าออกมาจะดีกว่า...
“พวกเขาไม่อยู่ที่นี่!” กู้เสวี่ยบังคับตนเองให้ใจเย็น นางสั่นศีรษะและพูดว่า “พวกเขาจากไปได้ไม่กี่วันนี้เอง”
หน้าของเยี่ยนเซี่ยเขียวคล้ำ “ค้น!”
“ช้าก่อน!” เสียงชราดังมาจากด้านหลังกลุ่มคน เขาผมขาวและคิ้วขาวแต่หน้าแดง ขณะที่เขาเดินอย่างมั่นคงด้วยการเดินที่ทรงพลังและสีหน้าที่สงบ ขณะที่คนที่มากับเขา เมื่อเห็นประตูใหญ่ถูกทำลาย ทุกคนเปลี่ยนเป็นสีหน้าไม่น่าดู
กู้เสวี่ยไม่อยากเชื่อสายตานาง เป็นเรื่องน่าประหลาดใจจริงๆ “ท่านผู้เฒ่าหวี!”
อูหนานและพวกที่เหลือสีหน้าเปลี่ยน มีแต่สีหน้าของเยี่ยนเซี่ยยังสงบอยู่ได้ “คาดไม่ถึงเลยว่าผู้เฒ่าหวีจะมาถึงเร็วยิ่งนัก”
“ใช่แล้ว ถ้าข้าไวไม่พอ ข้าเกรงว่าตระกูลกู้ก็คงไม่เหลือแล้ว” หน้าของผู้เฒ่าหวีเขียวคล้ำ เขาโกรธ และคนรอบข้างก็รู้สึกตึงเครียดขึ้นมีความรู้สึกกดดันรอบๆ ตัวพวกเขา
เยี่ยนเซี่ยพูดเย็นชา “ผู้เฒ่าหวีต้องการจะห้ามคณะปกครองสวี่ซื่อไม่ให้ปฏิบัติภารกิจได้สำเร็จหรือ?”
ผู้เฒ่าหวีมีไหวพริบเป็นพิเศษ เขาแค่นเสียงเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ข้ารอจนถึงตอนนี้ถึงได้ออกมาดูว่าคณะปกครองสวี่ซื่อจะทำภารกิจชนิดไหน”
เยี่ยนเซี่ยร้อง “โอว” อีกครั้ง “ไปหาตัวสามคนให้เจอ”
อูหนานและพวกอีกสองคนต้องการเคลื่อนไหว แต่เงาร่างทั้งสามพุ่งออกมาจากด้านหลังผู้เฒ่าหวีออกมาขวางพวกเขาไว้ อูหนานและกลุ่มจำทั้งสามคนได้ หลี่ซิ่น,หลู่ชิง, จี้เทียน ทุกคนเป็นยอดฝีมือที่มีชื่อ
หน้าของเยี่ยนเซี่ยเขียวคล้ำ รังสีฆ่าฟันของเขาทะลักออกมาหนาแน่นทำให้สีหน้าทุกคนเปลี่ยน
“พวกเจ้าต้องการขัดขวางข้าใช่ไหม?”
ผู้เฒ่าหวีไม่กลัว เขาไม่ได้สนองตอบต่อปราณของเขา “วันนี้ ข้าจะใช้ชีวิตชราของข้าเข้าเสี่ยง ข้าจะไม่ยอมให้ตระกูลกู้ล่มสลายในลักษณะนี้! คณะปกครองสวี่ซื่อวางอำนาจเที่ยวค้นผู้คนในบ้านคนอื่นตามอำเภอใจได้ตั้งแต่เมื่อไหร่? น่าขัน!”
รังสีฆ่าฟันของเยี่ยนเซี่ยหายไปหมดทันทีเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาหัวเราะเบาๆ “ดูเหมือนว่าผู้เฒ่าหวีจะเข้าใจเราผิด เมื่อเป็นแบบนี้เราจะรอท่านข้าหลวงให้เดินทางมาถึงก่อน และจากนั้นเราค่อยคุยกัน”
กล่าวจบ เขาหันหน้าไปทางกู้เสวี่ย “แม่นางกู้ เราชอบความเงียบสงบของลานตรงนี้ บริวารของข้าวู่วามเกินไปและพลั้งมือหนักไปจนทำให้ทรัพย์สินและคนของเจ้าเสียหาย ข้าขออภัยด้วย ข้าจะจ่ายเงินชดใช้ความเสียหายให้”
เขาล้วงการ์ดเครดิตดวงดาวและโยนลงบนพื้นใกล้ๆ ตัวเมอเรย์
กู้เสวี่ยยังคงหน้าซีดขาว ขณะที่นางยังจ้องเยี่ยนเซี่ยอย่างเย็นชา
“อย่างนั้นก็ดีแล้ว ข้ายังคงคิดว่าคณะปกครองสวี่ซื่อต้องให้คำอธิบายกับตาแก่ผู้นี้ด้วย” ผู้เฒ่าหวีเห็นเยี่ยนเซี่ยยอมถอย เขาจึงรู้สึกอารมณ์ดี
หัวใจกู้เสวี่ยผ่อนคลายในที่สุด นางรู้ว่าผู้อาวุโสหวีมีแผนอะไร และสำหรับนางกับผู้อาวุโสหวีตอนนี้ เยี่ยนเซี่ยและคนที่เหลือคงไม่พัวพันกับพวกเขาเป็นแน่
แต่นางยังคงมีความรู้สึกแปลก อาเทียนและพวกยังไม่ออกมา
นั่นเป็นเรื่องแปลก!
ทั้งอาเทียนและหลิงซิ่วอารมณ์ร้อนทั้งคู่ พวกเขาควรจะออกมาได้แล้ว
นางตัดสินใจเดินไปดูว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขา
※※※※
ถังเทียนวางเด็กหญิงบนหลังของเขาลงและเอาผ้าที่ยัดปากของเธอออก
“ข้าอยากดื่มน้ำ!” เด็กหญิงไม่กลัวและพูดเสียงดัง
ถังเทียนผงะเล็กน้อย แต่ก็ยอมเอาน้ำออกมาให้เด็กหญิงกิน เธอดื่มอย่างกระหายก่อนที่จะหยุด และพูดอย่างไม่พอใจ “นี่, รีบแก้มัดข้าเร็วเข้า”
เด็กหญิงน้อยอายุราวๆเจ็ดถึงแปดขวบปี ผมทองนัยน์ตาดำ เธอดูน่ารักมากเหมือนตุ๊กตาหน้าของเธอไม่มีท่าทางว่ากลัว แต่สามารถมองเห็นแววตื่นเต้นบางอย่างได้
“ทำไมข้าต้องแก้มัดเจ้าด้วยเล่า?” ถังเทียนรู้สึกว่าเป็นคำขอที่แปลก“ในฐานะที่เป็นเชลย เจ้าต้องรู้และทราบวิธีเป็นเชลย”
“เจ้ารู้ไหมว่าข้าเป็นใคร?” เด็กหญิงเชิดหน้าด้วยท่าทีภูมิใจขณะถามถังเทียน
“แน่นอน ข้ารู้”
อุรังอุตังพยักหน้า
นี่ทำให้เด็กหญิงมีความสุข “ถ้าเจ้ารู้แล้ว อย่างนั้นเจ้าจะรออะไร! ระวังนะ ต่อไปข้า...”
“เจ้าเป็นเชลยไงเล่า”
เด็กหญิงตกใจเมื่อเธอได้ยินเช่นนั้น ลิงอุรังอุตังใช้ผ้ายัดปากเธออีกครั้ง เธอดิ้นรนเต็มที่ แต่ก็คงมีแต่เสียงอูอูเท่านั้นดังออกมา
“ในฐานะเชลยคนหนึ่ง เจ้าต้องรู้ว่าเชลยคืออะไร” ถังเทียนรู้สึกว่าสาวน้อยนี้ทำไม่ถูก อูถ้าเป็นเขาถูกจับเขาจะไม่พูดอะไรโง่ๆ อย่างนั้น
เด็กหญิงพยายามดิ้นรนอยู่ในมือของถังเทียน แม้ว่าเรี่ยวแรงของเธอจะไม่มีอะไรเมื่อเทียบกับถังเทียน แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าค่อนข้างลำบากและมีผลต่อการเคลื่อนไหวของเขา
โดยไม่พูดอะไรเขาพบหวายเหนียว จึงเอามาพันรอบตัวเด็กหญิง
หลังจากนั้นชั่วขณะ เด็กหญิงถูกหวายเหนียวพันตัวตั้งแต่คอลงไปตลอดทั้งตัว เธอไม่สามารถขยับได้แม้แต่น้อย
คุณหนูตัวน้อยแทบมีเปลวไฟพวยพุ่งออกมาจากนัยน์ตา
ถ้าการจ้องสามารถฆ่าคนได้ ถังเทียนคงตายไปนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว
แต่เขาไม่ใส่ใจสายตาของเธอกลับพอใจในฝีมือของตนเอง เขาลองโยนเด็กหญิงขึ้นลง เห็นว่าเด็กหญิงเหมือนกับเด็กปัญญาอ่อนที่ไม่สามารถขยับได้ เขายิ่งพอใจในที่สุด
“ฮ่าฮ่า ครั้งนี้เจ้าขยับไม่ได้แม้แต่นิดแล้ว จากนี้ไปเจ้าจะถูกเรียกว่าเด็กหญิงหวาย!” เขาเปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งเครียด และงวยงง “เอ, ทำไมพวกเขายังมาไม่ทัน? ความเร็วของพวกเขาช้าจริงๆ”
หลังจากรอคอยสองชั่วโมง ก็ยังไม่มีร่องรอยของพวกเขา
ถังเทียนตัดสินใจเลิกรอ และเขาตามหาปิงและกรงเล็บภูตพรายพบในเวลาไม่นาน ทั้งสองไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด
“กองกำลังที่ไล่ตามเรามาหายไปแล้ว” ถังเทียนบอกปิง
ปิงไม่สามารถเข้าใจสถานการณ์ได้แต่อย่างใด และเขาเห็นเด็กหญิงที่ถูกหวายมัดอยู่ข้างหลังถังเทียน “ทำไมเจ้าพาเธอมาด้วย?”
ถังเทียนสีหน้าเปลี่ยนเขาอธิบายสถานการณ์วันนั้นและการคาดเดาของเขา ปิงรู้สึกว่าเขามีเหตุผล “โอ..ถ้าเป็นกรณีนั้น พวกเขาจะต้องไล่ตามเรามาแน่นอน! เราควรไปตามหาตัวหลิงซิ่วก่อน เขาอยู่ในอันตรายมากที่สุดคนที่ไล่ตามเขาไปแข็งแกร่งมาก”
ทั้งสามคนรีบไปที่จุดนัดพบทันที
ขณะที่พวกเขากำลังวิ่งไป พวกเขาก็สามารถได้ยินเสียงต่อสู้ที่ดุเดือดรุนแรงอยู่ต่อหน้าพวกเขา ทั้งสามคนประหลาดใจ และวิ่งตรงไปทันที
หลิงซิ่วต่อสู้อย่างดุเดือดมาก พลังของคู่ต่อสู้ของเขาแข็งแกร่งอย่างเห็นได้ชัด หมัดของเขาทรงพลัง ทุกๆ หมัดที่ปล่อยออกมาจะมีเสียงหวีดหวิวและหมัดก็มีความเร็วมาก ทั้งพื้นที่เต็มไปด้วยรัศมีหมัดที่เหมือนเครื่องโม่ระดมต่อยออกมาเหมือนสายฝน ดูหวาดเสียวน่ากลัว พื้นที่ป่ารอบๆ ยุ่งเหยิงและฝุ่นฟุ้งกระจายอยู่ทั่วทุกที่ รังสีหมัดทุกหมัดแข็งแกร่งมากเมื่อกระแทกใส่พื้น ฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่วทุกที่และมีเสียงดังสนั่น
ถังเทียนมองดูพวกเขาอย่างตกตะลึง
คนแบบนี้ถ้าเขาโจมตีต่อสู้ในเมือง ก็คงสามารถทลายกำแพงเมืองพินาศ
แต่...
ด้วยเหตุผลบางอย่าง ภายในร่างของถังเทียนเหมือนกับมีเสียงกระซิบบอกเขา
เอาชนะเขาให้ได้! เอาชนะเขาให้ได้! ถ้าเจ้าเอาชนะเขาได้ เจ้าจะแข็งแกร่งขึ้น!
“ปิง! ดูแลเธอให้หน่อย!” ถังเทียนโยนเด็กหญิงไปให้ปิง และวิ่งออกไปโดยไม่รอให้เขาพูดอะไร
“เป็นเด็กที่วู่วามจริงๆ” ปิงรับเด็กหญิงที่ถูกหวายมัดไว้ แต่เขารู้ว่าเขาเองไม่เหมาะกับการต่อสู้ เนื่องจากยังอยู่ในช่วงภารกิจปลอมตัวเขาจึงไม่ยอมใช้อาวุธจักรกล ดังนั้นอาจนับได้ว่าพลังในการต่อสู้ของเขานั้นอ่อนแอที่สุด
เมื่อเห็นถังเทียนวิ่งออกไป ปิงรู้สึกตื่นเต้นลึกๆ หลังจากผ่านไปแค่ช่วงเวลาไม่นานเจ้าเด็กนี่ก้าวหน้าอย่างน่าประหลาดใจยิ่งนัก
เจ้าเด็กนี่...
เขาไม่ยอมให้กรงเล็บภูตพรายเข้าต่อสู้ ทุกๆ การต่อสู้ สำหรับถังเทียนก็คือโอกาสแสวงหาประสบการณ์ต่อสู้ด้วยตนเอง
ปิงตระหนักแล้วว่า ถังเทียนก้าวหน้าได้เร็วมากกว่าช่วงเวลาฝึกฝนเมื่ออยู่ในการต่อสู้จริง แม้ในการฝึกฝนเขาก็ทำตามแผนได้อย่างโดดเด่น แต่ก็ยังเทียบกับการต่อสู้จริงๆไม่ได้
นอกจากนี้สายตาปิงยังคงจับจ้องบุรุษร่างใหญ่อยู่ แม้ว่าพลังของเขาจะโดดเด่น แต่เมื่อมองภาพรวมการต่อสู้ การต่อสู้ระยะประชิดของถังเทียนเป็นรูปแบบที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
เขาสงสัยมาก ถังเทียนจะทนได้นานเพียงไหน
“ซิ่วซิ่วน้อย! ให้ข้าสู้บ้าง!” ถังเทียนลอยตัวอยู่ในอากาศ ตะโกนเสียงลั่น
“ไสหัวไป!” หลิงซิ่วกำลังถูกกดดันและเขารู้สึกโกรธมาก เมื่อถังเทียนกล่าวเช่นนั้น ยิ่งทำให้เขาโมโหมากยิ่งขึ้นเขาเตรียมปลดปล่อยทักษะสังหารโดยไม่ลังเล เขาปลดปล่อยปราณฉับพลัน ทันใดนั้นแนวกระดูกสันหลังของเขาเกิดอาการเกร็งชะงักเหมือนกับมันไม่ยอมฟังเขา
หลิงซิ่วหน้าซีด
กลับเป็นเมื่อบุรุษร่างใหญ่เตรียมจะใช้พลังโจมตี เนื่องจากมีแรงกดดันเขา เขาจึงได้แต่ใช้พลังร่างกายต่อเนื่อง จนไม่อาจรักษาสภาพร่างกายได้ต่อไปจึงเกิดอาการยุบอย่างนี้
ไม่นะ ข้าเป็นอย่างนี้ได้ยังไง
หลิงซิ่วไม่อาจยอมรับความพ่ายแพ้ได้ หน้าของเขาขาวและเปลี่ยนเป็นแดง ม่านตาของเขาเป็นเหมือนมีลูกไฟลุกโชน เขาสูดหายใจลึก พลังของเขาเพิ่มขึ้นมาก และเตรียมสู้ตาย
ปึ้ก. เท้าข้างหนึ่งยันเข้าที่หน้าของเขา
ถังเทียนฉวยโอกาสเมื่อหลิงซิ่วยังไม่พร้อม ร่างของหลิงซิ่วแข็งเหมือนท่อนไม้ ขณะที่เขาถลาถอยหลังเข้าหาปิง
ถังเทียนไม่สนใจหันกลับไปดูหลิงซิ่วที่กระเด็นถอยออกไป เขาหันไปเผชิญหน้ากับบุรุษร่างใหญ่ เขาหรี่ตาและกล่าว “ขอโทษที เราขอเปลี่ยนคนสู้”