ตอนที่แล้ววันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0113
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปวันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0115

วันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0114


บทที่ 36 ผู้หยั่งรู้, มาเยือน (3)

* * *

การรุกรานของฝูงสัตว์ป่าเสียสติ จะดำเนินต่อไปอีกนานแค่ไหน?

สองวันก่อนที่จอห์นนี่จะมาถึงหมู่บ้าน ชาวบ้านต้องคอยรับมือการบุกจู่โจมตลอดคืนวัน

แม้จะเป็นแค่การคาดเดา แต่จอห์นนี่เชื่อว่าหมู่บ้านน่าจะถูกบุกมาไม่ต่ำกว่าห้าวันแล้ว

ช่วงแรกที่มาถึงหมู่บ้าน จอห์นนี่ได้แต่ตั้งคำถามว่า ทำไมชาวบ้านถึงเอาแต่สู้โดยไม่หลบหนี

ไม่มีประโยชน์ที่จะรับมือการโจมตีของสปริกแกนคลุ้มคลั่ง

อีกฝ่ายจะไม่หยุดจนกว่าจะได้ผลลัพธ์ และไม่มีทางที่ชาวบ้านจะเอาชนะสปริกแกน

หากเป็นการกระทำที่เกิดจากความโง่เขลา จอห์นนี่คงเข้าใจได้ แต่นักบวชของหมู่บ้านกลับทราบอยู่แล้วว่าศัตรูคือใคร

ดังนั้นจึงเหลือเพียงคำถามเดียว

‘ทำไมถึงยังยืนหยัดป้องกัน? ถ้ารู้สาเหตุ ก็น่าจะรู้ไม่ใช่หรือว่ามันเปล่าประโยชน์’

สำหรับคำถามนี้ ผู้นำหมู่บ้านมอบคำตอบที่เหลวไหล

“ข้าได้รับแจ้งผ่านวิวรณ์ว่า ผู้หยั่งรู้จะช่วยปกป้องพวกเรา”

แม้จะไม่ได้บอกว่าเป็นวิวรณ์จากดารากร แต่ก็ยังฟังดูเรื่องไร้สาระต่อให้คำนึงถึงสิ่งนั้น

ไม่ว่าผู้หยั่งรู้จะเป็นใคร แต่ก็คงไม่มีใครพลิกผันสถานการณ์ได้ เว้นเสียแต่จะเป็นนิรันดร์ชนหรือตัวตนในตำนาน

นั่นคือความคิดของจอห์นนี่

เขาพิจารณาข้อสันนิษฐานของตนในอดีต พลางไตร่ตรองฉากตรงหน้า

รอยสักสัญลักษณ์ของผู้ปกครอง ส่องแสงสีแดงบนหลังมือมนุษย์

เห็นภาพดังกล่าว สปริกแกนสีแดงที่กำลังคลุ้มคลั่งหยุดเคลื่อนไหวทันที

สปริกแกนสีเขียวทำเพียงยืนรอคำสั่งถัดไปของเจ้านายอย่างใจเย็น

วินาทีดังกล่าว ชาวบ้านทยอยลดปลายหอกลง

เมื่อฝูงสัตว์ป่าหยุดอาละวาด ก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องทำร้ายพวกมัน

วิกฤติที่เปลี่ยนให้หมู่บ้านเป็นนรก ระเหิดหายไปในพริบตาจนเหลือเพียงความเงียบครอบงำ

สายลมเย็นพัดผ่าน

แจ็กเกตของคังซอนฮู และเส้นผมยาวสลวยของแวมไพร์ข้างๆ ปลิวไสวเล็กน้อย

จอห์นนี่มองภาพดังกล่าวพลางเกิดเดจาวู

ภูตวิญญาณที่จงรักภักดีต่อผู้ปกครอง และสัตว์ประหลาดที่ถูกภูตตนนั้นกำราบ

ผู้ปกครองกำลังยืนจ้องสัตว์ประหลาดเบื้องหน้าอย่างเยือกเย็น

ฉากข้างต้นชวนให้นึกถึงบทบรรยายในตำนานเก่าแก่

“เจ้านี่คือสัตว์ประหลาดที่โจมตีหมู่บ้าน?”

ชาวบ้านรูปร่างเตี้ยแต่บึกบึนเดินเข้ามาใกล้ผู้นำหมู่บ้านพร้อมกับถาม

ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยโทสะ

“มันฆ่าวัวทุกตัวที่ข้าทะนุถนอม!”

ผู้นำหมู่บ้านเอาแต่ยืนจ้องสปริกแกนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม หอกยาวถูกค่ำยันร่างกายประหนึ่งไม้เท้า

ไม่นานสายตาก็หันไปทางผู้หยั่งรู้

ผู้หยั่งรู้มองไปทางสปริกแกนด้วยสายตาที่ยากจะอ่านความคิด

「นายท่านเชิญรับสั่ง」

จอห์นนี่กำลังคาดหวังคำตอบ ชาวบ้านก็เช่นกัน

มนุษย์ที่ถูกเรียกว่าผู้หยั่งรู้ ควรลงโทษศัตรูและกลายเป็นวีรบุรุษของหมู่บ้าน

นั่นคือเรื่องราวปรัมปราของวีรบุรุษและอัศวิน ที่ชาวต่างโลกล้วนคาดหวัง

เวลาเดียวกัน ผู้หยั่งรู้ยังคงจ้องภูตวิญญาณเสียสติที่กำลังตัวสั่น

คล้ายกับเขาจมอยู่ในความคิด แต่ไม่ว่าจะสังเกตอย่างไรก็อ่านสายตาไม่ออก

「พวกเจ้าต้องตาย! ทุกคนที่บุกรุกถิ่นของข้าต้องตาย!」

เสียงสั่นเครือของสปริกแกนสีแดงดังกังวาน

“แกกำลังกลัวอะไร?”

วินาทีนั้น จอห์นนี่ทราบทันที

อารมณ์ในดวงตามมนุษย์มิใช่ความเดือดดาลหรือรำคาญ แต่เป็นความสงสัย

「…」

คำพูดดังกล่าวทำให้ภูตวิญญาณคลุ้มคลั่งสงบลง

ไม่ใช่เพราะน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความอ่อนโยน

แต่เพราะอีกฝ่ายคือผู้ปกครอง

「ถิ่นของข้า… ต้องปกป้อง…」

คังซอนฮูกล่าว

“ถ้ายอมสงบสติและฟังที่ฉันพูด ขอสัญญาว่าจะช่วยปกป้องถิ่นของเจ้า”

「…」

“ฉันสัญญา”

「…จะให้ข้าเชื่อลมปากได้ยังไง? เจ้าไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่น่าเชื่อถือ ก็แค่ผู้ปกครอง…」

“ฉันสัญญา”

สปริกแกนสีแดงสั่นเล็กน้อย

เห็นได้ชัดว่าหยดแสงนับพันจุดที่ประกอบกันเป็นร่างอีกฝ่ายกำลังวูบวาบ

ดูเหมือนสถานการณ์จะดำเนินไปในทิศทางแปลกประหลาด แต่ไม่มีชาวบ้านคนใดพูดแทรก

ทุกคนเอาแต่มองไปทางมนุษย์ที่ถูกเรียกว่าผู้หยั่งรู้ ด้วยสายตาเปี่ยมความชื่นชมและศรัทธา

จนกระทั่งจอห์นนี่ก้าวเท้าออกมา

“เอ่อ… ขอโทษที่ขัดจังหวะ… แต่ภูตวิญญาณตัวนี้… โจมตีหมู่บ้านมาหลายวันแล้ว”

“แล้ว?”

“เจ้าไม่คิด… จะลงโทษ…?”

“ถ้าฝนตกจนตัวเปียก คุณจอมเวทจะโกรธฝนไหม”

มนุษย์ยังคงเอาแต่มองสปริกแกนสีแดง

“…คงไม่”

“ภูตวิญญาณก็เหมือนกัน พวกเขาอาจมีชีวิต แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์ธรรมชาติ หากมีสิ่งผิดปรกติเกิดขึ้นกับพวกเขา ที่เราต้องทำคือแก้ไขต้นตอของปัญหา ไม่ใช่นำความโกรธไปลงกับธรรมชาติ”

จากนั้นก็ยิ้มให้ภูตวิญญาณในร่างเสือ

“ใช่ไหม? เซลฟี”

「ขอบคุณนายท่านที่เข้าใจพวกเรา」

คังซอนฮูเปิดปาก

“ฉันสัญญา ถ้ายอมฟังที่พูด ฉันจะให้นายอยู่ในบ้านที่ปลอดภัย”

「……」

สปริกแกนสีแดงส่ายตัวเนิบนาบ ราวกับกำลังใช้ความคิด

จากนั้นก็ส่องแสงจ้าและเลือนหายไปประหนึ่งเทียนไขถูกดับ

ถัดมาไม่นาน สปริกแกนสีแดงยืดตัวขึ้นสูง

รูปร่างไม่ตายตัว แต่คงทำไปเพราะมีเหตุผล

ผ่านไปสักพัก ภูตสีเขียวและภูตสีแดงสบตากัน

「เขาอยากเป็นหนึ่งเดียวกับข้า นายท่านอนุญาตหรือไม่」

คังซอนฮูทราบดีว่าสปริกแกนคือกลุ่มก้อนชีวิต

หากความคิดตรงกัน พวกเขาจะเป็นได้ทั้งหนึ่งอัตตาและหลายอัตตา

“มาอยู่ด้วยกันเถอะ”

คังซอนฮูยื่นแขนไปหาสปริกแกนสีแดงที่กำลังตัวสั่น

รอยสักสีแดงบนหลังมือยังคงส่องแสง

ไม่นานสปริกแกนสีแดงและสีเขียวก็ผสานกลายเป็นหนึ่ง

เกิดเป็นร่างใหม่ที่ส่องแสงสีม่วงครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับไปเป็นสีเขียวอ่อนโยนตามเดิม

รูปกายภายนอกมิได้แปรเปลี่ยน

แต่ลิลี่ที่กำลังมองด้วยดวงตาสีแดง เห็นการเปลี่ยนแปลงชัดเจน

“…วิญญาณรูปร่างต้นอ่อน”

“โตขึ้นแล้วสินะ”

“ใช่ โตขึ้นมาก กลายเป็นต้นไม้แล้ว… ต้นไม้เล็กๆ สีเขียว”

จอห์นนี่รู้สึกทึ่งเมื่อได้เห็นฉากอันน่าอัศจรรย์ด้วยตาตัวเอง

หากไร้คุณสมบัติ ลำพังการเห็นภูตวิญญาณตัวเป็นๆ ก็นับว่ายากแล้ว ไม่ต้องเอ่ยถึงฉากที่สองภูตชีวิตผสานเป็นหนึ่งราก

จอมเวทผู้ศึกษาชีวิตและความตาย ถ่ายพลังทั้งหมดไว้ที่ดวงตาเพื่อไม่ให้พลาดเหตุการณ์สำคัญ

ภูตวิญญาณที่ภักดีต่อผู้ปกครอง และผู้ปกครองที่เข้าใจหัวอกภูตวิญญาณ

ที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่านั้นก็คือ

“นี่มัน… โฉมนักล่า?”

โฉมผู้ปกครองที่ไม่มีใครพบเจอตลอดหลายยุคสมัย

ไม่มีการบันทึกว่า ปฐมนักล่ามีลูกหลานหรือเลือกส่งต่อพลังให้ใคร

คังซอนฮูเพิกเฉยคำพูดจอห์นนี่ เพียงสูดหายใจยาวขณะจ้องสปริกแกน

ประหนึ่งกำลังเชยชมม้าตัวใหม่ที่เพิ่งซื้อมา ด้วยสายตาภาคภูมิใจ

จากนั้นก็มองไปรอบหมู่บ้าน

“ไม่มีใครบาดเจ็บใช่ไหม”

“ท่านคนบ้า!”

ชาวบ้านต่างก้มศีรษะลงพร้อมเพรียง

มีเพียงหนึ่งมนุษย์ หนึ่งแวมไพร์ และหนึ่งจอห์นนี่ที่ยังยืน

* * *

เหตุการณ์จบลงแล้ว ชาวบ้านทยอยซ่อมแซมความเสียหายและเคลื่อนย้ายคนเจ็บ

โชคดีที่เอลฟ์เจ้าของคราบเลือดในป่า กลับมาถึงหมู่บ้านได้โดยสวัสดิภาพ

เขาแค่หมดสติและหลับไปในป่า โชคชะตาช่วยให้ยังมีชีวิตรอด

พวกเราขอเช่าบ้านหนึ่งหลัง ขณะเดียวกันก็คอยห้ามปรามมิให้ชาวบ้านจัดงานเลี้ยงเหมือนครั้งก่อน

“จะไม่จัดการเลี้ยงจริงหรือ”

“ลิลี่อยากไหม?”

เธอส่ายหน้า

ดูเหมือนลิลี่จะเบื่อหน่ายกับสิทธิพิเศษของผู้หยั่งรู้

“แต่เจ้าควรจัดงานเพื่อเอาใจชาวบ้าน”

“เอาใจ?”

“ลองดูสิ พวกเขาตื่นเต้นแค่ไหนที่คนบ้าแวะมาเยือน”

“…”

มองออกไปนอกหน้าต่าง ฉันเห็นชาวบ้านกำลังรวมตัวดื่มเหล้าใจกลางจัตุรัส

“พวกเขามีเจ้าเป็นจุดศูนย์กลาง… บิดาของข้าก็ไม่ชอบงานเลี้ยง แต่ท่านมักจะจัดงานเลี้ยงให้ประชาชนอยู่เนืองๆ”

“โลกของผู้ใหญ่สินะ”

ฉันไม่ชอบโลกแบบนั้นเลย

เหนือสิ่งอื่นใด การถูกเรียกว่าคนบ้าไม่ใช่เรื่องน่าอภิรมย์สักเท่าไร แค่ฉันไม่แสดงออก

แต่อย่างน้อยพวกเขาก็เรียกฉันด้วยเจตนาดี ไม่มีเหตุผลให้ต้องโกรธ

นอกจากนั้น ฉันไม่คิดจะหมกตัวอยู่ในหมู่บ้านนานนัก

ตอนนี้ยังเหลือเรี่ยวแรง และหนทางยังอีกยาวไกล

โดยไม่รีรอ ฉันเรียกหาจอมเวทนามว่าจอห์นนี่

“เอ่อ… เรียกข้า… หรือ?”

คราวก่อนฉันแทบไม่มีเวลาสนใจ จึงไม่ทันสังเกตจอห์นนี่อย่างละเอียด

เขาดูซังกะตายราวกับนักศึกษามหาวิทยาลัยที่ใกล้สอบในอีกสองวัน

โดยเฉพาะน้ำเสียงที่หย่อนยาน

และไม่ใช่แค่นั้น สีหน้าท่าทีของจอห์นนี่แปลกไปจากเดิม วงกลมสีดำรอบดวงตาก็หนาขึ้นกว่าตอนแรก

เขาคงเห็นว่าฉันครอบครองโฉมนักล่า และคงมีข้อมูลของนักล่าพอสมควร

ก็เลยกลัว?

ตอนแรกฉันยังไม่แน่ใจว่า ชาวต่างโลกมีทัศนคติต่อผู้ปกครองอย่างไร

แต่เริ่มเข้าใจหลังจากได้พบผู้ปกครองสองคนที่อยู่ในสภาพย่ำแย่

เริ่มเข้าใจความหมายของลิลี่ ที่บอกว่าแต่ละดินแดนจะแสดงปฏิกิริยาต่อผู้ปกครองต่างกัน

อย่างไรก็ดี นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ

เรื่องดีๆ ในคราวนี้คือการเติบโตของเซลฟี และการได้พบจอห์นนี่

“นายมาจากทางใต้สินะ”

“ใช่…”

“ถ้าอย่างนั้นก็รู้ทางใช่ไหม”

ทว่า จอห์นนี่เผยท่าทีกระอักกระอ่วน

“ข้ารู้… แต่ว่า…”

จอห์นนี่ออกอาการลังเล

“ระหว่างที่ข้า… กำลังข้าม… สะพานแห่งเดียวที่มุ่งหน้าลงใต้… พังถล่ม”

“สะพานพัง? เพราะอะไร?”

“แผ่นดินไหว… ไม่มีใครรู้ว่าสะพานสร้างขึ้นเมื่อไร… แถมยังไม่มีใครคอยดูแลหลังจากจักรวรรดิเสื่อมอำนาจ… จะพังก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”

“สะพานยาวแค่ไหน? ถ้าไม่มีสะพานก็ข้ามไม่ได้?”

จอห์นนี่พยักหน้า

“เฮ้อ…”

ลิลี่จับหน้าผากพลางถอนหายใจยาวราวกับกำลังปวดหัว

แน่นอนว่าเธอไม่ได้ปวดหัว แถมยังรู้ด้วยว่าแผนสำรองคืออะไร

“แถวนี้มีไบฟรอสต์นี่? น่าจะใช่นะ”

“ข้าแค่รู้ว่ามี… แต่ไม่ทราบพิกัดแน่ชัด…”

“…นายไม่รู้? เป็นจอมเวทไม่ใช่หรือ”

จอห์นนี่ทำหน้าลำบากใจ

“ในเมื่อใช้ไม่ได้อยู่แล้ว… ก็เลยไม่รู้ว่า… จะหาตำแหน่งไปทำไม…”

เวลาเดียวกัน นักบุญหญิงเปิดประตูเข้ามา

เธอบรรจงเปิดอย่างระมัดระวัง และเผยสีหน้าเขินอายเมื่อเห็นว่าพวกเรากำลังสนทนา จึงรีบปิดประตูและก้าวถอยหลังประหนึ่งเตรียมจาก

“ไม่เป็นไร เข้ามาเลย”

จอห์นนี่จ้องเธอสักพักก่อนจะพูด

“ท่านมากับ… นักบวชสินะ เธอ… คาบมีดทำไม? เหตุผลทางศาสนา?”

คงไม่รู้จักมีดเล่มนั้นสินะ

ไม่รู้อาจจะดีกว่า ฉันตัดสินใจไม่เล่าออกไป

“ถ้ามีนักบวช… มาด้วยล่ะก็… เข้าใจแล้วว่า… ทำไมท่านถึงถามหาไบฟรอสต์… นั่นเป็นสมบัติ… ของนักบวช…”

“นายมั่นใจว่าแถวๆ นี้มีแน่ใช่ไหม”

“ถึงจะรู้ว่ามี… แต่ก็ไม่รู้ว่าที่ไหนอยู่ดี… นั่นเท่ากับ…”

“เซลฟี”

「นายท่านเชิญรับสั่ง」

ห้องทั้งห้องส่องแสงสีเขียวชั่วขณะ

จอห์นนี่หยุดหายใจเป็นเวลานานจนเกือบจะหมดสติ

พลังงานสีเขียวผุดขึ้นจากพื้นและก่อตัว

กลายเป็นภูมิประเทศ

แผนที่สามมิติที่สมบูรณ์แบบของละแวกนี้

สปริกแกนสีแดงซึ่งเคยทรงอิทธิพลในบริเวณใกล้เคียง ปัจจุบันคือส่วนหนึ่งของเซลฟี

“แปลว่าแถวนี้กลายเป็นถิ่นของฉันแล้วสินะ”

ลิลี่ยิ้มพลางพยักหน้า

นักบุญหญิงเบิกตากว้าง พลางสอดส่องแผนที่สามมิติด้วยความอยากรู้อยากเห็น

ฉันบันทึกทุกสิ่งใส่สมอง ไม่เพียงจะจดจำรูปทรง แต่ยังรวมถึงเอกลักษณ์และคุณลักษณะ

“ไบฟรอสต์อยู่ตรงนี้ เราจะไปถึงในหนึ่งวัน”

ฉันลุกขึ้นพร้อมกับสะพายกระเป๋า

ไม่มีเหตุผลให้ต้องประวิงเวลา จึงควรออกเดินทางทันที

ทว่า

“ข…ข้าขอเสียมารยาท… ถามท่านสักเรื่องได้หรือไม่…?”

จอห์นนี่พูดเสียงยานอันเป็นเอกลักษณ์

เสียมารยาทอะไร?

ฉันจ้องหน้าจอห์นนี่

“ท…ท่านคือทายาทของเอลเดอร์ลิช…? หรือว่าท่านคือเอลเดอร์ลิช?”

“หา?”

เอลเดอร์ลิช?

…อะไรอีกล่ะนั่น

ลิลี่กลอกตาเล็กน้อย ตามด้วยใช้ศอกแยงสีข้างฉัน

“ยินดีด้วย เจ้ามีชื่อเล่นซีซั่นสามแล้ว”

“…”

ตอนแรกฉันก็ไม่อยากใส่ใจนัก แต่เมื่อคำนึงถึงเหตุการณ์ทางชายแดนใต้ เห็นทีจะไม่คิดมากคงไม่ได้แล้ว

ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากพบเจอคนแปลกหน้าอีก

______________________

ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร พุธ เสาร์ และอาทิตย์ (3/4)

ติดตามผลงานของผู้แปล และนิยายทุกตอนได้ที่เพจเฟสบุค:

https://www.facebook.com/bjknovel/

หรือพิมพ์ค้นหา: bjknovel

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด