บทที่ 835 ลองของสักหน่อยดีไหมนะ?(ตอนฟรี)
บทที่ 835 ลองของสักหน่อยดีไหมนะ?
“ที่ดึงแก๊งตงไห่เข้ามา ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่จะให้ซูหยวนกับซูยาหยุนได้มาเจอได้มารู้จักกัน ฉันเคยบอกแล้วไง ฉันจะไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวระหว่างพวกเธอ และฉันก็ไม่สามารถเข้าไปยุ่งได้ด้วย” จี้เฟิงส่ายหัวเล็กน้อยและพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องห่วง ฉันเตรียมการบางอย่างไว้อยู่แล้ว แต่ยังบอกไม่ได้ เพราะถ้าเกิดพังขึ้นมาตอนนี้คงไม่ใช่เรื่องดี”
“พ่อคนความลับเยอะ!”
โจวเฟยเฟยอดไม่ได้ที่จะกลอกตามองจี้เฟิง แต่ทันทีจากนั้นเธอก็ถามอีกครั้ง “คุณชายจี้ บอกฉันหน่อยไม่ได้เหรอ?”
“บอกไม่ได้จริงๆ!” จี้เฟิงหัวเราะ
“คุณคิดว่าฉันโง่มากเลยสินะ?” โจวเฟยเฟยถามอย่างโกรธเคือง “แล้วพอคุณคิดว่าฉันโง่ คุณก็เลยรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องอธิบายสิ่งที่คุณคิดไว้ให้ฉันฟัง เพราะฉันก็คงไม่เข้าใจอยู่ดี แม้แต่ตอนนี้ฉันก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องทำอะไร!”
ห๊ะ?
จี้เฟิงอึ้งไปเล็กน้อยเมื่อเห็นโจวเฟยเฟยโกรธ แต่แล้วเขาก็หัวเราะและพูดว่า “เฟยเฟย เธอไม่ได้โง่ แค่เราสองคนยืนกันอยู่คนละจุด ดังนั้นความคิดและมุมมองของเราค่อนข้างจะแตกต่างกัน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเธอโง่!”
“จริงเหรอ?!” โจวเฟยเฟยถาม
“เธอคิดว่าฉันพูดปลอบเพื่อเอาใจเธออยู่หรือไงล่ะ?” จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างเซ่อๆ
จากนั้นใบหน้าที่สวยงามของโจวเฟยเฟยก็เปลี่ยนเป็นสีแดงและจ้องจี้เฟิงเขม็ง แต่ในใจของเธอเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อนยากที่จะอธิบายออกมาเป็นคำพูด... ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น ปกติแล้วโจวเฟยเฟยเป็นผู้หญิงที่ฉลาด อย่างน้อยก็ในการดำเนินธุรกิจบางอย่าง หลังจากที่ศึกษามาปีสองปี ตอนนี้เธอสามารถควบคุมกลุ่มบริษัทเซิ่งฉีได้ทั้งหมด และจัดการได้อย่างดีเยี่ยม
แม้ว่าจะมีผู้จัดการมืออาชีพคอยช่วยเหลือในระหว่างกระบวนการนี้ แต่การทำงานพื้นฐานเหล่านั้นก็อยู่ในสายตาเธอทั้งหมด เธอสามารถค้นหาปัญหาในการดำเนินงานของบริษัทได้จากตัวเลขและรายงานจำนวนมาก ทำให้รู้ว่าผู้ใต้บังคับบัญชาที่อยู่ด้านล่างมีการโกงหรือไม่
สิ่งเหล่านี้ต้องการมากกว่าแค่ประสบการณ์ ความเฉลียวฉลาด สายตาและจิตใจก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน
อย่างไรก็ตาม เมื่ออยู่ต่อหน้าจี้เฟิง โจวเฟยเฟยรู้สึกว่าสมองของเธอไม่เพียงพอ ตัวอย่างเช่นแผนการขั้นแรกของเขาเมื่อคืนนี้ มันทำให้เธอพยายามคิดและตีความอยู่นานสุดท้ายก็ไม่ได้คำตอบ จนกระทั่งเธอกลับถึงบ้าน ได้คำอธิบายจากคุณปู่ เธอถึงจะเข้าใจเหตุและผลต่างๆที่ซ่อนอยู่ในความตั้งใจของจี้เฟิง
มาคิดดูตอนนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะเธอโง่เกินไปแล้วจะเป็นอะไรได้อีก?!
อย่างไรก็ตาม เมื่อได้ยินจี้เฟิงพูดแบบนั้น โจวเฟยเฟยก็รู้สึกได้ทันทีว่าเมื่อเธออยู่ต่อหน้าผู้ชายคนนี้เธอกลายเป็นคนโง่เง่า....
โจวเฟยเฟยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโหวงๆในใจ นี่เธอตกหลุมรักผู้ชายคนนี้จริงๆหรือ?
“คุณชายจี้ ฉันยังมีคำถามที่จะถามคุณ!” หลังจากหยุดไปชั่วคราว โจวเฟยเฟยก็พูดทันที
“มีอะไรก็พูดมาได้เลย!” จี้เฟิงหัวเราะ
“ที่ฉันอยากถามก็คือ ถ้าคุณมีแฟนอีกคน แล้วแฟนคนปัจจุบันรู้ เธอจะไม่ต่อว่าคุณเหรอ?” โจวเฟยเฟยถามด้วยท่าทางแปลกๆ
“ห๊ะ?!”
เมื่อจี้เฟิงได้ยินคำถามนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะตกใจและไม่ทันได้สังเกตท่าทางของโจวเฟยเฟย “ยังไงดีล่ะ.. เออ! กี่โมงแล้วเนี่ย เฟยเฟย! ฉันว่าเราสั่งอาหารกันก่อนดีกว่า ซูยาหยุนน่าจะใกล้มาถึงแล้วล่ะ!”
โจวเฟยเฟยระงับความคิดเพ้อเจ้อของเธอลงทันทีก่อนจะยิ้มและพูดว่า “ได้สิ แล้วคุณชายจี้ชอบทานอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า ถ้าให้ฉันแนะนำ ปูขนของที่นี่ดีที่สุดในย่านนี้เลย แต่ไม่รู้ว่าคุณชายจี้จะชอบหรือเปล่า หรือทานจนเบื่อแล้วก็ไม่รู้”
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและยิ้ม “ลืมเรื่องปูขนไปได้เลย ฉันไม่สั่งอาหารตามเทรนด์แน่นอน เอาพวกอาหารเป็นจานๆมาดีกว่า สั่งมาเท่าที่เราจะกินก็พอ!”
สำหรับสิ่งที่เรียกว่าปูขน จี้เฟิงไม่กล้าที่จะเชยชมมันด้วยซ้ำ
ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปูขนเหมือนกำลังแผ่ขยายอิทธิพล มันฮอตฮิตไปทั่วตลาดประเทศจีน!
และด้วยความนิยมที่เฟื่องฟูนี้ ราคาของปูขนก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นราคาที่โอเวอร์เกินไปมาก แต่ราคายิ่งแพง คนก็ยิ่งซื้อมากขึ้น จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวให้กับค่านิยมแบบนี้ นี่มันบ้าเกินไปแล้ว!
ในความเป็นจริง เขาเชื่อว่าสถานการณ์นี้เป็นเพียงการยืนยันประโยคหนึ่งที่กล่าวว่า “สินค้าฟุ่มเฟือยเอาไว้ขายคนจน!”
อีกอย่าง ของพวกนี้ส่วนใหญ่ คนซื้อไม่ได้ใช้ คนใช้ไม่ได้ซื้อ... และแน่นอน แม้ว่าจะเป็นประโยคแดกดันแต่มันก็เป็นความจริง
ดังนั้นเมื่อพูดถึงปูขนตัวนี้ จี้เฟิงก็ส่ายหัวทันที เทรนด์แบบนี้ไม่ใช่เรื่องจำเป็นที่จะต้องทำตาม มิฉะนั้นแม้ว่าคุณจะมีเนื้อมังกรอยู่ในปากก็คงไม่อร่อยอยู่ดี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องสั่งปูขนในนัดที่มีการพูดคุยเป็นหลัก อาหารไม่ใช่สาระสำคัญ แต่สิ่งที่ไม่ใช่สาระสำคัญตัวนี้มันเท่ากับค่าครองชีพของเขาหลายเดือน!
“ไม่ได้เสียเงินสักหน่อย จะกลัวอะไร?” โจวเฟยเฟยถามด้วยรอยยิ้ม
จี้เฟิงยิ้มแหยๆ “ไม่อยากคุ้นเคยกับการกินอยู่อะไรที่มันแพงๆน่ะ พยายามอยู่ให้ไกลกับอะไรพวกนี้ให้ได้มากที่สุด เป็นสามัญชนตัวน้อยๆตามแบบฉบับของฉันเหมือนเดิมดีกว่า!”
“ใครเป็นสามัญชนตัวน้อยๆนะ?!” โจวเฟยเฟยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ เธอไม่รู้จะพูดยังไงเลยจริงๆ ถ้าอย่างจี้เฟิงเป็นสามัญชนตัวน้อยๆ แล้วเธอจะเรียกว่าเป็นอะไร?
“ฉันไง ไม่ว่าภายนอกจะเป็นยังไง แต่หัวใจของฉันก็คือสามัญชนคนทั่วไป นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด!” จี้เฟิงยิ้ม
โจวเฟยเฟยยิ้มและพูดว่า “โอเคๆ อยากเล่นบทคนจนก็ตามสบาย แต่ฉันคิดว่าคนอย่างคุณชายจี้คงไม่เคยเห็นด้วยซ้ำว่าชีวิตคนทั่วไปเป็นอย่างไร... อยากทานอะไรก็สั่งเลยแล้วกันนะคะ!”
“ฉันเนี่ยนะไม่เคยเห็นว่าชีวิตคนธรรมดาเป็นยังไง?” จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและหัวเราะ จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าการทำงานหนักของคนยากจนเป็นยังไงมากกว่าตัวเขา? แม้ว่าเขาจะคิดแบบนี้อยู่ในใจ แต่เขาก็ไม่ได้โต้แย้ง บางสิ่งบางอย่างแค่รู้ดีอยู่แกใจก็พอ ไม่จำเป็นต้องบอกเล่าเก้าสิบให้ทุกคนได้รู้
ความลำบากในอดีตยังคงฝังลึกอยู่ในจิตใจและนึกถึงมันอยู่เสมอ แต่ตอนนี้เขาเต็มไปด้วยพลัง ปกติแล้วคนเช่นนี้จะมีปมด้อยอยู่ในใจ ทำให้ดูแคลนคนยากจนเหล่านั้น คิดว่าตัวเองสูงส่งและมีรสนิยมที่ดีเลิศ แต่แท้จริงแล้วพวกเขานั้นมีจิตใจที่ว่างเปล่า
ความสงบที่แท้จริงคือการเปิดใจ ไม่อับอายอดีตที่เคยยากจนและไม่หลงมัวเมาไปกับความร่ำรวย
นี่คือเหตุผลที่จี้เฟิงคนปัจจุบันเข้าออกโรงแรมระดับไฮเอนด์และขับรถดีๆอาศัยอยู่ในวิลล่าราคาแพง แต่แนวคิดของเขายังคงเป็นคนสบายๆ ไม่เน้นย้ำการใช้ชีวิตตามเทรนด์ที่ฟุ่มเฟือยโดยเปล่าประโยชน์
ใช้แค่ของที่จำเป็นและหาซื้อได้ทั่วไป
ส่วนวัตถุภายนอกที่ฟุ่มเฟือยเหล่านั้น จี้เฟิงแทบไม่มองด้วยซ้ำไปและมันก็ไม่ใช่รสนิยมของเขา!
..........
ในขณะที่จี้เฟิงและโจวเฟยเฟยกำลังพูดคุยและหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ซูยาหยุนซึ่งสวมเสื้อโค้ตขนสัตว์สีขาวและกางเกงสแล็คอย่างมีสไตล์ได้เดินเข้ามาในโรงแรมพร้อมกับผู้ติดตามอีกหลายคน
ทันใดนั้นพนักงานต้อนรับได้นำทางพวกเขามายังห้องอาหารส่วนตัวที่จี้เฟิงและโจวเฟยเฟยอยู่
และเมื่อพวกเขาเดินมาถึงประตู จู่ๆหลิวเจ๋อจุนก็ยื่นมือออกมาขวางซูยาหยุนและคนอื่นๆไว้ “พวกคุณเป็นใคร?!”
ทันใดนั้นหัวใจของซูยาหยุนและคนอื่นๆก็เต้นเร็วขึ้น ความหนาวเย็นแผ่ซ่านจากปลายมือและเท้าไล่ขึ้นไปที่สันหลังอย่างรวดเร็ว จากนั้นพวกเขาก็รู้สึกขนหัวลุก
แรงกดดันที่ทำให้ขนลุกขนาดนี้นี่มันอะไรกัน!
ซูยาหยุนและคนอื่นๆอดไม่ได้ที่จะอุทานอยู่ในใจ
“ฟึ่บ!”
หลิว ฉีชางรีบก้าวไปขวางหน้าซูยาหยุนทันที คนอื่นๆ ก็ขยับตัวและยืนล้อมซูยาหยุนเช่นกัน กล้ามเนื้อทั่วร่างกายของพวกเขาตึงเครียดและมองไปที่หลิวเจ๋อจุนด้วยความระแวดระวัง “พี่ชาย บอสของเรามาที่งานเลี้ยงตามคำเชิญของคุณโจว มีปัญหาอะไรหรือไม่?”
“ชื่อ?” หลิวเจ๋อจุนถามเบาๆ
ซูยาหยุนสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อบังคับให้ตัวเองสงบสติอารมณ์ เธอผลักหลิว ฉีชางออกไปและพูดกับหลิวเจ๋อจุนอย่างสุภาพ “พี่ชาย ฉันชื่อซูยาหยุน เป็นหัวหน้าของกลุ่มตงไห่”
“ปรากฏว่าเป็นคุณซู เชิญครับ คุณโจวและเจ้านายของเรากำลังรอคุณอยู่ข้างใน” หลิวเจ๋อจุนพยักหน้าเล็กน้อย
“ขอบคุณมากพี่ชาย!” ซูยาหยุนมองหลิวเจ๋อจุนอย่างลึกล้ำจากนั้นก็เปิดประตูและเดินเข้าไป แต่ในใจของเธอมีความเคร่งเครียด ‘คนผู้นี้คือบอดี้การ์ดของโจวเฟยเฟยงั้นหรือ?!’
หลิว ฉีชางยืนอยู่ข้างนอกใกล้กับประตูพร้อมกับผู้ติดตามของซูยาหยุนอีกสองคน เพื่อคอยดูแลความเรียบร้อย
..........
“คุณโจว สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้พบนะคะ!” เมื่อเธอเดินเข้ามาข้างใน ซูยาหยุนก็เห็นโจวเฟยเฟยกำลังนั่งอยู่บนโซฟา เธอพูดคุยและหัวเราะกับชายหนุ่มคนหนึ่ง ซูยาหยุนแอบรู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อย แต่ใบหน้าของเธอยังคงประดับไปด้วยรอยยิ้มที่สุภาพและเป็นกันเองพร้อมกับเดินเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว
“หัวหน้าซู ถ้าคุณไม่ว่าอะไร เรียกฉันว่าเฟยเฟยหรือน้องสาวก็ได้ค่ะ!” โจวเฟยเฟยยืนขึ้นและพูดด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นกันเอง
“งั้นฉันจะเรียกคุณว่าเฟยเฟย ส่วนคุณก็เรียกฉันว่ายาหยุนก็แล้วกันนะคะ!” ซูยาหยุนหัวเราะเบาๆ
ผู้หญิงสองคนที่มีความงามที่หาได้ยากและมีเสน่ห์พอๆกันมายืนอยู่ด้วยกันทำให้ห้องอาหารแห่งนี้มีชีวิตชีวาขึ้นมาก ดวงตาของจี้เฟิงสว่างสดใสและตื่นตาตื่นใจไปกับฉากที่งดงามนี้ทันที
เขาอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าอย่างลับๆ ด้วยคำทักทายง่ายๆไม่กี่คำ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้หญิงสองคนก็ใกล้ชิดกันขึ้นมาก วิธีการสื่อสารเช่นนี้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของผู้หญิงจริงๆ และเขาก็ไม่สามารถเรียนรู้ได้ถึงแม้ว่าจะต้องการก็ตาม แต่มันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าวิธีนี้มีประโยชน์มากทีเดียว
“พี่ยาหยุน ให้ฉันแนะนำก่อนนะคะ นี่คือคุณชายจี้ เป็นเพื่อนของฉันเองค่ะ” โจวเฟยเฟยผายมือไปทางจี้เฟิง
ซูยาหยุนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ยังคงมีรอยยิ้มที่สุภาพอยู่บนใบหน้าของเธอ “สวัสดีค่ะคุณชายจี้”
จี้เฟิงยิ้มและพยักหน้าเป็นการทักทาย เป็นเพราะว่าตัวเอกในวันนี้คือโจวเฟยเฟย แม้ว่าเขาจะอยู่ที่นี่ด้วยแต่ก็มีฐานะเป็นเพียงแค่ผู้ชมข้างสนามเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มากความ
แต่หารู้ไม่ว่าท่าทางของเขาในสายตาของซูยาหยุน มันเป็นสไตล์ของพวกคุณชาย
จากมุมมองของซูยาหยุน นี่อาจเป็นคุณชายจากตระกูลใดสักตระกูลหนึ่งที่กำลังทำคะแนนเพื่อตามจีบโจวเฟยเฟย หรือไม่ก็เป็นนายน้อยจากตระกูลโจว สำหรับคนประเภทนี้ ซูยาหยุนไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ดังนั้นหลังจากทักทายตามมารยาทแล้ว เธอก็ไม่คิดจะเสวนากับจี้เฟิงอีก
“พี่ยาหยุน แล้วคนนี้คือ...” โจวเฟยเฟยชี้ไปที่ชายหนุ่มหน้าตาสุภาพที่เดินมาพร้อมกับซูยาหยุนและถามด้วยรอยยิ้มว่า “แฟนของพี่หรือเปล่าคะ?”
“อ๋อ ไม่ใช่ค่ะ เขาชื่อจ้าว หยาฟ่าน เป็นผู้จัดการทั่วไปของกลุ่มเรา” ซูยาหยุนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
........
ที่ด้านนอกห้องอาหารส่วนตัว หลิว ฉีชางที่ใบรอยแผลเป็นบนใบหน้ายืนอยู่ใกล้กับประตู กำลังมองไปที่หลิวเจ๋อจุนที่ไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆทางสีหน้า และอดไม่ได้ที่จะพึมพำในใจ ‘ถ้ามองจากภายนอก ผู้ชายคนนี้ถือได้ว่าน่ากลัวไม่เบา ดูแล้วทำให้รู้ได้เลยว่าเขาคือผู้ชายที่มีความสามารถที่ไม่ธรรมดา!’
แต่สิ่งที่เขารู้สึกโมโหขึ้นมาก็คือหลังจากที่เขาถูกสายตาของหลิวเจ๋อจุนมองมา เขากลับรู้สึกกลัวขึ้นมาในใจจริงๆ!
สิ่งนี้ทำให้หลิว ฉีชางผู้ซึ่งมีความมั่นใจในตัวเองรู้สึกหงุดหงิดเอามากๆ กี่ครั้งแล้วที่เขาเลียเลือดจากคมมีดตลอดหลายปีที่ผ่านมา แล้วคนอย่างเขาจะกลัวเด็กหนุ่มที่ทำท่าน่าเกรงขามคนนี้เนี่ยนะ?!
“จะลองของกับไอ้หมอนี่ดีมั้ยนะ..” หลิวฉีชางลูบแผลเป็นที่คางของเขาด้วยท่าทางครุ่นคิด ใจของเขาเรียกร้องให้สั่งสอนบทเรียนให้กับหลิวเจ๋อจุนที่กล้าทำให้เขาตกใจกลัวโดยไม่ทันตั้งตัวเพื่อกู้คืนหน้ากลับมา
.....จบบทที่ 835 ~