ตอนที่ 7-12 ยอมช่วยเหลือ
การเดินทางบนเส้นทางสายรกร้างนี้องค์ชายรองชาร์คแห่งเฟนไลมักสบถสาปแช่งอสูรเวทอย่างเหลืออด ในระยะห่างๆนี้เองลินลี่ย์รีบถอดแหวนมิติเก็บสมบัติออกจากนิ้วและเก็บไว้ในกระเป๋าของเขา
“ราชวงศ์ของเฟนไลแบ่งกองทหารเป็นหลายกลุ่มเมื่อพวกเขาออกจากอาณาจักร ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาคงต้องเตรียมสถานที่ซึ่งพวกเขาจะได้พบกันไว้แน่”
ลินลี่ย์กำลังกังวลเรื่องสถานที่ที่เขาจะไปตามหาเคลย์ แต่ตอนนี้ฟ้าส่งชาร์คและกองกำลังของเขามาให้เขาแล้วลินลี่ย์จะไม่ดีใจได้ยังไง? นอกจากนี้ลินลี่ย์สามารถเดาได้ว่าเมื่อเขาพยายามสังหารเคลย์แล้วถูกศาสนจักรเจิดจรัสจับตัวไว้ ทางศาสนจักรที่ตั้งใจไว้แต่เดิมจะใช้งานเขาจึงมีแนวโน้มว่าเคลย์จะถูกสั่งให้เงียบ
“บางทีชาร์คผู้นี้ยังไม่ทราบว่าปีศาจที่พยายามสังหารบิดาของเขาก็คือข้าเอง”
ขณะที่เขากำลังคิดเรื่องเหล่านี้ ลินลี่ย์เริ่มเดินตรงไปที่ชาร์ค
ลินลี่ย์ก็ยังมีความคิดอีกอย่างหนึ่งเช่นกัน “ถ้าชาร์ครู้ว่าข้าพยายามฆ่าบิดาของเขา อย่างนั้นพวกเขาก็จะไม่มีใครรอดชีวิต” คนของชาร์คแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับอสูรเวททั้งหมดที่พวกเขาผ่านมา แต่หากจะเทียบกับลินลี่ย์และบีบีทั้งสองที่ผิดปกติธรรมดานี้พวกเขานับว่าไม่มีอะไรเลย
“คารวะ, องค์ชายรอง!”
ลินลี่ย์ส่งเสียงเรียกด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตร
ชาร์คกำลังนั่งกินเนื้อย่างพลางสบถไปด้วยได้ยินเสียงตะโกนของลินลี่ย์ เขาหันศีรษะไปมองลินลี่ย์ ขณะที่เขาทำอย่างนั้น ลินลี่ย์กับบีบีก็มองเขาอย่างระมัดระวังด้วยและให้ความสนใจทุกสีหน้าอาการของเขาขณะจ้องมอง
“ถ้าดูเหมือนจะมีอะไรไม่ชอบมาพากลให้เราลงมือคร่ากุมก่อน จากนั้นค่อยฆ่า!”ลินลี่ย์มองตาและหน้าของชาร์คอย่างระมัดระวัง
เมื่อเห็นลินลี่ย์ชาร์คลุกขึ้นยืนอย่างตื่นเต้น เขาพุ่งเข้ามาหา ร่างของเขากำยำสูงประมาณสองเมตรและเขาดึงลินลี่ย์เข้ามากอดทันที น้ำเสียงของเขาดีใจมากขณะกล่าว“ใต้เท้าลินลี่ย์! ท่านออกมาได้อย่างปลอดภัยจริงๆด้วย วิเศษ นี่มันวิเศษจริงๆ!”
“ข้ามีดีใจมากจริงๆ ที่ได้พบท่านที่นี่องค์ชายรอง!” ลินลี่ย์ตรวจไม่พบพิรุธในดวงตาและสีหน้าของชาร์ค เขาพอใจในตัวเอง
ลินลี่ย์คาดการณ์ถูกเคลย์ถูกศาสนจักรเจิดจรัสปรามให้นิ่งเงียบไว้และนั่นทำให้เขาไม่ได้เปิดเผยเรื่องปีศาจที่พยายามสังหารเขาว่าคือลินลี่ย์ไม่ว่าเคลย์จะกล้าเพียงไหน เขาก็ยังไม่กล้าขัดคำสั่งของศาสนจักรเจิดจรัสโดยตรง
“ใต้เท้าลินลี่ย์ ท่านกินอะไรมาบ้างหรือยัง?มาเถอะ มากินกับเรา” ชาร์คพูดอย่างเป็นกันเอง
ตอนนี้,ชาร์คไม่รู้ตัวเลยว่าเขากำลังเดินอยู่ในห้วงความเป็นความตาย ถ้าเพียงแต่ตอนนี้เขาแสดงสีหน้าท่าทางที่ผิดปกติอย่างใดอย่างหนึ่ง เขาจะต้องตาย
“ใต้เท้าลินลี่ย์,โปรดอย่าตำหนิพระบิดาข้าว่าไม่ช่วยท่านเลยนะ ฝูงสัตว์ประหลาดพวกนั้นมารวดเร็วเกินไป พระบิดาของข้าไม่มีทางเลือก เขาไม่สามารถพาพระสนมของเขาไปได้ทั้งหมดด้วยซ้ำ แค่นำไปได้เฉพาะกลุ่มคนที่สำคัญที่สุด”ชาร์คอธิบายถึงพฤติกรรมของบิดาของเขา
“ข้าเข้าใจ”ลินลี่ย์พยักหน้าขณะที่เดินตรงเข้ามาที่ตั้งค่าย
อัศวินฝีมือดีเหล่านั้นทั้งหมดทำให้ลินลี่ย์นึกถึงอัศวินของกองกำลังพายุสายฟ้าที่เขาต่อสู้ด้วยตอนที่เขาจู่โจมเคลย์ที่วังหลวง อัศวินที่อยู่ต่อหน้าเขามีกลิ่นอายและการกระทำที่คล้ายกันนอกจากเหล่าอัศวินประมาณสามสิบคนแล้วยังมีสุภาพสตรีค่อนข้างมีอายุคนหนึ่งและเด็กหญิงวัยราวๆ ห้าหรือหกขวบอีกคน
“ถวายบังคมพระสนม, องค์หญิง”
ลินลี่ย์คำนับสตรีทั้งสองคนทันที
พระสนมผู้งดงามดูสุภาพวัยราวๆ สี่สิบปี แต่นางดูเหมือนกับว่ามีอายุราวสามสิบปีนางเป็นสตรีที่มีเสน่ห์น่าลุ่มหลง พระสนมหัวเราะทันที “ลินลี่ย์, เมื่อฝ่าบาทเสด็จจากไปอย่างตระหนกตกใจ เขาไม่ได้พาจอมเวทไปกับเขาด้วยเลยสักคน และเขารู้สึกมั่นใจว่าศาสนจักรเจิดจรัสจะต้องมาช่วยเจ้า ดังนั้น....”
ทั้งชาร์คและพระสนมต่างก็แก้ต่างให้เคลย์ทันที
ชาร์คและพระสนมรู้สึกว่าเป็นเรื่องสำคัญจำเป็นต้องรักษาสัมพันธ์ที่ดีกับลินลี่ย์ไว้ พวกเขาไม่รู้ความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างลินลี่ย์กับเคลย์
“ข้าเข้าใจ”แต่ในใจลินลี่ย์กำลังหัวเราะอย่างเย็นชา ก่อนนั้นเมื่อเขาสู้กับคนของเคลย์ในวัง ลินลี่ย์สังเกตไว้แล้วว่า เหล่าองครักษ์ประกอบด้วยพวกอัศวินล้วนๆไม่มีนักเวทปรากฏตัวให้เห็น ในทำนองเดียวกันไม่มีนักเวทปรากฏตัวที่นี่หรือในกองทหารของชาร์คด้วยเช่นกัน
เห็นได้ชัดว่าเมื่อเคลย์หนี เขาไม่มีเวลาตามตัวนักเวทของเขาแม้แต่น้อย
แม้ว่านักเวทจะมีประโยชน์มากเมื่อเกิดการต่อสู้ แต่เวลานี้พวกเขาได้แต่หนี ไม่ได้สู้กับอสูรเวท การนำจอมเวทไปด้วยจะทำให้การเดินทางล่าช้า จอมเวทจะเดินทางได้เร็วและทรงพลังเท่านักรบได้ยังไง? นักรบที่แข็งแกร่งทรงพลังมากบางคนสามารถวิ่งได้ราวกับลมพัดแม้ว่าพวกเขาจะไม่มีม้าก็ตาม แต่นักเวทเล่า?
……….
บนเส้นทางสายเปลี่ยวร้างชาร์คและกองทหารของเขายังคงรีบเร่งเดินทางไม่หยุด บางส่วนของหมู่บ้านที่เคยเจริญที่ได้พบเห็นระหว่างทางล่มสลายพังทลายเหลือแต่เถ้าถ่าน ซากศพที่เน่าเปื่อยมีให้เห็นทุกที่ ในแผ่นดินที่รกร้างนี้ เหล่าอสูรเวทที่ได้พบเห็นอยู่เดี่ยวบ้างเป็นคู่บ้าง
มนุษย์ผู้โชคดีเหล่านั้นพยายามหลบหนีการประหารหมู่ครั้งแรกได้ในที่สุดก็ถูกไล่ตามทันถูกพวกอสูรเวทเร่ร่อนเหล่านี้จับกิน
“อาณาจักรเฟนไลของเราจบสิ้นแล้ว”
ชาร์คขี่ม้าเคียงข้างลินลี่ย์ ขณะที่กล่าวอยู่บนหลังม้าเขาสามารถมองเห็นได้ไกลๆ บางทีอสูรเวทเตรียมจะโจมตีพวกเขา แต่อัศวินพายุสายฟ้ากำจัดพวกมันได้อย่างง่ายดายชาร์คกับลินลี่ย์สนทนากันได้โดยไม่ถูกรบกวน
“มีแนวโน้มว่าในคราวนี้พลเมืองอาณาจักรเฟนไลคงตายไปเก้าในสิบส่วน” หน้าของลินลี่ย์เต็มไปด้วยความเสียใจสิ้นหวังเหมือนกัน
ชาร์คพยักหน้าเล็กน้อย
ในใจของเขา ชาร์คก็คงอาลัยอาวรณ์อาณาจักรเฟนไลที่ล่มสลายก็หมายความว่าตระกูลของเขาไม่ใช่ราชวงศ์อีกต่อไป เมื่อไม่มีอาณาจักรให้ปกครองแล้วยังจะมีราชวงศ์ได้อย่างไร?
“ยังโชคดีอยู่บ้าง...” ความคิดของชาร์คพลันนึกถึงการ์ดแก้วเครดิตเวทในกระเป๋าของเขา ด้วยการ์ดเครดิตเวททั้งห้าใบนี้แม้ว่าราชวงศ์เฟนไลจะไม่มีอาณาจักรอีกต่อไปแต่คงไม่ยากเกินไปที่พวกเขาจะกลายเป็นตระกูลที่ทรงพลังอีกครั้ง ต้องขอบคุณความมั่งคั่งที่สั่งสมมาเป็นพันปีของพวกเขา ทันใดนั้นลินลี่ย์ถามขึ้น “องค์ชายรอง เราจะไปพบกับฝ่าบาทที่ไหนกัน?”
วัตถุประสงค์ที่ลินลี่ย์เดินทางพร้อมกับชาร์คก็เพื่อให้รู้ว่าเคลย์อยู่ที่ใด
ชาร์คกล่าวอย่างจนใจ “ใต้เท้าลินลี่ย์ แต่เดิมทีพระบิดาของข้าและข้าไม่ได้คาดเลยว่าขอบเขตของภัยพิบัติจะกว้างขวางนัก ดังนั้นจุดนัดพบทั้งสองจุดที่เรานัดหมายไว้แต่เดิมภายในพรมแดนอาณาจักรเฟนไลในตอนนี้ไม่มีประโยชน์แล้ว ตอนนี้สิ่งเดียวที่ข้าทำได้ก็คือทำตามแผนเดิมของเรา มุ่งหน้าขึ้นเหนือ เมื่อไปถึงเมืองที่ข้าและพระบิดาข้ากำหนดหมายไว้ เราก็จะหยุด ถ้าเมืองนั้นปลอดภัยนะ”
ลินลี่ย์เข้าใจทันที
เคลย์และชาร์คกำหนดหมายเมืองไว้มากกว่าหนึ่งแห่งเป็นจุดนัดพบที่เป็นไปได้ พวกเขามักจะกำหนดเมืองที่มุ่งหน้าขึ้นเหนือจากอาณาจักรเฟนไล เมืองไหนก็ตามที่ปลอดภัยก็จะเป็นเมืองที่พวกเขาหยุดพัก
“แล้วเมืองไหนกันที่ท่านกับฝ่าบาทกำหนดให้เป็นจุดนัดพบ?” ลินลี่ย์ถามกลั้วเสียงหัวเราะ
ชาร์คไม่สงสัยแม้แต่น้อย เขาตอบทันที “มีอยู่ไม่กี่เมืองบางเมืองก็อยู่ในอาณาจักรเฟนไล ขณะที่เมืองอื่นๆ อยู่ในอาณาจักรและแคว้นทางเหนือ เรายังกำหนดแม้กระทั่งเมืองในจักรวรรดิโอเบรียน”
“จักรวรรดิโอเบรียน?” ลินลี่ย์เริ่มหัวเราะ
ชาร์คกล่าวอย่างละอาย“พระบิดาของข้ากังวลว่าอสูรเวทเหล่านี้อาจชิงพื้นที่สหภาพศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด ถ้าเป็นอย่างนั้น เราคงถูกบังคับให้หนีขึ้นไปยังจักรวรรดิโอเบรียน จักรวรรดิโอเบรียนเป็นจักรวรรดิที่มีกำลังทหารแข็งแกร่งที่สุดในทวีปยูลานและสามารถหยุดยั้งอสูรเวทเหล่านั้นได้แน่นอน”
ลินลี่ย์รู้มากกว่าชาร์คเสียอีก
จักรวรรดิโอเบรียนไม่มีแต่มีแค่กองทัพที่ทรงอานุภาพเท่านั้น แต่ยังมีเทพสงครามโอเบรียน
ตราบใดที่เทพสงครามโอเบรียนปรากฏตนออกกมา แม้แต่ราชันย์แห่งเทือกเขาสัตว์วิเศษจะต้องไตร่ตรองอย่างจริงจังว่าการบุกจักรวรรดิโอเบรียนเป็นความคิดที่ดีหรือไม่
“ไม่ต้องคิดมากเกินไปหรอก เราก็แค่มุ่งไปตามทางของเราต่อไป เมื่อไปถึงจุดหมายที่ปลอดภัย เราจะหาเมืองที่ใกล้ที่สุดที่พระบิดากับข้ากำหนดไว้ จากนั้นเราจึงค่อยพัก ใต้เท้าลินลี่ย์ เร่งฝีเท้าเถอะ..ฮ่าห์ ฮ่าห์” ขณะพูด ชาร์คก็เร่งฝีเท้าเช่นกันเสียงเร่งฝีเท้าม้าดังขึ้น หน่วยอัศวินเบิกทางข้างหน้าอย่างเร่งร้อน
การเดินทางกับชาร์คและหน่วยทหารของเขาลินลี่ย์ไม่ต้องลงมือด้วยตนเองต่อไป เมื่อพวกเขาถูกอสูรเวทโจมตี กองกำลังพายุสายฟ้าจะกำจัดพวกที่เข้าโจมตีทั้งหมด
สามวันผ่านไป
“สองอาณาจักรและสามแว่นแคว้นล่มสลาย”
ชาร์คและลินลี่ย์ผ่านอาณาจักรเฟนไล,อาณาจักรฮั่นและสองแว่นแคว้น พวกเขาเพิ่งเดินทางเข้าแคว้นไลโกดแต่ที่นี่ไม่ปรากฏมนุษย์ให้เห็น
ดินแดนกว้างใหญ่ขนาดนั้นได้ล่มสลายแล้วนี่เป็นเหตุการณ์ที่น่าประหลาดจริงๆ
ที่สำคัญสหภาพศักดิ์สิทธิ์มีหกอาณาจักรและสิบห้าแว่นแคว้นก็เริ่มต้นด้วยเช่นกัน
“โฮกกกก!”
“โฮกกกก!”
เสียงคำรามจากอสูรเวทดังต่อเนื่องสามารถได้ยินแต่ไกล ผสมกับเสียงตวาดของมนุษย์ เมื่อได้ยินเสียงที่ดังสลับกันอย่างนี้ลินลี่ย์กับชาร์ครู้ได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
“มีการต่อสู้ระหว่างมนุษย์กับอสูรเวทอยู่ข้างหน้า” ชาร์คขมวดคิ้ว เขาลูบคางกล่าว “ทุกคน, ระวังตัวไว้ด้วย อ้อมพวกเขาไป” “พะย่ะค่ะ” สมาชิกหน่วยพายุสายฟ้ารับคำโดยเคารพ
ชาร์คในฐานะผู้นำของคนพวกนี้อ้อมตีวงไปพื้นที่ข้างหน้า แต่เมื่อพวกเขาเข้าไปใกล้พื้นที่ต่อสู้ ทันใดนั้นชาร์คจ้องมองดูสนามต่อสู้ “องค์ชายหลุยส์ใช่หรือเปล่า?”
ลินลี่ย์หันไปให้ความสนใจสนามรบนั้นอย่างระมัดระวัง องครักษ์ฝีมือดีคนอื่นๆ ก็อยู่ที่นั่นด้วยแต่โชคไม่ดี หน่วยทหารนี้โชคร้าย พวกเขาเข้าไปเจอกับฝูงราชสีห์เพลิง
ราชสีห์เพลิงเป็นอสูรเวทธาตุไฟระดับเจ็ด พวกมันสามารถยิงบอลไฟจากปากได้อย่างสบายและร่างของพวกมันจะมีเปลวเพลิงครอบคลุมตัว
แม้ว่าพวกมันจะเป็นเพียงอสูรเวทระดับเจ็ด แต่อสูรเวทโดยปกติก็ทรงพลังมากกว่ามนุษย์ในระดับเดียวกันมากอยู่แล้ว แม้แต่นักรบระดับแปดตามปกติก็ต้องใช้ความพยายามกว่าจะสามารถฆ่าอสูรเวทธาตุไฟระดับเจ็ดได้ แต่เห็นได้ชัดว่าในอัศวินฝีมือดีกลุ่มนี้ มีนักรบระดับแปดอยู่น้อยมากส่วนใหญ่จะเป็นนักรบระดับเจ็ด
อัศวินในหน่วยทหารนี้ตายไปเกินกว่าครึ่งนี่เป็นผลจากการต่อสู้กับราชสีห์เพลิงเกือบยี่สิบตัว มีราชสีห์เพลิงเพียงสามตัวที่ถูกกำจัด
แต่แม้ว่าอัศวินจะตายไปถึงครึ่งหนึ่ง แต่ยังไม่มีนักรบระดับแปดตายดังนั้นในความเป็นจริง หน่วยอัศวินนี้จึงสูญเสียความสามารถรบไปเพียงหนึ่งในสาม
“หยุด” ชาร์ดออกคำสั่ง
กลุ่มของอัศวินสะดุ้งแต่พวกเขาทุกคนพยักหน้า พลังของหน่วยพายุสายฟ้า เมื่อสมทบกับกองกำลังขององค์ชายหลุยส์ น่าจะเพียงพอฆ่าราชสีห์เพลิงเหล่านี้ได้โดยไม่มีปัญหามากนัก แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจก็คือชาร์คไม่อนุญาตให้พวกเขาต่อสู้ทันที
หลังจากคนขององค์ชายหลุยส์บาดเจ็บล้มตายไปกว่าครึ่งรวมทั้งสองนักรบระดับแปด ราชสีห์เพลิงก็ตายไปครึ่งหนึ่งเช่นกันถึงตอนนี้ชาร์คจึงออกคำสั่ง
“ไปได้ ไปช่วยองค์ชายหลุยส์” ทันใดนั้นชาร์คสั่งคนของเขา
“พระเจ้าค่ะ!”
หน่วยพายุสายฟ้าเริ่มบุกทันที ด้วยการสมทบของนักรบสามสิบคนนี้ อีกสิบคนเป็นนักรบระดับแปด ราชสีห์เพลิงห้าตัวถูกสังหารทันที ที่เหลือเมื่อเห็นว่ามีอุปสรรคก็รีบหันหลังหนีทันที
“องค์ชายชาร์ค ขอบคุณ, ขอบคุณจริงๆ”
องค์ชายหลุยส์เป็นบุรุษหนุ่มรูปงาม แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะอยู่ในสภาพอนาถ เมื่อเห็นองค์ชายชาร์คหลุยส์รู้สึกซาบซึ้งและวิ่งเข้าไปกอดเขา
“องค์ชายหลุยส์ โอว,ข้าเห็นอัศวินของท่านโจมตีอยู่แต่ไกล แต่เนื่องจากต้องดูแลรักษาตัวเองทำให้ข้าลังเลใจชั่วขณะ หลังจากเห็นว่าเป็นท่านข้าจึงค่อยสั่งคนของข้าให้โจมตี หวังว่าท่านคงไม่ตำหนิข้าหรอกนะ” ชาร์คพูดอย่าง “ซื่อตรง” มาก เขาพูดแสดงความเสียใจต่อ “ถ้ามาเร็วกว่านี้เจ้าคงไม่สูญเสียคนเพิ่ม”
ก่อนนั้นชาร์คและอัศวินของเขารีรออยู่ในที่ไกลสักครู่หนึ่ง ผู้เชี่ยวชาญอย่างหลุยส์และคนของเขาจะไม่รู้ได้ยังไง?
ในใจของเขาหลุยส์รู้สึกโมโหชาร์ค แต่ตอนนี้เมื่อได้ยินเขาพูดอย่างนี้หลุยส์ก็เชื่อเขา
มีเหตุผล
หลังจากเกิดภัยพิบัติ ใครเล่าจะช่วยเหลือคนที่ไม่มีความสัมพันธ์กับตนเอง
“องค์ชายชาร์คไม่จำเป็นต้องพูดอย่างนั้นข้ารู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้งแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะท่าน ก็มีแนวโน้มว่าเราคงเหลือเพียงสองสามคน เฮ้อ.. ไม่จำเป็น!เราสามารถจัดการศพคนของเราเองได้” เมื่อเห็นว่าคนของชาร์คจะช่วยปลดกระเป๋าจากศพตามอำเภอใจหลุยส์ตะโกนบอกพวกเขา
ตราบใดที่ราชสีห์เพลิงหนีไป กองกำลังที่โชคดีรอดตายขององค์ชายหลุยส์จะไปปลดกระเป๋าจากศพทันทีแล้วเก็บเอาไว้
นี่สร้างความสงสัยให้ชาร์คเป็นธรรมดา
ทำไมต้องปลดกระเป๋าของผู้ตายด้วย?แล้วเขายังสั่งให้คนของตัวปลดกระเป๋าผู้ตายบางส่วน แน่นอนมันสร้างความไม่สบายใจให้องค์ชายหลุยส์ “เอาล่ะ ไปกันเถอะ” อัศวินของชาร์คส่งกระเป๋าให้ เมื่ออัศวินของหลุยส์รับกระเป๋ามาเขาจ้องมองอัศวินของชาร์คอย่างไม่พอใจ
เมื่อเห็นดังนี้ชาร์คหัวเราะเยือกเย็นในใจ
นี่เดาได้ง่ายมาก
มีอยู่เพียงไม่กี่ราชตระกูลที่ครอบครองแหวนมิติเก็บสมบัติ ราชตระกูลแห่งเฟนไลเป็นเพียงหนึ่งในราชตระกูลที่โชคดี ตอนนี้ภัยพิบัติเกิดขึ้นปกติราชตระกูลเหล่านี้จะต้องขนสมบัติในคลังสมบัติของพวกเขาไปด้วย ไม่มีแหวนมิติเก็บสมบัติก็มีทางเลือกเดียวที่จะขนไปคือใส่ถุงไป สำหรับองค์ชายหลุยส์ตื่นเต้นกับเรื่องถุงเหล่านี้มีแนวโน้มเป็นไปได้ว่าเขาจะให้บริวารของเขาขนสมบัติของอาณาจักรฮั่นไปด้วย “ไม่ต้องใช้คนมากไป โอกาสสำเร็จเต็มร้อย” ชาร์คมองดูคนของหลุยส์ เขาตัดสินใจแล้ว