ตอนที่ 169 – ตอนที่ 163 กับดักลวงตา
“ตราพยัคฆ์ขุนพลของข้าจะเป็นเครื่องพิสูจน์สถานะให้เจ้า” ขุนพลเฒ่าหม่ายื่นมือส่งตราที่แกะสลักเป็นรูปพยัคฆ์และให้คำแนะนำว่า “เจ้าต้องเทเลพอร์ตตรงไปยังนครหลวง เราสามารถตั้งรับได้อีกชั่วโมงเดียวเป็นอย่างมาก ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถใช้ความเร็วสูงสุดของเจ้าไปให้ถึงวังหลวงและขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท ทูลขอให้พระองค์ส่งมุขมนตรีอาวุโสหรือองครักษ์พิทักษ์ฟ้ามาช่วย มิฉะนั้น หน่วยทหารของเราจะถูกกำจัดกันหมดทุกคน.. เรามีม้วนเทเลพอร์ตเหลืออยู่ 3 ม้วน มันไม่พอให้พวกเจ้าทุกคนหลบหนีได้ ถ้าพวกเจ้ามีม้วนเทเลพอร์ตอยู่กับตัว อย่างนั้นจงรีบกลับไปอาณาจักรต้าเซี่ยโดยเร็วเถอะ!”
คำพูดของขุนพลเฒ่าหม่า เหมือนกับจะบอกว่า ฝีมือของเย่คง, เจ้าอ้วนไห่และคนอื่นๆ ยังแข็งแกร่งไม่พอและไม่สามารถช่วยทหารในสภาพปัจจุบันนี้ได้ พวกเขามีแต่จะตกอยู่ในอันตรายหากยังรั้งอยู่ที่นี่ ดังนั้นเป็นการดีกว่าที่จะปล่อยให้พวกเขาจากไป
เย่ว์หยางพยักหน้าและรับตราพยัคฆ์จากขุนพลเฒ่าหม่า
รองขุนพลทั้งสองคนได้เตรียมขั้นตอนต่อไปในการจัดเตรียมทหารของพวกเขาแล้ว ทหารที่บาดเจ็บถูกเคลื่อนย้ายไปไว้ตรงกลาง ขณะที่ทหารฝีมือดีคนอื่นคอยล้อมรอบป้องกันพวกเขา
บ้านเกือบทุกหลังถูกไฟไหม้แล้ว เปลวไฟยังคงลุกโชนสูงขึ้นไปในท้องฟ้า แมงมุมยักษ์กลัวไฟไม่กล้าเข้ามาใกล้ ดังนั้นทหารยังสามารถรักษาชีวิตอยู่ได้ในตอนนี้
ขณะที่ยังมีอสูรบินในท้องฟ้า พวกมันยังคงสังเกตสถานการณ์ต่อไป ตอนนี้ไม่ใช่เวลาดีที่จะเข้าโจมตี ทหารยังรวมตัวเหนียวแน่นและยังมีพลังต่อสู้ได้อยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยทหารฝีมือดีหน่วยเฮอริเคนของขุนพลเฒ่าหม่าบาดเจ็บล้มตายน้อยที่สุด แต่ละคนกำลังมีไฟต่อสู้ลุกโชน กำลังใจและความมั่นใจของพวกเขาก็ยังสูงดีอยู่ หัวหน้าหน่วยนักรบวิบัติยังมีความสงบและระมัดระวังมากยิ่งกว่าขุนพลเฒ่าหม่าเสียอีก เขายังไม่ได้เริ่มโจมตี และยังไม่ถอนกำลังกลับไปง่ายๆ
แม้ว่าปีศาจเรืองแสงติ่งซ่างจะพ่ายแพ้เย่ว์หยางหลบหนีไปและปีกดำถันอู่ฟั่งถูกคร่ากุม หัวหน้านักรบวิบัติก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหว
“ถ้าเจ้าใช้เวลามากกว่าชั่วโมง เจ้าไม่ต้องกลับมาแล้ว” ความหมายที่แฝงอยู่ในคำของขุนพลเฒ่าหม่าชัดเจนอยู่แล้ว ถ้ากำลังเสริมไม่ตามมาหลังจากผ่านไปได้หนึ่งชั่วโมง อย่างนั้นพวกเขาคงถูกฆ่าตายหมดแล้ว เมื่อถึงตอนนั้น แม้ว่ากำลังเสริมจะมา มันก็คงไร้ประโยชน์แล้ว ตรงกันข้าม พวกเขาอาจตกเข้าไปในกับดักศัตรูอีกก็ได้
“เย่ว์ปิง, ไปกันเถอะ!” เย่ว์หยางคว้าตัวถันอู่ฟั่งที่ยังหมดสติอยู่และตะโกนมาทางเย่ว์ปิงและอี้หนาน
“เราจะกลับต้าเซี่ย” เย่คงแตะไหล่ของนายกองทหารที่ช่วยคุ้มกันพวกเขา และมองดูสหายที่กำลังสั่นอยู่ จากนั้นเขาแนะนำทันทีว่า “ท่านต้องการมากับเราหรือเปล่า? เราจะกลับไปต้าเซี่ยก่อน แต่เย่ว์หยางจะเทเลพอร์ตไปเมืองหลวงอาณาจักรเทียนหลัวต่อ เขาไม่คุ้นเคยกับสถานที่นั้นและบางทีคงต้องการคนนำทาง ทำไมท่านไม่ไปพร้อมกับเขาล่ะ?”
“ข้า, ข้าคิดจะรั้งอยู่กับท่านขุนพล.. ขอฝ่าบาททรงพระเจริญ, เทียนหลัวจงเจริญ!” หน้าซีดๆ ของนายกองทหารไม่เปิดเผยอารมณ์ความรู้สึกใดๆ แต่ทั้งร่างของเขาสั่นอย่างรุนแรง เขาบังคับตัวเองให้ส่งเสียงเชียร์ดังๆ
ใครๆ ก็เห็นได้ชัดว่าเขากลัวมาก แต่เขาไม่ใช่คนขี้ขลาด
เย่ว์หยางคิดว่านายทหารผู้นี้ต้องมาจากครอบครัวที่มีฐานะ เขาสามารถเป็นหนึ่งในลูกหลานตระกูลที่ยิ่งใหญ่และได้มีโอกาสรบครั้งแรกของเขา ถือเป็นเรื่องยากจริงๆ ที่จะได้เห็นคนอย่างเขา เขาสามารถอดทนได้มาก แม้เมื่อเขาต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์อันตราย ถ้าเป็นคนอื่นที่ได้รับโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่ พวกเขาอาจจะต่อสู้แย่งชิงกันเพื่อให้ได้โอกาสนั้น แม้ว่าต้องฆ่าอีกฝ่ายหนึ่งก็ตาม แต่เขาปฏิเสธข้อเสนอและเลือกที่จะอยู่
การเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ล่อแหลม แม้ว่าเขาจะกลัวก็ตาม แต่เขาไม่เลือกทางรอด เขาเลือกที่จะอยู่และสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับสหายของเขา
ดูเหมือนว่าขุนพลเฒ่าหม่าจะมีวิธีนำทหารของเขาจริงๆ
ขุนพลเฒ่าหม่าแตะไหล่ของนายกองทหาร เขาไม่ได้พูดอะไร แต่นัยน์ตาของเขาเผยถึงความชื่นชมและยกย่องที่มีในหัวใจเขาต่อบริวารของเขาผู้นี้
“รอให้ข้ากลับมา ข้าจะกลับมาแน่นอน!” เย่ว์หยางให้สัญญากับทหารในเมืองซือว่างผู้อุทิศชีวิตป้องกันเขา เขาอาจไม่สามารถพากำลังเสริมมาภายในชั่วโมงเดียว แต่เย่ว์หยางจะกลับมาให้ได้และสู้ร่วมกับทหารเหล่านี้จนถึงที่สุด
ฮุยไท่หลางวิ่งนำหน้าและเบิกทางสายหนึ่งให้พวกเขาขณะที่เย่คง, เจ้าอ้วนไห่และพี่น้องสกุลหลี่ตามหลังไปติดๆ
เย่ว์หยางแบกปีกดำถันอู่ฟั่งที่หมดสติและถูกรองขุนพลทั้งสองคนมัดไว้อย่างแน่นหนา เขามัดถันอู่ฟั่งไว้กับหลังเขา ขณะที่ใช้มือจูงอี้หนานและเย่ว์ปิงตามมาด้านหลังเขา ขุนพลเฒ่าหม่าตั้งใจจะแบ่งทีมตามมาโดยกระชั้นชิด แม้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บหนักไปทั้งตัว เขาก็ยังมีพลังพอต่อสู้ได้ ทักษะแปลงเป็นหมีของเขามีพลังน่าตื่นตะลึง เขาเอาเสาที่ไฟลุกไหม้ฟาดใส่แมงมุมยักษ์ที่รุมเข้ามาโจมตีเขา
พวกเขาออกไปถึงนอกเมือง จากนั้นเย่ว์หยางขอให้อี้หนานเรียกคัมภีร์ตนเองออกมาและอยู่ในที่ของนาง
ตัวเย่ว์หยางเอง อีกทางหนึ่งใช้ดาบฮุยจินโบกไปมาและใช้ทักษะควบคุมไฟที่เขาเพิ่งรู้สร้างวงแหวนเปลวไฟสีม่วงที่มีการหมุนรุนแรง จากนั้นเหวี่ยงมันใส่ฝูงแมงมุมยักษ์
ฝูงแมงมุมยักษ์ทุกตัวร้องอย่างทรมานขณะที่พวกมันถูกเปลวไฟสีม่วงตัดขาดกลางและถูกเผาทั้งเป็น
ในท้องฟ้า หัวหน้านักรบวิบัติกำลังขี่อินทรียักษ์นำมังกรบิน 2-3 ตัวและนักรบวิบัติอีกหลายสิบคนที่ยังคงล้อมเมืองรอโอกาสลอบโจมตี
ในใจของเขากลัวพลังของเย่ว์หยาง ดังนั้นเขาไม่กล้าเร่งนัก แต่กลับสั่งให้นักรบวิบัติใช้ธนูหน้าไม้ยิงโจมตีมาดุจห่าฝน เย่คงและคนอื่นๆ ยังคงจุดไฟไล่แมงมุมยักษ์นับไม่ถ้วน ด้วยวิธีการป้องกันและโจมตีนี้ ทีมของเขาจึงได้แต่ไปข้างหน้าช้าๆ
“ไป, ไป!” ขุนพลเฒ่าหม่ารู้ว่ายิ่งพวกเขาช้าลงเมื่อไหร่ สถานการณ์ก็จะยิ่งอันตรายมาก
หากพวกเขายังคงล่าช้า นักเรียนพวกนี้อาจจะไม่สามารถหลบหนีไปได้
เย่คงและคนอื่นๆ แอบบ่น พวกเขาได้ฆ่ามาตลอดเส้นทางเกือบ 2 กิโลเมตร แต่พวกเขาก็ยังคงอยู่ไม่ไกลจากระยะก่อกวนของเครื่องก่อกวนมิติ ถ้าพวกเขายังคงไปตลอดทางอย่างนี้ บางทีในไม่ช้าพวกเขาอาจวิ่งจนถึงเหวสิ้นหวังก็ได้… ขุนพลเฒ่าหม่ายังคงกวัดแกว่งเสาติดไฟขณะที่เขาคำรามไล่ตามคนที่ไปได้ช้าที่สุดในกลุ่มคือเจ้าอ้วนไห่ “ไปซะและเทเลพอร์ตหนีไปจากที่นี่ ธรรมดาแล้วพวกเจ้าคงไม่ไปตกหน้าผาที่ไหนตายด้วยม้วนเทเลพอร์ตของเจ้าหรอกนะ พยายามใช้ม้วนเทเลพอร์ตของเจ้าเองอีกครั้งและกลับไปที่ๆ เป็นของพวกเจ้า.. จากนั้นรีบไปหาอาจารย์ที่แข็งแกร่งที่สุดให้ปกป้องเจ้า และอย่าไปที่แห่งไหนตามใจตัวเอง อีกอย่าง อย่าปล่อยข่าวว่าที่นี่ถูกโจมตีให้พวกสมาคมนักรบรู้ นักสู้ที่มีฝีมือดีจากวังปีศาจกำลังจะมาถึงในไม่ช้า รีบไปเร็วๆ เข้า!”
เจ้าอ้วนไห่และคนอื่นๆ เครียดจัดมาก แต่เย่ว์หยางยังไม่พยักหน้าให้เขา ดังนั้นพวกเขาไม่กล้าเปิดม้วนเทเลพอร์ตจากไป
เย่ว์หยางคิดว่าทุกคนในกลุ่มต้องอยู่ด้วยกัน มิฉะนั้น ถ้าศัตรูจับคนใดคนหนึ่งได้ จะเกิดเรื่องยุ่งยากจริงๆ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาต้องพาคนในกลุ่มทุกคนกลับไปสถาบันฉางชุนเฉิงให้ได้ก่อน
ขุนพลเฒ่าหม่าคำรามขึ้นไปบนท้องฟ้าทันที การแปลงร่างเป็นหมีของเขาทวีความเข้มข้นจนเกือบกลายเป็นหมีเหล็กโดยสมบูรณ์
เขาวิ่งจู่โจมใส่แมงมุมยักษ์อย่างบ้าคลั่ง เหมือนกับว่าสูญเสียการควบคุมตัวเองและไล่ฆ่าแมงมุมยักษ์อย่างบ้าคลั่ง
เขาพุ่งโจมตีไม่หยุดยั้ง เพื่อเบิกทางให้เย่ว์หยางและคนอื่นๆ อย่างไรก็ตาม เมื่อเย่ว์หยางเข้าไปใกล้เขาที่มีดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดแล้ว เขาได้มุ่งเป้าโจมตีใส่ที่อกของเย่ว์หยาง
เมื่อเย่ว์หยางหลบหลีกการโจมตีได้อย่างชาญฉลาด ประกายเรืองแสงในดวงตาของขุนพลเฒ่าหม่าหรี่ลงเล็กน้อย ขณะที่เขาคร่ำครวญว่า “รีบไป! ข้าทนอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว เจ้าต่างจากพวกเรา เจ้ายังคงเป็นเด็กนักเรียน อย่ายอมเสียสละชีวิตได้ง่ายๆ นักสิ พวกเจ้าคืออนาคตของทวีปมังกรทะยาน.. เราคือทหาร ตายในสนามรบคือเกียรติยศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเรา ไปซะ! ข้าใกล้จะสูญเสียการควบคุมตนเองแล้ว จงรีบไปเสียจากที่นี่”
ร่างแปลงของขุนพลเฒ่าหม่ายังคงฆ่าแมงมุมยักษ์และสร้างความปั่นป่วนในหมู่สัตว์ประหลาดไปด้วย
พอเลี้ยวที่มุมครึ่งทาง เขาล่อให้แมงมุมยักษ์นับไม่ถ้วนไล่ตามเขากลับไปที่เมืองซือว่าง
มือของเย่คงชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ เขากำม้วนเทเลพอร์ตไว้แน่นมากจนแทบจะคั้นน้ำออกมาได้ พอเห็นว่าไม่มีพลังงานมืดที่ส่งผลแต่อัญมณีในม้วนเทเลพอร์ตเหลืออยู่แล้ว เขารีบเปิดม้วนเวทเทเลพอร์ตและตะโกนทันที “ตอนนี้เราสามารถเทเลพอร์ตกันได้แล้ว! เราหนีความยุ่งเหยิงในมิติได้พ้นแล้ว ทุกคน รีบๆ กันเถอะ!”
ในท้องฟ้า นักสู้วิบัติที่กำลังขับขี่อินทรียักษ์และมังกรบิน โฉบลงมาทันทีเพื่อสร้างแนวบิดเบือนเทเลพอร์ตแก่เย่ว์หยางและพวก
ตราบใดที่พวกเขาบิดเบือนเทเลพอร์ตได้สำเร็จ พวกทหารก็จะไม่ได้รับกำลังเสริมและบางทีพวกเขาอาจจะตายอยู่ในเมืองซือว่างกันทั้งหมด
เย่ว์หยางยกดาบวิเศษฮุยจินและกระโจนขึ้นไปในอากาศและฆ่าหนึ่งในอินทรียักษ์ที่กำลังโฉบลงมาอย่างเร็วที่สุด เลือดกระเซ็นและขนนกโปรยปรายกระจายไปทั้งบริเวณ ขณะเดียวกัน พอเห็นว่าสถานการณ์ไม่ดี นกอินทรียักษ์และมังกรบินที่กำลังโฉบลงมานั้น แตกกระจายถอนกำลังกลับทันที สีหน้าของหัวหน้านักรบวิบัติเปลี่ยนไปทันที เขาต้องการจะเอาหน้าไม้ทองออกมาจากชุดของเขาและยิงเย่ว์หยางและพวก แต่เขาเก็บมันเอาไว้อีกครั้ง
นักรบวิบัติที่ไม่สามารถหลบได้ทันเวลาต่างก็กลัวตาย เพราะเย่ว์หยางปรากฏตัวอยู่ที่ด้านหลังพวกเขา
การต่อสู้ดิ้นรนและพยายามหลบหนี ไร้ประโยชน์
ประกายดาบของเย่ว์หยางแว่บผ่านตัวเขา ก่อนที่เขาจะค่อยๆ หงายหลังตกลงมาบนพื้น พอถึงตอนนี้ เย่คงและคนอื่นๆ เทเลพอร์ตหนีไปได้เรียบร้อยแล้ว ในท้องฟ้า นักรบวิบัติและอินทรียักษ์ที่ปราศจากศีรษะร่วงตกลงมาในฝูงแมงมุมยักษ์ พวกมันถูกจับกินทันทีโดยแมงมุมกระหายเลือด สาบสูญไปในความมืดทันที
บนพื้นข้างล่าง เหลืออยู่เพียงอี้หนานและเย่ว์หยาง
ด้วยความคุ้มครองของฮุยไท่หลาง อี้หนานไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายเมื่อนางเรียกประตูเทเลพอร์ตออกมา อย่างไรก็ตามนางกำลังรอให้เย่ว์หยางไปพร้อมกับนาง
เย่ว์หยางรีบเปิดม้วนเทเลพอร์ตของเขาทันที ก่อนอื่นเขาเตะฮุยไท่หลางเข้าไปในประตูเทเลพอร์ตที่ปรากฏอยู่นั้น จากนั้นก็เข้าไปในประตูเทเลพอร์ตพร้อมกับอี้หนานและเทเลพอร์ตจากไป
เป้าหมายเทเลพอร์ตของพวกเขา เดิมทีก็คือสนามที่สถาบันฉางชุนเฉิง
อาจารย์จิ้งจอกเฒ่ากำลังค้นคว้าวงแหวนเทเลพอร์ตของเขาอยู่ ทันใดนั้น เมื่อเขาพบกระแสคลื่นเล็กน้อยในมิติ พอเขาเงยหน้าดู ก็เห็นเจ้าอ้วนไห่กำลังร้องลั่น “หวา..หวา…” ร่วงลงมาส่งเสียงร้องลั่น ดังนั้น เขารีบหลบและวิ่งออกไปอยู่อีกด้านหนึ่ง เขามองดูขณะที่เจ้าอ้วนไห่กระแทกพื้นดังสนั่น ก่อนที่จะถามเขาอย่างประหลาดใจว่า “เกิดอะไรขึ้น? เจ้าอ้วน, เจ้ายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า?” แต่ก่อนที่เขาจะจบคำถาม เย่คงและพี่น้องสกุลหลี่ก็ปรากฏตัวในท้องฟ้ากะทันหันด้วยเช่นกัน อาจารย์จิ้งจอกเฒ่าตกใจหนักจนเขาต้องรีบหลบไม่ให้พวกเขาหล่นใส่ทันที
ขณะที่เขายังคงตกอยู่ในความงุนงง ขาคู่หนึ่งก็โผล่หล่นใส่ตัวเขาจนล้ม เขาแค่ได้ยินเสียงของเย่ว์หยางถามมาจากบนหัวเขาว่า “ทุกคนปลอดภัยหรือเปล่า?”
“พวกเขาปลอดภัยกันทุกคน แต่สำหรับตัวข้าเอง รองผอ..ออ.. ข้าสงสัยอยู่อย่างเดียวและอยากจะถามพวกเจ้าเหล่านักเรียน พวกเจ้าตั้งเป้าหมายม้วนเทเลพอร์ตกันไว้ที่ไหน? แล้วทำไมเจ้าถึงได้มาหล่นใส่กบาลข้า?” อาจารย์จิ้งจอกเฒ่ารู้สึกว่าเย่ว์หยางหนักเกินไปสำหรับเด็กธรรมดา เมื่อเขาเงยดู ถึงได้ตระหนักว่า เย่ว์หยางกำลังจูงมือเย่ว์ปิงและกอดนางโจรคนหนึ่งไว้ข้างๆ ตัว และยังแบกคนที่ถูกไฟเผาจนตัวเกรียมคนหนึ่ง เขาถึงได้สาเหตุที่รู้สึกว่าเจ้าเด็กนี่หนักกว่าเจ้าอ้วนไห่ กลับกลายเป็นว่าเป็นน้ำหนักของคน 3 คนและยังจับศัตรูได้อีกหนึ่ง
“ยังคงมีความวุ่นวายเล็กน้อยในมิติเทเลพอร์ต แต่ในที่สุดเราก็กลับมาได้โดยปลอดภัย รองครูใหญ่! ตอนนี้ข้าไม่มีเวลาเล่าให้ท่านฟัง ข้าขอฝากพวกเขาให้ท่านปกป้องด้วย ถ้าพวกเขาต้องสูญเสียอะไรไปแม้แต่ปลายเส้นผม เมื่อเวลาข้ากลับมา ข้าจะขอคำอธิบายที่ชัดเจนจากท่าน” เย่ว์หยางต้องแข่งกับเวลา ดังนั้น เขาจึงพูดแบบนั้น เมื่อเขายังยืนอยู่บนหลังของอาจารย์จิ้งจอกเฒ่า จากนั้น เขารีบปล่อยให้อี้หนานและเย่ว์ปิงลง ก่อนที่จะเปิดม้วนเทเลพอร์ตมุ่งไปยังนครหลวงอาณาจักรเทียนหลัว เพื่อตามหากำลังเสริม
“จริงๆ แล้ว นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? เจ้าคนที่ดำเป็นตอตะโกที่เจ้าเด็กนั่นแบกอยู่ตอนนี้ คือใคร?” อาจารย์จิ้งจอกเฒ่าสับสนมาก พลางเกาศีรษะ
“ไม่มีอะไรมาก เขาก็แค่เป็นคนจากวังปีศาจที่มาโจมตีเราที่เมืองซือว่าง คนที่ตัวดำเป็นเนื้อย่างไหม้ที่เย่ว์หยางแบกไปอยู่ก็คือปีกดำถันอู่ฟั่ง” เย่คงจงใจบอกข้อเท็จจริง
“เจ้าจะพูดตลกอะไรกันแน่? ทำไมพวกวังปีศาจถึงได้พยายามโจมตีพวกเจ้า ที่ยังเป็นกลุ่มเด็กๆ ด้วยเล่า?” อาจารย์จิ้งจอกเฒ่าสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ
“ข้าก็ไม่ค่อยเข้าใจนักหรอก” เย่คงผายมือออกดูเหมือนกับคนจนปัญญา
“เจ้าคนนั้นคือปีกดำถันอู่ฟั่งจริงๆ เหรอ?” อาจารย์จิ้งจอกเฒ่าสามารถรู้สึกได้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ ไม่ง่ายขนาดนั้น ปีกดำถันอู่ฟั่งคือกบฏของเทียนหลัว ดังนั้นเขาเคยได้ยินชื่อมาก่อน
“เขาไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่คิด เห็นเย่ว์หยางซ้อมเขาจนสะบักสะบอมแทบทันที คนที่แข็งแกร่งคือสหายของเขาเรียกว่าปีศาจเรืองแสงติ่งซ่าง เขาเกือบทำให้พวกเราทุกคนกลายเป็นเป็ดย่างเสียแล้ว ตอนแรกข้าคิดว่าหนึ่งในสิบยอดขุนพล ขุนพลเฒ่าหม่าน่าจะแข็งแกร่งพอแล้ว แต่ความจริงเขาพ่ายแพ้ให้กับปีศาจเรืองแสงติ่งซ่างในทันที โชคดีที่ขุนพลเฒ่าหม่ามีชะตาเข้มแข็งจึงรอดชีวิตอยู่ได้!” เจ้าอ้วนไห่รายงานพลางยิ้มกว้าง ถ้าอาจารย์จิ้งจอกเฒ่ายินดีรับฟังเขา เขาก็เตรียมจะขยายเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังในตอนนี้
“เจ้าสามารถสู้กับปีศาจเรืองแสงติ่งซ่างด้วยหรือ?” อาจารย์จิ้งจอกเฒ่าร้องออกมาอย่างตกใจ “นั่นเป็นเย่ว์หยางจัดการเขาไม่ใช่หรือ? นี่เป็นไปไม่ได้ แม้แต่ข้ายังต้องใช้ความพยายามอย่างหนักกว่าจะเอาชนะปีศาจเรืองแสงติ่งซ่างได้ อสูรไฟนรกของเจ้านั่นเป็นอสูรที่มีพลังร้ายกาจมาก ถ้าเจ้าไม่มีอสูรดาวข่มอยู่กับตัว แล้วเจ้าเย่ว์หยาง เจ้าเด็กนั่นสู้กับเขาได้อย่างไร?”
“สามกระบวนท่า” เย่ว์ปิงพยักหน้าด้วยความภาคภูมิใจที่ปรากฏชัดในสีหน้าของนาง
“เป็นไปไม่ได้ ข้ายังไม่สามารถเอาชนะปีศาจเรืองแสงติ่งซ่างภายในสามกระบวนท่าได้!”
“เขาไม่ได้เอาชนะปีศาจนั่น เขาแค่ใช้ดาบวิเศษตัดไฟนรกสิบเท่าของติ่งซ่างข่มขู่จนเขากลัวหนีไป” อี้หนานเสริมต่อ
“นั่นยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ มันคือไฟนรกสิบเท่าเชียวนะ! อาจเชื่อได้ว่าข้าเป็นคนที่ทนการโจมตีนั้นได้ เจ้าเด็กเย่ว์หยางนั่นมีพลังขนาดนั้นเชียวหรือ?” อาจารย์จิ้งจอกเฒ่ารู้สึกว่าเขาต้องการประเมินพลังต่อสู้ของเย่ว์หยางใหม่
“รองครูใหญ่, อภัยให้ข้าด้วยที่ต้องพูดขวานผ่าซาก ท่านเป็นครูที่สอนแย่ที่สุดในสถาบันฉางชุนเฉิงไม่ใช่เหรอ? ใครจะไปรู้ได้ว่าท่านเชี่ยวชาญยิ่งขึ้นแม้กระทั่งคุยโตยิ่งกว่าข้า..ต้าไห่เสียอีก” เจ้าอ้วนไห่กอดไหล่อาจารย์จิ้งจอกเฒ่า จากนั้นเขาส่ายศีรษะอย่างอารมณ์พลุกพล่าน “ข้าบอกได้เลยนะ รองครูใหญ่, คนเราฝันกันได้เป็นเรื่องปกติ แต่ไม่ปกติถ้าจะเอามาคุยโว ทุกคนอาจทำได้เมื่อถึงเวลาใดเวลาหนึ่งก็ได้ แต่ความฝันก็ส่วนความฝัน, โม้ก็ส่วนโม้ ท่านต้องไม่โอ้อวดเกินจริงมากไปนัก ด้วยทักษะนักสู้ระดับ 5 ของท่าน ท่านคงไม่สามารถสู้กับปีศาจเรืองแสงติ่งซ่างนั่นได้แม้แต่น้อย มันไม่เป็นไรหรอกถ้าท่านพูดเล่นๆ แบบนี้กับเรา แต่ต้องแน่ใจว่าท่านอย่าไปพูดกับคนอื่นๆ มิฉะนั้นท่านจะถูกทุกคนหัวเราะเยาะเอาได้ ยิ่งไปกว่านั้น ขอพูดจากมุมมองของนักเรียนสถาบันฉางชุนเฉิง ท่านจะเสื่อมเสียชื่อเสียง ถ้าท่านโม้มากเกินไป!”
“…..” อาจารย์จิ้งจอกเฒ่าถูกเจ้าอ้วนไห่อบรมสั่งสอนจนรู้สึกมึนงงในใจ
เขาแทบอยากจะแสดงฝีมือของเขาทั้งหมดขู่ขวัญให้เจ้าอ้วนไห่นี้กลัวแทบตาย
อย่างไรก็ตาม เขาปัดความคิดเช่นนี้ออกไปแทน เขาก็แค่ปกปิดทักษะของเขาไว้หลังจากผ่านความยากลำบากมามากมาย ถ้าเจ้าอ้วนไห่รู้จักทักษะของเขาจริงๆ เขาจะต้องมาขอฟังต่อโดยไม่ยอมเลิกราแน่
“เอาล่ะ, เจ้าอ้วน สิ่งที่เจ้าพูดมาก็ถูก ข้ายอมรับว่าข้าเพิ่งพูดผิดไป วังปีศาจไม่ใช่องค์การที่พวกเจ้าสามารถต้านรับได้ง่ายๆ มีความเป็นไปได้ว่าพวกมันอาจตามพวกเจ้ามาจนถึงนี่ก็ได้ แต่ทุกคนไม่ต้องกลัว ข้าจะปกป้องพวกเจ้าทุกคนได้แน่.. อ่า..ข้าหมายถึง ข้าหาคนแข็งแกร่งมาปกป้องพวกเจ้าได้ทุกคน”
เย่ว์หยางไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องการแลกเปลี่ยนความเห็นที่น่าตื่นเต้นระหว่างอาจารย์จิ้งจอกเฒ่าและเย่คง, เจ้าอ้วนไห่, และคนอื่น
ทันใดนั้นเขาพบว่ามีบางอย่างผิดปกติ เมื่อเขาเข้าประตูเทเลพอร์ต
มันอาจเป็นเพราะเขาพาตัวปีกดำถันอู่ฟั่งมาด้วย การเทเลพอร์ตถึงได้เบี่ยงเบนและพวกเขาไม่ได้มาถึงลานเทเลพอร์ตด้านนอกวังหลวง
เมื่อเย่ว์หยางปรากฏตัวอีกครั้ง เขาตระหนักว่ามีหลังคาอยู่ข้างหน้าเขา
ทันใดนั้นเขาสูดลมหายใจและพยายามทำให้ตัวเองเบา เขาแตะปลายเท้าเข้าที่กระเบื้องมุงหลังเหล่านั้น
ใครจะรู้กันว่าแม้เขาจะไม่ทิ้งน้ำหนักลงบนเท้าเขา ทั้งร่างของเขาก็ร่วงลงทะลุผ่านกระเบื้อง เหมือนกับว่าเขาเป็นวิญญาณ
อย่างไรก็ตาม ปีกดำถันอู่ฟั่ง ผู้ที่เย่ว์หยางพาไปด้วยตลอดเวลา กับกระแทกหลังคาดังปังและติดคาอยู่บนนั้น จากนั้นเขาก็ถูกเหวี่ยงออกไปเป็นสิบๆ เมตรสุดปัญญาจะรู้ได้ เย่ว์หยางแม้จะได้ยินเสียงถันอู่ฟั่งร้องออกมาอย่างเจ็บปวดทั้งที่ยังหมดสติ สำหรับตัวเย่ว์หยางไม่สามารถจะเข้าใจหรือทำอะไรอื่นได้ ขณะที่เขาร่วงไปบนหลังคา ในที่สุด เขาก็ร่วงตกไปบนพื้น
เย่ว์หยางมองดูรอบๆ และถอนหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อเขาพบว่าเขาร่วงลงมาอยู่บนพื้น
ถ้าเขาร่วงลงเหวลึกเป็นพันไมล์หรือในมิติอื่น อย่างนั้นเขาก็จบกัน
อีกครั้งหนึ่งที่เขาสูดลมหายใจและพยายามเพิ่มน้ำหนักลงบนเท้าของเขาให้มากเท่าที่เป็นไปได้ เย่ว์หยางหวังว่า ปีกดำถันอู่ฟั่งคงร่วงไปบนพื้นและไม่ติดอยู่ในกับดัก เขาภาวนาว่าจะไม่กระทบกลไกกับดักจนมันยิงธนูออกมาเป็นพันๆ ดอก
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แปลกยิ่งกว่าเกิดขึ้นต่อมาทันที
เย่ว์หยางสูญเสียที่หยั่งเท้าอีกครั้ง ดูเหมือนพื้นจะเป็นของปลอมและเป็นพื้นที่ว่างเปล่า
เย่ว์หยางประหลาดใจอย่างมากขณะที่เขาร่วงลงพื้นอีกครั้ง สิ่งต่อมาที่เขารู้ก็คือพื้นภาพลวงตาได้แตกหายไปไปและบ่อน้ำปรากฏขึ้นมาแทน เย่ว์หยางร่วงลงน้ำทั้งตัวเสียงดังและน้ำแตกกระจาย ตอนนี้เขาถึงตระหนักได้ว่า ตลอดทั้งบ้านไม่ว่าจะเป็น คาน ขื่อ เสาและส่วนอื่นๆ ทั้งหมดเป็นภาพลวงตา วัตถุจริงๆ ก็คือน้ำที่ทำให้เขาเปียกโชกอยู่ และมันเป็นทะเลสาบที่ใหญ่มาก เย่ว์หยางสับสนมาก เห็นได้ชัดว่าเขาเทเลพอร์ตไปที่ลานเทเลพอร์ตในวังหลวง อย่างนั้นทำไมเขามาถึงที่แบบนี้ได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้น ทำไมเขาถึงร่วงลงไปในทะเลสาบ แต่ปีกดำถันอู่ฟั่งกลับไม่เป็นอย่างนั้น?
เขาจะออกไปจากที่นี่ได้อย่างไร?
ขณะที่เย่ว์หยางยังงงกับเรื่องนี้ เขาได้ยินเสียงนุ่มนวลมากๆ ของคนสองคนคุยกันเรื่องเขา เขารีบมองดูรอบๆ ที่นั้นทั้งหมดอย่างสงสัย แต่เขาไม่เห็นใครเลย
“เจ้าเด็กนี่ตกเข้าไปในบ้านลวงตาของเราได้อย่างไร? เสียงคนๆ หนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ เหมือนกับว่าเขากำลังคุยกรอกหูเย่ว์หยาง
“จับเขาและพามาสอบปากคำ!” อีกเสียงหนึ่งดูคึกคะนองเหมือนกับว่านางยังอายุเยาว์มากดังก้อง เสียงของนางนุ่มนวลไพเราะ
เย่ว์หยางถึงกับเหงื่อชุ่ม กับดักลวงตาหรือ?
คนทั้งสองเป็นใครกัน? และบ้านลวงตาคือสถานที่เช่นไรกันแน่?
++++++++++++++++