ตอนที่ 167 – ตอนที่ 162 ทักษะจ้าวอัคคี P1
ฮุยไท่หลางเห็นโอกาสจึงกระโจนเข้ากัดทันที
ปีกดำถันอู่ฟั่งสูญเสียการควบคุมร่างกายบางส่วนของตนไป เขาไม่ได้สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปโดยสิ้นเชิง เขาพยายามอย่างดีที่สุดดิ้นรนยกมือโจมตีโต้ตอบ ผู้คนมองดูภาพทั้งหมดด้วยความประหลาดใจ เมื่อฮุยไท่หลางกัดไหล่ของปีกดำถันอู่ฟั่งอย่างบ้าคลั่ง เขาเริ่มหมุนตัวและเตะใส่อากาศ อย่างไรก็ตาม ฮุยไท่หลางโดดหลบไปข้างๆ และกัดที่ขาของเขาแทน ถันอู่ฟั่งยกมือทั้งสองอย่างควบคุมไม่ได้ ดูเหมือนว่าเขาจะสับสนในการควบคุมมือและเท้าของตน
อย่างไรก็ตาม พลังของเขาก็ยังมีอยู่
แม้เขาจะกวาดแขนวาดขาใส่ก้อนหินอย่างแรงล้วนทิ้งรอยแตกลึกลงไป
ปีกบนหลังของถันอู่ฟั่งกระพืกอย่างเร่งร้อนเพื่อบินขึ้นไปบนอากาศ
อย่างไรก็ตาม เขาสูญเสียการจำแนกทิศทางไปโดยสิ้นเชิง บินชนดะไปทุกที่เหมือนกับตาบอด ทันใดนั้นเขาเปลี่ยนระดับทันที บางครั้งบินขึ้น บางครั้งบินลง แล้วไปชนผนังภูเขา บางครั้ง เขาก็บินอย่างมึนงงพุ่งเข้าหาพื้น ยิ่งปีกดำถันอู่ฟั่งต้องการควบคุมร่างกายเขา ท่าทางของเขาก็แปลกยิ่งขึ้น
นัยน์ตาของทุกคนจับจ้องมาที่เย่ว์หยาง
ทุกคนรู้ถึงสิ่งที่เขากำลังกระทำ มีเพียงอย่างเดียวที่ไม่รู้คือความหมายเมื่อเขาพูดคำว่า “สปอร์”
“เจ้าหน้าโง่!” คนคลุมตัวลึกลับโผล่ออกมาจากความมืด นัยน์ของเขาเปล่งแสงสีเขียวจางๆ เหมือนแสงหิ่งห้อย มีการตกแต่งหน้าบางส่วนของคนคลุมศีรษะ เขาใช้แขนขนาดยักษ์ฟาดใส่ถันอู่ฟั่งจนร่วงลงพื้น และใช้แขนขวายันศีรษะถันอู่ฟั่งไว้ เดิมทีถันอู่ฟั่งที่อาละวาดรุนแรงไปเรื่อย กลับกลายเป็นเหมือนหนอนน้อยในเงื้อมมือเขา ไม่สามารถจะดิ้นรนได้เลย
บุรุษลึกลับระเบิดพลังเปลวไฟพุ่งสูงออกมาจากฝ่ามือของเขา
ในขณะเดียวกัน ทุกคนรู้สึกได้ถึงคลื่นความร้อนพุ่งใส่พวกเขา หลังจากนั้นพวกเขาได้กลิ่นแปลกๆ เหมือนกับกลิ่นเนื้อย่าง แล้วพวกเขาได้ยินเสียงถันอู่ฟั่งร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด
ถันอู่ฟั่งล้มลงกับพื้น ทั้งร่างของเขาดำเกรียมเหมือนถ่าน
พวกทหารทำอะไรไม่ได้ ได้แต่กลั้นลมหายใจกับการกระทำของคนคลุมหน้า
ไม่ใช่แต่เพียงพวกเขา แม้แต่เย่คง เจ้าอ้วนไห่และคนอื่นๆ ต่างพากันกลัว เขาเพิ่งฆ่าปีกดำถันอู่ฟั่งด้วยการขยับทีเดียวหรือ? แต่ก่อนนั้น เย่ว์หยางได้ทุบตีถันอู่ฟั่งจนสะบักสะบอมแล้ว แต่แม้ว่าเขาจะทุบตีไปมาก แต่ถันอู่ฟั่งไม่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรงแต่อย่างใดและยังมีความสามารถต่อสู้ได้อย่างแข็งแกร่ง แต่ตอนนี้ คนคลุมหน้าผู้นี้ ได้ฆ่าถันอู่ฟั่งด้วยการจัดการทีเดียว
ด้วยจุดเริ่มต้นนี้ พลังของคนคลุมหน้าผู้นี้คงไม่แข็งแกร่งกว่าเย่ว์หยางไม่ใช่หรือ?
หัวใจของทุกคนเต้นรัวเป็นกลอง
เย่ว์หยางขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะที่เขามองดูบุรุษคลุมหน้าลึกลับ
เขาสังเกตว่าคนคลุมหน้าลึกลับผู้นี้ใช้อสูรไฟชนิดพิเศษเผาร่างปีกดำถันอู่ฟั่ง เพราะสปอร์ที่ฝังอยู่ในร่างถันอู่ฟั่งถูกเผาไหม้จนหมด
แต่เดิม สปอร์ที่ถูกฝังได้รวมตัวกับอสูรสายเสริมพลัง และผสานร่างเข้ากับตัวถันอู่ฟั่ง เว้นแต่อสูรของเขาหลุดออกมา เป็นไปไม่ได้ที่จะกำจัดผลกระทบของสปอร์ได้
อย่างไรก็ตามบุรุษคลุมหน้าลึกลับผู้นี้สามารถใช้ภูตไฟของตนเผาสปอร์ได้ เขาเพียงแต่เผาสปอร์โดยไม่เกินไปกว่านั้นและไม่ได้ฆ่าปีกดำถันอู่ฟั่ง ระดับการควบคุมไฟแบบนี้ใช้ได้อย่างแยบยลจริงๆ บุรุษคลุมหน้าลึกลับนี้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในการใช้ไฟเป็นอย่างดีอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าจะเป็นอสูรของเขาหรือวิธีการใช้องค์ประกอบของร่างกายของเขาก็ตาม ทั้งหมดสามารถประยุกต์ร่วมกับพลังไฟได้อย่างเต็มรูปแบบ เจ้าผู้นี้เป็นศัตรูแข็งแกร่งที่สุดคนที่สองที่เขาเคยเผชิญหลังจากสู้กับสื่อจินโหว ถ้าเขาไม่ระวังตัวให้ดี ก็อาจพ่ายแพ้ได้อย่างง่ายๆ
เผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง เย่ว์หยางไม่มีความกลัวอยู่ในหัวใจเลย ตรงกันข้าม เขากลับกระหายที่จะต่อสู้เพื่อกลายเป็นนักสู้ที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
เลือดนักสู้ในตัวเขาเดือดพล่าน
ศัตรูแบบนี้คือเป้าหมายสำหรับการต่อสู้แบบหนึ่งที่เขาแสวงหาอยู่
ทุกๆ ครั้งที่เขาเอาชนะศัตรูแบบนี้ได้ ก็จะถึงรอบปรับเพิ่มระดับความสามารถ ความแข็งแกร่งจะก้าวข้ามไปอีกระดับหนึ่ง
“ระวังให้ดี! เขาคือปีศาจดินเรืองแสงติ่งซ่าง มันเป็นปีศาจที่เชี่ยวชาญในการใช้ไฟมาก ในหอเกียรติยศปีศาจ ความแข็งแกร่งของเขาอยู่ที่ลำดับ 38 มันเป็นปีศาจที่มีหวังจะกลายเป็นปีศาจฟ้าได้มากที่สุด” ขุนพลเฒ่าหม่าลุกขึ้นจากพื้นยืนตัวสั่นอยู่ แม้ว่ากลิ่นหอมน้ำผึ้งจะยังไม่ได้หายไปอย่างสิ้นเชิง แต่เป็นเพราะปีกดำถันอู่ฟั่งสลบไป หมอกผึ้งคลั่งถึงไปจางไป จนมันสูญเสียประสิทธิภาพต่อจิตใจขุนพลเฒ่าหม่าในขณะที่เขาเปลี่ยนร่างเป็นหมี
“ลำดับที่ 36 ข้าเพิ่งชิงลำดับที่ 36 ของเจ้าหน้าผีก่อนหน้านี้มาได้” บุรุษคลุมหน้าลึกลับทักท้วงด้วยเสียงที่แหลมของเขา
“ดูเหมือนว่าเขาเป็นผู้นำนักรบวิบัติเข้าโจมตี เราจะร่วมมือกันสู้กับศัตรูแข็งแกร่งผู้นี้” ขุนพลเฒ่าหม่ารู้ว่า แม้ว่าเขาจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในการศึก แต่ช่องว่างระหว่างพลังของเขาเมื่อเทียบกับปีศาจเรืองแสงติ่งซ่างยังห่างกันมาก เขาต้องการต่อสู้เคียงข้างเย่ว์หยาง มิฉะนั้นการศึกครั้งนี้จะมีอันตราย
“เจ้าไม่คู่ควรเป็นคู่ต่อสู้ของข้า มีแต่เขา..อาจจะสามารถรับการจู่โจมของข้าได้ครั้งหนึ่งหรือสองครั้ง” ปีศาจเรืองแสงติ่งซ่างไม่เห็นขุนพลเฒ่าหม่าอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย
ขุนพลเฒ่าหม่าวิ่งใส่ปีศาจทั้งที่ยังโกรธจัด มือคู่ใหญ่ของเขาผลักกระแทกออกไปอานุภาพสะเทือนฟ้าดิน
ปีศาจเรืองแสงติ่งซ่างโบกแขนขนาดใหญ่ของเขา เกิดเปลวไฟกวาดไปทั่วท้องฟ้า
ขุนพลเฒ่าหม่ารีบใช้แขนทั้งสองป้องกันตาของตนเองไว้ และฝืนใจผลักภูตไฟที่พุ่งเข้าหาเขากลับไป อย่างไรก็ตาม ภูตไฟที่น่ากลัวไม่สามารถต่อต้านหรือผลักดันกลับไปได้ มันได้สร้างหลุมลึกที่ยาวหลายเมตร
ขณะที่กลุ่มคนมองดูอยู่ พวกเขาถูกความแตกตื่นตกใจครอบงำ
แค่ใช้พลังภูตไฟโจมตีทีเดียว เขาถึงกับผลักดันขุนพลเฒ่าหม่าที่มีพลังเทียบไม่ติดจนถอยไปได้ คนผู้นี้แข็งแกร่งมากขนาดไหนกันแน่?
ที่รู้แน่ๆ เรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อไปต้องเป็นเรื่องน่าสะพรึงกลัวแน่นอน ขณะที่ขุนพลเฒ่าหม่างุ่มง่ามค่อยลดแขนตนเองลง พวกทหารพบว่าหน้าของเขาถูกเผาไหม้จนเกรียมทั้งที่เขาใช้แขนป้องกันเปลวไฟได้ ภายใต้สายตาผู้คนหลายพัน ขุนพลเฒ่าหม่าล้มลง.. แค่การโจมตีเพียงครั้งเดียว โดยไม่ได้แตะต้องตัว เขาก็พ่ายแพ้ปีศาจเรืองแสงติ่งซ่างแล้ว รองขุนพลสองนายรีบเข้าไปหา ตั้งใจว่าจะช่วยขุนพลเฒ่า ในทันใดนั้น พวกเขาร้อง “โอ๊ย!” กลับกลายเป็นว่า เมื่อพวกเขาจับเกราะหุ้มไหล่ของขุนพลเฒ่าหม่าด้วยมือของพวกเขาเอง พวกเขาพบว่าเกราะไหล่ที่เป็นเหล็กกล้ายังเป็นสีแดงเพราะแรงแผดเผาจากไฟ
น่ากลัวจริงๆ
เย่คง, เจ้าอ้วนไห่และคนอื่นๆ กลืนน้ำลายเอื๊อกอย่างกังวลใจพร้อมกัน
อย่างไรก็ตาม เย่ว์ปิงและอี้หนานมองดูเย่ว์หยางอย่างกังวล พวกนางทั้งคู่ห่วงใยเขา
ด้วยพลังไฟของปีศาจเรืองแสงติ่งซ่าง แม้ว่าเย่ว์หยางจะปวดหัวกับมันนิดหน่อย แต่เขาไม่กลัวมัน ไม่ว่าเจ้าผู้นี้จะมีพลังมากขนาดไหน เทียบกับสื่อจินโหวแล้ว ความแข็งแกร่งของพวกเขายังห่างกันไกลแบบเห็นได้ชัด หลังจากต่อสู้กับแม่เฒ่าฉือและสิ้นเปลืองพลังต่อสู้ไปมาก สื่อจินโหวก็ยังมีพลังเหลือพอที่จะฆ่าเขาได้ทันที แม้ว่าในที่สุด เขาจะพลาดท่าพ่ายแพ้เย่ว์หยางก็ตาม
ทำไมเขายังจะต้องกลัวปีศาจเรืองแสงติ่งซ่างด้วยเล่า?
ปัญหาเดียวก็คือว่าหลังจากต่อสู้กับสื่อจินโหวแล้ว เขายังเข้าสู่สภาวะคลั่งที่หุบเขาเบื้องล่างถึง 2 ครั้ง ปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ในร่างกายเขาถูกใช้ไปในปริมาณที่มาก
นี่คือสิ่งที่ทำให้เย่ว์หยางปวดหัวจริงๆ
อย่างไรก็ตาม เพียงการท้าทายที่รุนแรงและสถานการณ์ที่อันตรายอย่างมากนี้ ทำให้เย่ว์หยางควบคุมตนเอง ปรับปรุงและสร้างแนวการต่อสู้เองได้
เย่ว์หยางยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก เขาโบกมือให้เย่ว์ปิงและอี้หนานเหมือนจะบอกให้พวกนางไม่ต้องกังวล ขณะเดียวกัน เขาชักดาบวิเศษฮุยจินออกมาจากนั้นเดินก้าวยาวๆ เข้าไปหาปีศาจเรืองแสงติ่งซ่าง
“นี่คือไฟนรกของข้า เป็นไปไม่ได้แน่ๆ ที่เจ้าจะต่อต้านมันได้” ติ่งซ่างมีความมั่นใจในตนเอง
อสูรสายธาตุจำเพาะของเขาก็คือ ไฟนรก เว้นแต่อสูรที่เป็นจุดอ่อนของมันโดยตรง ผู้ที่จะเผชิญหน้ากับมันมีแต่จะเสียเปรียบรุนแรง
ที่สำคัญที่สุด ภูตไฟนรก อสูรธาตุจำเพาะตัวนี้เป็นอสูรพิทักษ์ตนหนึ่ง มันไม่มีวันตาย และไม่หักหลังเจ้านายของมัน ไม่ใช่แต่เพียงแค่นั้น มันจัดอยู่ในจำพวกเปลวไฟนรก มันเป็นหนึ่งในอสูรที่ดีที่สุดในโลก ได้ครอบครองภูตไฟนรก อสูรทองระดับ 6 ติ่งซ่างไม่เชื่อว่าจะมีศัตรูคนใดที่เป็นนักสู้ระดับ 6 ชั้นสูงหรือต่ำกว่าจะสามารถต้านทานการโจมตีของเขาได้ ต่อให้เป็นนักสู้ระดับ 6 ขั้นสูง ที่ไม่ได้ครอบครองอสูรธาตุจำเพาะที่สามารถตอบโต้ได้ บางทีพวกนี้อาจแพ้เขาด้วยซ้ำ
เจ้าหน้าผีที่อยู่อันดับ 36 ก่อนหน้านี้ แข็งแกร่งกว่าเขาเพียงเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังเสียชีวิตด้วยไฟนรกของเขาเช่นกัน
ความจริง ภูตไฟนรกอยู่ยงคงกระพัน
ติ่งซ่างมั่นใจในตัวของเขาเอง เขาไม่เชื่อว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จะสามารถรับการโจมตีต่อไปของเขาได้ ไม่ว่าเขาจะมีอสูรสายเสริมพลัง หรือสายนักรบ ก็มีเพียงเงื่อนไขเดียวเมื่อเขาเลือกที่จะสู้กับภูตไฟนรก อสูรจำเพาะธาตุของเขา นั่นก็คือตายสถานเดียว
เย่ว์หยางยังคงเดินเข้าหาเขาทีละก้าว ทีละก้าว
…………………….