ตอนที่ 165 – ตอนที่ 160 คนรักหวนคืน อ้อมกอดที่เป็นสุข
จู่ๆ ลูกธนูก็ยิงลงมาจากฟ้าราวกับห่าฝน
พอเขาสร้างวงกลมหยินหยางได้ เย่ว์หยางสะท้อนลูกธนูทั้งหมดกลับขึ้นไปบนฟ้า การกระทำของเย่ว์หยางทำให้คนที่โจมตีกลัวตัวสั่นจนไม่อาจระงับยับยั้งได้
น่าเสียดายที่เย่ว์หยางยังไม่ประสบความสำเร็จในการใช้งานร่วมกันระหว่างวงกลมหยินหยางและวงกลมเทเลพอร์ตทั้งสองอย่างร่วมกันเลย มิฉะนั้น การโจมตีผสมผสานนี้อาจทำลายเจ้าพวกที่ชอบยิงธนูโจมตีจนย่อยยับก็เป็นได้ เย่ว์หยางแค่ทดลองประยุกต์ใช้วงหยินหยางและวงเทเลพอร์ตทั้งสองเข้าด้วยกันโดยฟันเพียงครั้งเดียว หลังจากการโจมตีนั้นแล้ว ตอนนี้เย่ว์หยางมีความเข้าใจใหม่ที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เขามักคิดว่า หลังจากการต่อสู้ใหญ่นับครั้งไม่ถ้วนที่เขาได้เจอมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสู้กับสื่อจินโหว เขาน่าจะมีฝีมือก้าวหน้ายิ่งขึ้น ช่วงเวลาที่ฝีมือเขาพัฒนาก้าวหน้าไม่ควรจะอยู่ไกลนักในตอนนี้ มันเป็นแค่ว่าเขายังไปไม่ถึงจุดเปลี่ยนที่จะทำให้เกิดการพัฒนาขั้นฝีมือได้ ลูกศรที่ระดมยิงกันวุ่นวายในตอนนี้จะเปิดโอกาสให้เขาได้พัฒนาฝีมือ แต่น่าเสียดาย เขาไม่ได้เตรียมตัวให้พร้อมเพียงพอรับสถานการณ์ มิฉะนั้น เขาอาจบรรลุขอบเขตใหม่ยกระดับพลังฝีมือขึ้นก็เป็นได้
การโจมตีตอบโต้ของเย่ว์หยางไม่ได้สะท้อนลูกธนูกลับรุนแรงเพียงพอ ลูกธนูทั้งหมดจึงตกลงกับพื้นในลักษณะเป็นแนวเว้าโค้ง ดังนั้นลูกธนูเหล่านั้นจึงไม่มีผลคุกคามอสูรบินทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม พวกกากินเนื้อบางส่วน ตะกวดบินและค้างคาวยักษ์กลับโชคร้ายที่บินเข้ามาในแนวที่ลูกธนูร่วงหล่น เมื่อพวกมันโฉบลงมาเพื่อโจมตีและกินเนื้อทหาร พวกมันโดนลูกธนูตกใส่และร่วงลงกับพื้น
“ระวัง จัดกระบวนวงแหวนเอาไว้” หัวหน้าทหารรับจ้างในหุบเขาสังเกตเห็นเย่ว์หยางได้ จากนั้นจึงสั่งให้บริวารถอยทันทีไม่ให้ก่อกวนหรือบุกโจมตีเย่ว์หยาง
เขาพบว่าธนูใช้โจมตีเย่ว์หยางไม่ได้
มันเป็นเรื่องตลกมากที่ใช้วิธีโจมตีธรรมดากับนักสู้อย่างนั้น
กลยุทธ์สนามเพลาะใช้ได้ต่อเมื่อทหารสู้กับทหาร และนักสู้ใช้สู้กับนักสู้ พวกเขาจะดำเนินตามแผนล้อมเมืองได้สำเร็จหากกำจัดภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่นี้ได้
ขุนพลเฒ่าหม่าเห็นทุกเรื่องที่เกิดขึ้น
แม้ว่าเขาจะไม่ได้ส่งเสียงอะไรก็ตาม แต่เขาแอบยินดีในใจ
ก่อนหน้านี้ เขารู้แล้วว่าเด็กหนุ่มสวมหน้ากากผู้นี้มีพลังไม่ธรรมดา อย่างไรก็ตาม เพราะเขามีสถานะเป็นนักเรียนจากอาณาจักรต้าเซี่ย เขาจึงไม่สะดวกที่จะขอให้เขาช่วยเหลืออาณาจักเทียนหลัว ตอนนี้เขาเริ่มจะยืนหยัดโจมตีตอบโต้ศัตรูเพื่อช่วยสหายของเขาเอง แต่ก็มีผลยังยั้งกระบวนการโจมตีของศัตรูจากท้องฟ้า เขาช่วยขุนพลเฒ่าปลดเปลื้องภาระใหญ่ออกไปบ้าง มันเป็นความหวังเล็กน้อยที่ดีที่สุดของพวกเขาในสถานการณ์ที่ยากลำบาก
สำหรับสถานการณ์เมืองซือว่างในปัจจุบัน ความเข้มแข็งทางทหารมีมากเป็นพิเศษเพราะได้รับการช่วยเหลือที่ิพิเศษ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความแกร่งมหาศาลที่เด็กหนุ่มสวมหน้ากากมีอยู่ ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาแน่นอน นี่คือพรพิเศษของเทพเจ้าที่มีต่อเหล่าทหารชาติ ทหารรับจ้างและพลเมืองซือว่าง
เย่ว์หยางอาจไม่ได้ช่วยเหลือเมืองซือว่างสุดกำลังของเขา แต่อย่างน้อยเขาจะปกป้องเหล่าสหายให้ได้
สำหรับศัตรูที่แอบวางแผนล้อมเมืองซือว่าง เย่ว์หยางกลายเป็นภัยคุกคามใหญ่และสร้างความตื่นตะลึงที่ไม่พึงประสงค์กับพวกเขา
ศัตรูเหล่านี้ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีศัตรูแข็งแกร่งขนาดนี้ปรากฏตัวขึ้นในเมืองซือว่าง การวินิจฉัยที่ผิดพลาดในการปรากฏตัวของเย่ว์หยาง บางทีอาจเป็นจุดเริ่มต้นของความล้มเหลวพังทลายของแผนการทั้งหมดก็ได้
ดังนั้น ขุนพลเฒ่าหม่าแอบยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่เย่ว์หยางตัดสินใจช่วยโจมตีศัตรู
ในสถานการณ์อันตรายอย่างนั้น เขาไม่สามารถจะยื่นข้อเสนอและแสดงความขอบคุณเย่ว์หยางออกนอกหน้าเกินไป เขารีบนำทหารฝีมือดีของเขาไปโจมตีใส่แมงมุมยักษ์ที่บุกเข้ามาในเมือง
“ใช้ไฟ, แมงมุมกลัวไฟ!” ขุนพลเฒ่าหม่า มีประสบการณ์ต่อสู้เป็นอย่างดี พอเขาโบกมือ พวกทหารที่อยู่ด้านหลังเขาก็ยิ่งธนูไฟทันที ต่อจากนั้นทหารหลายคนได้โยนน้ำมันและคบเพลิงใส่แมงมุมยักษ์ที่มารวมกลุ่มตรงกำแพงเมือง ทำให้พวกมันกรีดร้องอย่างตื่นตระหนก
“เจ้าปลอดภัยหรือเปล่า?” เย่ว์หยางกำลังยินดีรู้สึกได้ถึงกลิ่นหอมละมุนจากอี้หนาน ร่างที่อ่อนนุ่มและน่ารักกอดเขาอยู่ ทำให้เขารู้สึกสดชื่นกระชุ่มกระชวยและเขาหันไปยื่นมือโอบหลังนางไว้
“ข้า..ข้าไม่เป็นไร!” อี้หนานพบว่ามือที่เร่าร้อนของเขายังคงโอบหลังของนางอยู่ นางรู้สึกถึงความปลาบปลี้มยินดีผ่านผิวของนาง และนางยังพบว่ามือของเจ้าบ้านี่กำลังเลื่อนต่ำลงมาจนเกือบถึงบั้นท้ายนางแล้ว นางรีบดึงมือของเขาให้เลื่อนขึ้นมาที่หลัง นางไม่ปล่อยให้เขาเกินเลยในตอนนี้แน่ นางแค่รู้สึกว่าการได้กอดกับเขาเป็นความรู้สึกที่สะดวกสบาย มันให้ความรู้สึกปลอดภัยในใจนางและในขณะเดียวกัน ความรู้สึกที่พวกเขากอดกันและกันทำให้หัวใจพวกเขากลายเป็นหนึ่งและมีความสุข เพราะเขากังวลถึงนาง ทำให้นางกลัวว่าเขาจะเห็นคราบน้ำตาบนใบหน้านาง นางรีบก้มหน้าและแอบเช็ดมัน
“พี่อี้หนาน” เย่ว์ปิงยังไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับความรักของบุรุษสตรีมากนัก ไม่รู้ว่าตัวนางเองกำลังขัดจังหวะความสุขที่พี่ชายนางและว่าที่พี่สะใภ้กำลังมีอยู่ในปัจจุบัน นางวิ่งเข้ามาหาอย่างตื่นเต้นเมื่อเห็นว่าอี้หนานปลอดภัยก็เลยกางแขนรวบกอดทั้งเย่ว์หยางและอี้หนานทั้งสองคนแน่น
“พี่อี้หนาน, ดีจริงๆ ที่เจ้าปลอดภัย!” เจ้าอ้วนไห่ยังคงต้องการแกล้งว่าเขายังคงงี่เง่าก็เลยอ้าแขนบ้าง แต่เย่คงแกล้งถีบเขาจนหัวคะมำคลานสี่เท้าเหมือนสุนัข
พอมีคนล้อมรอบตัวนางอยู่ อี้หนานรู้สึกอายทันที
ยังดีถ้าเป็นแค่เจ้าอ้วนไห่และเย่คง อี้หนานรู้แล้วว่าพวกเขาสามารถบอกได้ว่านางเป็นผู้หญิง
แต่นางยังคงต้องการคงสถานะพี่(ชาย)อี้หนานไว้ต่อหน้าเย่ว์หยาง เพื่อที่ว่าเขาจะได้บอกความรู้สึกที่แท้จริงของเขามากขึ้นในหลายเรื่องที่นางไม่เคยได้ยินได้ฟัง แม้ว่าเขาจะรู้ว่านางเป็นสตรี
เพื่อป้องกันเย่ว์หยางจากความสงสัยหรือความเข้าใจผิด อี้หนานอธิบายอย่างคลุมเครือ “อ่า..นี่เป็นธรรมเนียมที่บ้านเกิดข้า เมื่อคนรู้จักได้พบกันอีกหลังจากแยกจากกันไปนาน ส่วนใหญ่เราจะกอดกันเพื่อแสดงความคุ้นเคยและความปรารถนาดีต่อกัน ก็เหมือนอย่างนี้ไง!” ขณะที่อี้หนานอธิบายแก้ตัว นางก็กอดเย่ว์ปิง เย่ว์หยางหัวเราะชอบใจ แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้อะไร เขาจงใจถอนหายใจ “ธรรมเนียมนี้ ไม่น่าชอบใจเลยจริงๆ มันดีจริงๆ ถ้าอีกฝ่ายเป็นสาวสวย ถึงจะนับว่าโชคดี แต่ถ้ากอดกับผู้ชาย รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่!”
เย่ว์หยางแกล้งทำเป็นขนลุกไปทั้งตัว เพื่อแสดงว่าเขาตะครั่นตะครอตอนที่กอดอี้หนาน
อี้หนานเกือบจะเตะเขาแล้ว นางไม่เคยเห็นคนงี่เง่าอย่างเขามาก่อน
เจ้าอ้วนไห่ได้ยินเช่นนี้ ก็แกล้งทำเป็นตื่นเต้นทันที “ข้าก็ชอบธรรมเนียมบ้านเกิดของอี้หนาน มามะ เรามากอดกันบ้างดีกว่า..”
เย่คงและพี่น้องสกุลหลี่ตีเขาจนล้มลงกับพื้นพร้อมกัน เย่คงกระโจนใส่เขาและเริ่มทุบตีเขา “ธรรมเนียมบ้านเกิดข้าก็มีอยู่ว่า ทันทีที่เห็นใครกวนโมโห เราจะต้องทุบตีมัน อย่างนี้!”
ถือโอกาสผสมโรง พี่น้องสกุลหลี่เหยียบใส่ก้นหนาๆ ของเจ้าอ้วนไห่ด้วย และพยักหน้าเห็นด้วย “บังเอิญที่บ้านเกิดเราก็มีธรรมเนียมแบบนี้เหมือนกัน!”
อี้หนานหัวเราะชอบใจ กล่าวได้ว่าเรื่องแบบนี้มีต้นเหตุมาจากนาง นางรู้สึกเสียใจต่อเจ้าอ้วนไห่ นางรีบผละออกจากเย่ว์หยางและเย่ว์ปิง ส่วนเจ้าอ้วนไห่ถือว่าเป็นเรื่องที่พูดผิดจนพาตนเองโชคร้าย ก่อนอื่นนางหยอกล้อเย่ว์ปิงอยู่ 2-3 คำ ก่อนที่จะถามเย่ว์หยาง “เป็นยังไงบ้าง เจ้าเข้าเรียนได้ไม่กี่วัน ได้พบสาวงามในสถาบันบ้างหรือยัง?”
เย่ว์ปิงกลัวว่าที่พี่สะใภ้จะหึง ดังนั้นนางรีบโพล่งชี้นำทันที พยายามบุ้ยใบ้บอกเขาไม่ให้ทำอะไรที่ไร้ความรับผิดอบ
แต่เย่ว์หยางแกล้งทำเป็นไม่เห็น เขาวางมือลงบนไหล่อี้หนานกล่าว “ข้ายังไม่เห็นสาวงามในสถาบันเลย ทั้งที่เป็นเป้าหลายหลักในการเข้าเรียนในสถาบันของข้าแท้ๆ แต่ในวันแรก ข้าไปเก็บเจ๊ขี้เมาคนหนึ่งได้ตรงเชิงบันได จุ๊ จุ๊ หุ่นนางก็เร่าร้อนดีอยู่หรอก ข้าจะอธิบายรายละเอียดให้ฟังเมื่อมีโอกาสนะ รับรองได้เลยว่าเจ้าได้เห็นจะต้องน้ำลายยืด”
“…….” เย่ว์ปิงเอามือแปะหน้าผากตนเอง น่าปวดหัวจริงๆ ว่าที่พี่สะใภ้นางนี้อาจจะเกิดอาการหึงได้
“จริงเหรอ? แล้วหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นกับเจ๊ขี้เมาคนนั้นล่ะ?” คงจะเป็นเรื่องโกหกถ้าอี้หนานไม่รู้สึกหึงแม้แต่น้อย แต่นางเชื่อว่าเย่ว์หยางคงไม่หลับนอนกับเจ๊ขี้เมานางนั้นทันทีเขาแค่หยิบมาพูดบางส่วน ที่สำคัญที่สุด เขาคงช่วยสาวงามขี้เมาแล้วคงช่วยให้นางสร่างเมา
“หลังจากนั้น ข้าก็พานางกลับไปที่ห้อง ถ้าไม่ใช่เพราะแพนด้าน้อยหนิวหนิว อสูรชั้นทองคอยปกป้องนางนะ หึหึ” เย่ว์หยางยิ้มอย่างมีเลศนัยขณะจับไหล่ของอี้หนาน ความหมายพื้นฐานของเขาก็คือ “เราทั้งคู่ก็เป็นชาย เจ้าสามารถรู้เรื่องเช่นนี้ได้” ท่าทีของเย่ว์หยางทำให้อี้หนานแอบกรอกตา สาวงามอย่างนั้นอยู่ต่อหน้าเขา เขาก็ยังไม่สามารถบอกได้ เขาแค่กำลังบอกนางเกี่ยวกับการมีสัมพันธ์ชู้สาวกับสาวขี้เมา เขามันคนงี่เง่าจนนางไม่รู้ว่าจะขำหรือโกรธเขาดี
“ความจริงพี่สามประพฤติตัวดีมาก เมื่อเขาพานางกลับมาที่หอพัก เขาแค่ให้นางนอนบนเตียงส่วนตัวเองก็ปลีกตัวไปเรียน เมื่อสาวขี้เมาตื่นขึ้น นางทุบตีเย่คง, ต้าไห่และอีกหลายคน ตรงข้ามกับพี่สามที่ไปเรียนค้นคว้าเรื่องสัตว์อสูรข้างนอกกับข้า เพราะพี่สามเป็นเด็กดีก็เลยไม่โดนทุบตี…” เย่ว์ปิงรีบพูดสรรเสริญพี่ชายนาง
“ข้าไม่คิดว่าข้าดีขนาดนั้น.. เจ้ารู้ไหมว่านางทิ้งข้อความไว้ให้ข้าด้วย? นี่พิสูจน์ได้ว่านางยังเก็บข้าไว้ในใจเสมอมาและไม่สามารถลืมข้าได้” เย่ว์หยางยินดีอย่างยิ่งที่ตัวเองได้คุยโวว่าเขาหล่อขนาดที่หญิงสาวถึงกับทิ้งข้อความไว้ให้เขา
“ข้อความอะไร?” พอฟังเรื่องนี้จนแน่ใจพอแล้ว อี้หนานถึงกับเสียงแข็ง
“นี่ไม่ใช่เหรอ?” เย่ว์หยางหยิบบันทึกข้อความออกมาจากชุดของเขา อี้หนานคว้าไว้ทันที พอเห็นเป็นรอยเท้าน้อยๆ ที่ประทับไว้ นางถึงกับงง หมายความว่ายังไง? ลายเซ็นลับเพื่อนัดหมายหรือเปล่า? จดหมายบอกรักลับๆ หรือเปล่า?
“พี่อี้หนาน… พี่อี้หนาน. นี่เป็นแพนด้าน้อยหนิวหนิวทิ้งไว้ให้เขา นางชอบกินขนมหวาน” เย่ว์ปิงเริ่มหัวเราะคิกคัก
“ข้าเข้าใจแล้ว ยินดีด้วย เย่ว์หยาง เจ้าเอาชนะหัวใจสาวน้อยได้สำเร็จแล้ว” พอเห็นเย่ว์ปิงอธิบายว่าเป็นแพนด้าน้อยหนิวหนิว นางก็รู้ได้ว่าเด็กหญิงนั้นยังเป็นเด็กน้อย ถึงกับแอบขำในใจทันที นางรู้สึกอายที่กังวลเกินเหตุ ทำไมนางถึงต้องหึงเด็กด้วยเล่า เจ้านี่อาจดูเป็นคนดี แต่ความจริงโง่เง่ามาก เขาเอาแต่ขังตัวเองอยู่ในบ้านมากเกินก็เลยไม่รู้วิธีเอาชนะใจหญิงสาว อีกอย่าง เขาชอบสวมหน้ากากอยู่เสมอ ถึงได้ไม่มีสาวสวยมาหลงรักเขา
ชะตาของนางต้องมาพัวพันกับเขา แม้ว่าเขาจะหื่นเล็กน้อย แต่เขาก็ยังเป็นของนาง ไม่มีใครคว้าเขาไปจากนางได้
พอคิดถึงเรื่องนี้ อี้หนานรู้สึกร่าเริง นางไม่ถือสาที่เย่ว์หยางโอบไหล่นาง แม้แต่แนบร่างใกล้ชิดเขา นางไม่จำเป็นใส่ใจการกระทำของนางต่อหน้าเย่ว์ปิง เนื่องจากนางปฏิบัติต่ออี้หนานเหมือนเป็นว่าที่พี่สะใภ้ นางไม่จำเป็นต้องปิดบังสิ่งที่จะพูดจากเย่ว์ปิง นางยังพูดเป็นนัยๆ ด้วยเสียงเบาว่า “ข้ามีวิธีง่ายๆ ที่จะทำให้เจ้าได้พบสาวงาม ครั้งต่อไปข้าจะแนะนำน้องสาวข้าให้เจ้ารู้จัก รับรองว่าเจ้าจะต้องน้ำลายยืดเมื่อได้เห็นนาง ถ้าเจ้าต้องการเจอนางนะ ข้าจะจัดการให้ ดีไหม?”
“ฮืมม.. ข้าขอคิดดูก่อน” เย่ว์หยางแกล้งทำเป็นระมัดระวังท่าทีต่อเย่ว์ปิงที่อยู่ข้างๆ ดังนั้นจึงดูเหมือนกับว่าไม่เหมาะที่เขาจะแสดงสิ่งที่เขาคิดจริงๆ อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนเขาว่าเขายังกังวลและคาดหวังกับข้อเสนอนี้ ทำให้เย่ว์ปิงถึงกับแอบหัวเราะคิกคักและอี้หนานมีความสุขมาก
กับการสิ้นสุดการมารวมตัวเล็กๆ ของพวกเขา เมื่อเย่คง เจ้าอ้วนไห่และสหายเข้ามาสมทบ ทุกคนเริ่มรู้สึกตึงเครียดกับสถานการณ์อีกครั้ง
อสูรบินในท้องฟ้ารอเวลาชั่วคราว พวกมันร่อนไปเกาะบนโขดหินบนยอดเขา มองลงมายังเมืองซือว่าง
ใกล้กับกำแพงด้านนอกเมือง แมงมุมยักษ์นับไม่ถ้วนพยายามมารวมกัน มีน้ำพิษและใยแมงมุมขึงอยู่ทั่ว พอเวลาผ่านไปก็มีทหารติดใยแมงมุม โชคดีที่มีทหารคอยป้องกันเมืองมากพอ มีทหารฝีมือดียืนป้องกันทุกระยะ 2-3 เมตร เมื่อพวกเขาเห็นใยแมงมุม พวกเขาจะใช้ไฟเผาทันที
ใยแมงมุมมีความต้านทานมีดและหอกได้ แต่ก็เสี่ยงต่อการถูกไฟเผาจนละลายทันที ตอนนี้ มีทหารที่บาดเจ็บล้มตายไม่มาก จะมีก็แต่ทหารที่ถูกพิษแมงมุมขนาดเล็กกัดเอา
ตราบใดที่พวกเขาเอายาแก้พิษ และทหารไม่ถูกกัดที่อวัยวะภายในที่สำคัญ ผู้ที่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องทันเวลาก็จะรักษาชีวิตไว้ได้
แต่มันเป็นเพียงการเริ่มต้นโจมตีของพวกมันในขณะนี้
แมงมุมยักษ์ที่ทหารฆ่าตายไม่ถึงหนึ่งในพันของแมงมุมทั้งหมด นอกจากนี้ ยังมีแมงมุมหลากหลายรวมตัวกันออกมาจากเหวสิ้นหวัง มันกระจายอยู่ทั่วภูเขาก่อเป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัว ขุนพลเฒ่าหม่าขมวดคิ้วแน่น เขาสามารถบอกได้ว่าความแข็งแกร่งของทหารของเขาลดลงอย่างรวดเร็ว และอสูรของพวกเขาเริ่มได้รับบาดเจ็บมากขึ้น ตอนนี้ยังไม่มีกำลังเสริม พวกเขาไม่สามารถจะฆ่าแมงมุมเหล่านี้ได้ทั้งวันทั้งคืน ยังคงมีอสูรบินและสิ่งมีชีวิตบกพร่องอยู่บนยอดเขา ยังคงจับตามองอย่างละโมบ และรอโอกาสที่ดีที่สุดเพื่อเข้าโจมตี
ตอนเริ่มแรก การต่อสู้นี้อยู่ในความควบคุมของศัตรู มันเป็นการต่อสู้เสี่ยงตาย
ถ้าเด็กหนุ่มสวมหน้ากากเต็มใจช่วย บางทีพวกเขาอาจยันได้จนถึงรุ่งเช้า มิฉะนั้น ด้วยทหารใต้บังคับบัญชาของเขา 2 พันนาย พวกเขาจะไม่สามารถผ่านค่ำคืนนี้ไปได้แน่นอน
ขุนพลเฒ่าหม่า หันมาทางตำแหน่งเย่ว์หยางทันที อย่างไรก็ตาม เขาพบทันทีว่า มีนักสู้คนหนึ่งขี่กริฟฟินปีกเหล็กดำบินลงมาจากกลางอากาศ ไม่ได้สนใจโจมตีทหาร ลอยตัวอยู่ในอากาศอย่างสง่างาม เขาพูดยื่นข้อเสนอให้เย่ว์หยางว่า “พวกเจ้าไม่ใช่ทหาร และไม่ใช่เป้าหมายของเรา เราตัดสินใจปล่อยเจ้าไป จงรีบไปจากที่นี่ทันที!”
ทุกคนกำลังมองดูเย่ว์หยาง บางคนกังวลว่าเขาจะยอมรับข้อเสนอ บางคนอิจฉาว่าเขาได้โอกาสที่จะจากไป บางคนไม่พอใจโชคดีของเขา บางพวกก็หวังว่าเขาจะอยู่ร่วมต่อสู้กับพวกเขา บางพวกก็ส่ายหัวด้วยความสิ้นหวัง ขณะที่บางพวกใช้สายตาอ้อนวอนเขา..
ดวงตาของเย่คงและสหายเปิดเผยเสี้ยวหนึ่งของความในใจ นั่นก็คือ พวกเขาแน่วแน่ที่จะทำตามที่เย่ว์หยางตัดสินใจ
พวกเขาไม่ยินดีต่อสู้กับศัตรูที่แข็งแกร่ง แต่พวกเขาทนไม่ได้ที่จะทอดทิ้งทหารจำนวนมากและจากไปตามลำพังพวกเขาได้
ดังนั้น พวกเขาเลือกฟังการตัดสินใจของเขา
สำหรับอี้หนานและเย่ว์ปิงทั้งสองคนสนับสนุนการตัดสินใจของเย่ว์หยางแน่นอน
“เมื่อข้ามีกัน 3 คน บิดาข้าสอนข้าว่าอย่าเชื่อคำพูดศัตรู เจ้าคิดว่าทุกคนโง่เหมือนเจ้าหรือ? เก็บอุบายตื้นๆ และน้ำลายของเจ้ากลับไปซะ ไม่มีใครหลงกับดักที่เจ้าหลอกล่อให้เราหนีไปหรอก” เมื่อเย่ว์หยางพูดอย่างนี้ ทหารที่อยู่รอบๆ ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที และเริ่มส่งเสียงสนับสนุน
แม้แต่ขุนพลเฒ่าหม่าที่ยืนอยู่ห่างออกไป ก็ยังผงกศีรษะอย่างเข้มแข็ง เป็นไปตามคาด เขาตัดสินเจ้าเด็กนี่ไม่ผิด เขาไม่ติดกับของศัตรู ทั้งไม่ทอดทิ้งทหารหนีเอาตัวรอดไปตามลำพัง
คนดีก็ควรเป็นแบบนี้
ขุนพลเฒ่าหม่ามองดูเย่ว์หยาง ทันใดนั้น บรรยากาศความเชื่อมั่นและจิตวิญญาณที่กล้าหาญได้ยกระดับจิตใจของเขา เมื่อบุรุษนี้อยู่ที่นี่ สถานการณ์คงไม่ดูเยือกเย็นเหมือนในขณะนี้แน่
สีหน้าของนักสู้ที่ขี่กริฟฟินปีกเหล็กเปลี่ยนไปทันที
เกี่ยวกับคำตอบของเย่ว์หยาง ดูเหมือนจะทำให้เขารู้สึกอัปยศอดสูครั้งใหญ่ เขาตีลังกาโดดลงมาจากหลังกริฟฟิน ชี้หน้าเย่ว์หยางพลางคำรามอย่างเย็นชา “เพราะเจ้าต้องการตาย ข้าจะส่งเสริมเจ้าเอง อย่ามาทำอวดดีว่ามีวิทยายุทธ์เลยดีกว่า เราแค่เห็นคุณค่าของคนมีพรสวรรค์ เจ้าทำเย่อหยิ่งยโสแล้ว อย่ามาตำหนิเราที่ไม่ยั้งมือให้เด็กๆ อย่างพวกเจ้าล่ะ เตรียมตัวตายได้แล้ว!”
ทักษะญาณทิพย์ระดับสามของเย่ว์หยางสามารถเห็นพลังที่แท้จริงของศัตรูที่เขาซ่อนเอาไว้ นักสู้ที่สวมหน้ากากผู้นี้แข็งแกร่งกว่า 2 คนที่เขาได้เจอมาที่โพรงมด
เขาน่าจะเป็นนักสู้ระดับ 6 ขั้นสูง ผู้ครอบครองอสูรสายเสริมพลังและเป็นผู้เชี่ยวชาญวิทยายุทธ์ พลังของเขาบางทีไม่อ่อนด้อยกว่าขุนพลเฒ่าหม่า
เจ้าผู้นี้ยังคงเป็นหนึ่งในบรรดานักสู้มีชีวิตบกพร่องที่แข็งแกร่งที่สุดที่เย่ว์หยางเคยพบมา
ด้วยความแตกต่างเพียงครึ่งขั้น เขาก็ยังแข็งแกร่งกว่านักสู้ระดับ 6 ทั้งสองคนที่เขาเคยพบที่โพรงมดถึงสองเท่า อย่างไรก็ตาม เย่ว์หยางผู้เอาชนะสื่อจินโหวได้ ไม่กลัวเขาแน่นอน แต่ในสถานการณ์นี้ ไม่เหมาะสมที่จะเผยให้เห็นเสี่ยวเหวินหลีต่อหน้าคนจำนวนมาก เย่ว์หยางคงไม่ใช้พวกเขาต่อสู้ เย่ว์หยางคิดว่าเป็นเรื่องไม่ง่ายที่จะเอาชนะเขาโดยใช้ความแข็งแกร่งของเขาเพียงอย่างเดียว
สิ่งที่ทำให้เย่ว์หยางแอบระมัดระวังก็คือว่ามีนักสู้ผู้แข็งแกร่งมากกว่าเจ้าผู้นี้หลายเท่าแฝงตัวอยู่ในความมือคอยสังเกตดูสนามรบ
คนผู้นั้นต้องเป็นผู้นำตัวจริงในการเข้าจู่โจมครั้งนี้
เผชิญหน้ากับการท้าทายของศัตรูที่หยิ่งยโส เย่ว์หยางทำเป็นหาวอย่างเกียจคร้าน “ถ้าเจ้าต้องการสู้ก็เริ่มเสียที เลิกพูดโยกโย้ได้แล้ว ข้าฟังแล้วพาลจะง่วงเสียให้ได้”
“ฮึ่มมม” ด้วยอาการอย่างนี้ทำให้พวกทหารฮึกเหิมขึ้น พวกเขาทุกคนยกมือส่งเสียงเชียร์ลั่น
“เฮ! เฮ โอ” พวกเขาตะโกนเสียงดังพร้อมกัน เหมือนกับว่าจะทำให้เย่ว์หยางน่ากลัวยิ่งขึ้น เสียงตะโกน ดังก้องไปทั้งท้องฟ้าและแผ่นดินเหมือนกับว่าพวกทหารมีกำลังใจเพิ่มขึ้น
+++++++++++++++