ตอนที่แล้วตอนที่ 7-5 วันสิ้นโลก
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 7-7 หนีมหันตภัย

ตอนที่ 7-6 นักรบระดับเทพ


มีอสูรเวทอยู่ทั้งภายในและภายนอกเมืองเฟนไลจำนวนนับไม่ถ้วน  เมืองนี้เพิ่งจะฉลองวันศักราชยูลานครบ 10000 ปีในตอนนี้กลับกลายเป็นวันสิ้นโลกไปได้ ความตายเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและพลเมืองของเมืองเฟนไลเมืองหลวงศักดิ์ลดลงในระดับที่น่ากลัว

ทั้งคนระดับสูงของโบสถ์เจิดจรัสและประชาชนทั่วไปต่างก็หนีเอาชีวิตรอดจากอสูรเวทเหมือนกัน

“เร็วเข้าเร็วเข้า  อย่าช้า!”

ดยุคโบนัลท์คำรามด้วยความโกรธ  ตอนนี้ดยุคโบนัลท์ไม่ได้ให้ความสนใจเรื่องพระราชาของเขา  เขาเพียงแต่พาครอบครัวของเขาออกไปจากคฤหาสน์ดยุคของเขา  พร้อมกับองครักษ์ที่แข็งแกร่งที่สุดหนีออกไปนอกเมืองทันที สิ่งเดียวที่เขามีติดตัวก็คือการ์ดเครดิตเวทไม่กี่ใบ

พวกเขาต้องรีบหนีเพื่อเอาชีวิตให้รอด!

“ท่านพ่อ,ไปช่วยเนสซาด้วยเถอะ”  อัลเบิร์ตบุตรชายของดยุคโบนัลท์ขอร้อง

“เจ้าบัดซบ,  ถ้าเจ้าต้องการเอาชีวิตรอด,อย่างนั้นก็ตามข้ามา!”  ดยุคโบนัลท์คำรามอย่างเดือดดาล“ไปกันได้แล้ว”

ดยุคโบนัลท์ไม่สนใจบุตรชายของเขาต่อไป และพาภรรยาและลูกๆคนอื่นออกไปทันที  สำหรับอัลเบิร์ตเขายังลังเลใจอยู่ตรงนั้นชั่วขณะ จากนั้นกัดฟันชักดาบแล้ววิ่งไปอีกทางหนึ่ง

“ไอ้ลูกเนรคุณ!”ดยุคโบนัลท์สบถ  แต่ในใจนั้นเขารู้สึกเสียใจมาก

แต่ดยุคโบนัลท์รู้ดีว่าในตอนนี้เมืองเฟนไลมีอสูรเวทอยู่เต็มไปหมด อสูรเวทระดับเจ็ดอาจปรากฏตัวได้ทุกเมื่อ และอสูรเวทระดับแปดและระดับเก้าหาพบได้ไม่ยาก  ตอนนี้ ถ้าพวกเขาไม่รีบหนีออกจากเมืองทันทีพวกเขาจะไม่มีโอกาสรอดชีวิต

“ลูกพ่อ,ยกโทษให้พ่อด้วย”  ดยุคโบนัลท์รำพึงกับตนเอง  ขณะเดียวกัน เขาตะโกนสั่งผู้คุ้มกันของเขา“เร็วเข้า, ออกจากเมืองเฟนไล! เมื่อเราไปถึงที่ปลอดภัย ทุกคนจะได้รับรางวัล 30,000 เหรียญทอง!” ในเวลาอย่างนี้ดยุคโบนัลท์ไม่กล้าตระหนี่อีกแล้ว

“ขอรับ, ท่านดยุค!”  คนคุ้มกันภัยดีใจ 30,000 เหรียญทองมากพอให้เขาได้ใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ

แต่หลังจากเดินทางไปได้สองหรือสามกิโลเมตร พวกเขาเผชิญหน้าและฆ่าอสูรเวทระดับเจ็ดไปสองตัว  อสูรเวทระดับหกห้าตัวและอสูรเวทระดับห้าอีกสามตัว

“โกรวววว!”

หมีดำสูงสิบเมตรเริ่มวิ่งเข้าจู่โจมพวกเขาด้วยความเร็วสูงมาแต่ไกลแต่ละก้าวล้วนทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือน เมื่อเห็นหมีดำแล้ว หน้าของคนคุ้มกันภัยซีดเผือด และดยุคโบนัลท์ตะโกนลั่น“รีบหนีเร็ว  หมีลายม่วง!เร็วเข้า!”

หมีลายม่วงตัวเต็มวัยโดยทั่วไปเป็นอสูรเวทระดับเก้า

หมีลายม่วงระดับเซียนที่ลินลี่ย์เคยเผชิญหน้าในหุบเขาหมอกในเทือกเขาอสูรเวทนับเป็นตัวแทนที่แข็งแกร่งของมันได้

“โกรววววว!” เห็นได้ชัดว่าหมีลายม่วงจับตากลุ่มของดยุคโบนัลท์อยู่และมันวิ่งเข้าหากลุ่มพวกเขาทำให้ทั้งแผ่นดินและหัวใจของดยุคโบนัลท์สั่นสะท้าน หมีลายม่วงวิ่งตรงมาทางด้านเขาอย่างมิต้องสงสัย  ทุกอย่างที่ขวางทางมันถูกชนกระจัดกระจาย

“บึ้ม!”ด้วยคลื่นพลังแขนของมัน อาคารสูงสามชั้นพังกระจายเศษซากหักพังกระเด็นโปรยใส่กลุ่มของดยุคโบนัลท์

“โครม!”ซากหักพังชิ้นหนึ่งขนาดครึ่งหนึ่งของตัวมนุษย์กระเด็นลงถูกธิดาคนหนึ่งของดยุคโบนัลท์  ศีรษะของธิดาเขากลายเป็นเนื้อเลอะเลือนขณะที่เลือดและสมองกระจายเปรอะตามหินและพื้น

ดยุคโบนัลท์และคนของเขาไม่มีโอกาสโกรธหรือเสียใจ  เพราะทันทีหลังจากนั้นหมีลายม่วงใช้อุ้งเท้าตะปบใส่คนคุ้มกันเปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นสิ่งที่ไม่ต่างจากกองเนื้อเพิ่มขึ้นมา

“อ๊า!”ดยุคโบนัลท์ตระหนักได้ทันทีว่าอุ้งเท้ายักษ์กำลังเหยียบลงมาที่เขา  เขากลิ้งหลบอย่างเร่งร้อน

“บึ้ม!”

หมีลายม่วงเหยียบดยุคโบนัลท์ฆ่าเขาตายคาที่ ถ้าคนอ่อนแออย่างดยุคโบนัลท์สามารถหลบหมีลายม่วงได้พ้น อย่างนั้นหมีลายม่วงคงไม่มีค่าไม่มีคุณสมบัติพอได้เป็นอสูรเวทระดับเก้าแน่

“โกรววววว!”หมีลายม่วงเชิดหัวคำรามทุบอกมันอย่างตื่นเต้นก่อนจะหันหัวไปทางอื่นเพื่อล่าเหยื่อเพิ่ม

…….

บดทับจนตาย กวาดจนตาย ตบจนตาย กัดจนตายนี่เป็นเรื่องปกติธรรมดาทั่วไปอย่างมาก ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นขุนนาง คฤหบดีหรือสามัญชน  ตอนนี้ในเมืองเฟนไลชีวิตเป็นสิ่งที่เปราะบางมาก และเพราะเหตุนั้นทั้งขุนนางและสามัญชนต่างก็ตายได้พอกัน

นครเฟนไลเป็นพื้นที่ประสบหายนะอย่างแท้จริง

และสถานที่มีการประหัตประหารรุนแรงที่สุด...ก็คือบริเวณโดยรอบโบสถ์เจิดจรัส

บนลานขนาดใหญ่หน้าโบสถ์เจิดจรัสอัศวินผู้แข็งแกร่งของโบสถ์เจิดจรัส,มือปราบของศาลศาสนจักรกำลังต่อสู้ติดพันกับอสูรเวทอย่างดุเดือด  การป้องกันที่นี่เหนียวแน่นที่สุดดังนั้นจึงมีอสูรเวทมาชุมนุมที่นี่มากเช่นกัน

ลินลี่ย์กับบีบีอยู่ในมุมลานจตุรัสด้านหนึ่งของโบสถ์เจิดจรัส  แต่ทั้งสองยังปลอดภัยอยู่ได้ทั้งนี้เพราะความแข็งแกร่งของพวกเขา พวกเขาไม่มีอะไรต้องกลัว ตราบเท่าที่นักรบระดับเซียนไม่เข้ามาทำร้ายพวกเขา

และในตอนนี้นักรบระดับเซียนทั้งหมดอยู่ในท้องฟ้าเหนือโบสถ์เจิดจรัส

“เจ้านาย,มีอสูรเวทระดับเซียนมากมายเหลือเกิน” เสียงของบีบีดังขึ้นในใจของลินลี่ย์

ลินลี่ย์แหงนมองอสูรเวทระดับเซียนในอากาศเหนือโบสถ์เจิดจรัสอีกครั้ง  ลินลี่ย์คาดไม่ถึงเลยว่าช่วงเวลาที่วิกฤติอย่างนี้ศาสนจักรเจิดจรัสยังสามารถระดมนักรบระดับเซียนในเมืองเฟนไลมาได้ถึงเจ็ดคน

“นักสู้ระดับเซียนซึ่งศาสนจักรเจิดจรัสยอมรับอย่างเป็นทางการสามารถนับได้ด้วยมือข้างเดียวความจริงมีนักสู้ผู้ทรงพลังซ่อนตัวอยู่หลายคน นี่แค่เพียงนครหลวงศักดิ์สิทธิ์ ก็มีนักสู้ระดับเซียนถึงเจ็ดคนแล้ว มีแนวโน้มว่าจำนวนรวมของนักสู้ระดับเซียนภายในสหภาพศักดิ์สิทธิ์มีการจัดการเป็นอย่างดี

ในที่สุดลินลี่ย์มีความคิดว่านี่ดูเหมือนจะเป็นพลังระดับสูงสุดภายในแผ่นดินแล้ว

รังสีของนักสู้ระดับเซียนก็เพียงพอทำให้เกิดความกลัวได้  นักสู้ชาวมนุษย์ระดับเซียนทั้งเจ็ดคนนั้นที่อยู่ในอากาศนั้น  แต่ละคนก็สามารถฆ่าลินลี่ย์ได้ง่ายดาย  ลินลี่ย์มีค่าไม่ต่างอะไรกับมด  แต่ตอนนี้มนุษย์นักสู้ระดับเซียนทั้งเจ็ดเหล่านั้นตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

อสูรวิเศษตามธรรมดาก็มีพลังมากกว่ามนุษย์อยู่แล้ว

สำหรับอสูรเวททั่วไป ทันทีที่ขึ้นไปถึงระดับเซียน  แม้ว่าจะเป็นอสูรเวทระดับเซียนขั้นเริ่มต้นนักรบชาวมนุษย์ระดับเซียนขั้นกลางจึงจะสามารถสู้กับพวกมันได้  สำหรับอสูรเวทที่ทรงพลังอยู่แล้วซึ่งบรรลุขอบเขตระดับเซียนอย่างเช่นมังกรเกราะหนาม, มังกรอำมหิต หรือจักรพรรดิอสรพิษเก้าหัว  ทันทีที่เข้าถึงระดับเซียน พวกมันสามารถรับมือนักสู้ชาวมนุษย์ระดับเซียนขั้นสูงได้

และในตอนนี้

อสูรเวทระดับเซียนเกินกว่าสิบตัวยืนอยู่ในอากาศและในบรรดาพวกมันก็มีราชสีห์ตาโลหิต, มังกรอำมหิต, วานรขนทองตาม่วงและอสูรเวทระดับเซียนอื่นๆที่แข็งแกร่งอย่างเหลือเชื่อ แต่ละตัวนั้นสามารถต่อสู้กับจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ได้ตัวต่อตัวเลยทีเดียว

สิ่งที่น่าทึ่งมากยิ่งกว่าก็คือผู้ที่อยู่ต่อหน้าอสูรเวทเหล่านี้เป็นบุรุษหนุ่มผู้มีกลิ่นอายชั่วร้ายคนหนึ่ง

“เจ้าเป็นมนุษย์หรือว่าเป็น...?” ไฮเดนส์จ้องมองบุรุษหนุ่มผู้โหดเหี้ยม

บุรุษหนุ่มผู้อำมหิตจ้องมองไฮเดนส์อย่างเย็นชา  “มนุษย์น่ะหรือ? ข้าจะเป็นมนุษย์ที่น่าสมเพชได้อย่างไร? มนุษย์ไม่มีอะไรมากไปกว่าอาหารของอสูรวิเศษของเรา” คำพูดของชายหนุ่มผู้โหดเหี้ยมเต็มไปด้วยความรังเกียจอย่างแท้จริง  แม้เมื่อเขามองดูไฮเดนส์ก็ไม่มีความรู้สึกอะไรนอกจากดูถูก

“ฮ่าฮ่า,ถ้าราชาผู้ยิ่งใหญ่ของเราต้องการจะฆ่าเจ้า มันง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือเสียอีกเขาเห็นแก่หน้าพวกเจ้า พวกเจ้ายอมรับเสียเป็นดีที่สุด ฮ่าฮ่า...”  วานรขนทองตาม่วงตะคอกและหัวเราะลั่น

สีหน้าของไฮเดนส์เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เขาหันหน้าไปทางนักสู้ระดับเซียนทั้งหกคนด้านหลังของเขา

อสูรเวทตนหนึ่งที่สามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้จะมีพลังขนาดไหน?

“เป็นไปได้ไหมว่านักรบชั้นเทพอีกคนหนึ่งปรากฏขึ้นในทวีปยูลานแล้ว?เป็นผู้อมตะหรือนี่?” ไฮเดนส์รู้สึกว่าใจตกวูบ ในอดีต มีเพียงสามคนที่ดำรงอยู่ในระดับพลังที่สูงสุดในทวีปยูลานเทพสงครามแห่งจักรวรรดิโอเบรียน, นักพรตวิเศษแห่งจักรวรรดิยูลานและราชันย์ป่าอันธกาล

ไฮเดนส์คาดไม่ถึงเลยว่าเทือกเขาอสูรเวทจะเกิดมีราชาเป็นของตนเองเขาสามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้เช่นกัน

“บรรลุจากขอบเขตชั้นเซียนถึงระดับชั้นเทพ  อสูรวิเศษระดับเทพ นี่มัน....” ไฮเดนส์รู้ดีว่าอสูรวิเศษระดับเทพนั้นน่ากลัวเพียงไหน  สำหรับราชาผู้นี้ การฆ่ากันของนักสู้ชาวมนุษย์ระดับเซียนทั้งเจ็ดคนนี้เหมือนกับการละเล่นของเด็ก

ไฮเดนส์ตัดสินใจทันที

พวกเขาต้องหนี

ตอนนี้ การรักษาพลังอำนาจที่ยังเหลืออยู่ไว้ให้กับศาสนจักรเจิดจรัสสำคัญที่สุดถ้าต้องสูญเสียนักสู้ระดับเซียนทั้งเจ็ดคนไป อำนาจของศาสนจักรเจิดจรัสจะลดลงอย่างน้อยครึ่งหนึ่งและสถานะของศาสนจักรก็ตกลงเช่นกัน

“อสูรวิเศษระดับเทพหรือ?อสูรวิเศษระดับเทพปรากฏออกมาอย่างไม่มีปีมีขลุ่ยได้ยังไงกัน?”  ไฮเดนส์สบถกับตัวเอง เขาไม่รู้เลยว่าอสูรวิเศษระดับเทพบังเอิญถูกลินลี่ย์ปล่อยออกมาจากในหุบเขาสายหมอก  และขณะที่เรื่องเกิดขึ้นนี้  อสูรวิเศษระดับเทพได้วางแผนการนี้มานานเกินกว่าครึ่งปีแล้ว  เขาช่วยลินลี่ย์โดยมิได้ตั้งใจ

โชคชะตาเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดอย่างแท้จริง

“ราชาอสูรวิเศษผู้ทรงอานุภาพ  ข้าคือจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ไฮเดนส์  ข้าขอถาม ท่านต้องการให้ข้าทำอะไร?” ไฮเดนส์ตัดสินใจยอมรับ

บุรุษหนุ่มผู้อำมหิตยิ้มและพยักหน้า  “เจ้าชื่อไฮเดนส์ใช่ไหม?  ดีมาก สิ่งที่เจ้าต้องทำก็คือพาคนของเจ้าหนีขึ้นไปทางเหนือ  เมื่อถึงวันที่เราเหล่าอสูรวิเศษรู้สึกว่ามีเขตแดนเพียงพอแล้ว  พวกเขาจะหยุดขยายดินแดน”

หัวใจไฮเดนส์เต็มไปด้วยความโกรธ

นี่มันข้อเสนออะไรกัน?

เมื่อพวกมันรู้สึกว่าพวกมันมีเขตแดนพอแล้ว  พวกมันจึงจะหยุดขยายอาณาเขตหรือ?

“อืม..ไม่ต้องกังวลหรอก ข้าไม่ชิงอาณาเขตของสหภาพศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าทั้งหมดแน่อย่างมากก็แค่ครึ่งเดียว.. อย่างตอนนี้ เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาเงาก็ถูกเราทำลายไปด้วยเช่นกัน”  บุรุษหนุ่มผู้โหดเหี้ยมพูดตามปกติ

“เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาเงาน่ะหรือ?” ไฮเดนส์และนักสู้ระดับเซียนอีกหกคนตกตะลึงกันหมด

อาจเป็นได้ว่าเทือกเขาอสูรเวทของบรรดาอสูรเวทได้เปิดฉากโจมตีทั้งศาสนจักรเจิดจรัสและศาสนาเงาพร้อมกัน?  นี่มันบ้าเกินไปแล้ว!  พวกเขารู้ว่าอสูรเวทในเทือกเขาอสูรเวทมีเป็นจำนวนมากและยังมีอสูรเวทระดับเซียนไม่กี่ตัวอยู่ที่นั่นเช่นกัน  แต่พวกเขาไม่คิดเลยว่าจะมีจำนวนเพียงพอเปิดฉากโจมตีสองมหาอำนาจพร้อมกัน

“พวกเจ้ารีบไปเดี๋ยวนี้โอว และยังมีอีกอย่างหนึ่งที่ข้าสามารถบอกพวกเจ้าได้  ข้าชื่อว่าไดลิน”  บุรุษหนุ่มผู้โหดเหี้ยมพูดอย่างธรรมดา

เมื่อได้ยินคำสนทนามาถึงจุดสำคัญ  ลินลี่ย์ตะลึงโดยสิ้นเชิง เห็นได้ชัดว่ากลุ่มอสูรเวทนี้ไม่ใช่เพิ่งโจมตีเมืองเฟนไลมันโจมตีทั้งสหภาพศักดิ์สิทธิ์และพันธมิตรมืด ประเมินจากคำพูดของบุรุษหนุ่มผู้ชั่วร้ายนี้

พวกเขาตั้งใจจะชิงดินแดนของสหภาพศักดิ์สิทธิ์และพันธมิตรมืดอย่างละครึ่ง

“อย่างนั้นดูเหมือนว่าสิบสองอาณาจักรและสามสิบสองแว่นแคว้นทางทิศตะวันตกของเทือกเขาอสูรเวทจะต้องประสบภัยพิบัติ”ลินลี่ย์รู้สึกหวาดหวั่น

“ราชาแห่งเทือกเขาอสูรเวท,ไดลิน?”

ลินลี่ย์ประทับชื่อไดลินนี้ไว้ในความทรงจำ  หลังจากฟังอยู่เงียบๆ ชั่วขณะ ลินลี่ย์ลอบเดินผ่านฝูงชนและแยกตัวออกไปมุ่งหน้าไปยังที่พักของเขา  ทั้งนี้เพราะเขายังมีของหลายอย่างทิ้งไว้ที่คฤหาสน์ของเขา

“ฮู้ววววว!”หมาป่าร่างแข็งแรงทรงพลังตัวหนึ่งสังเกตเห็นลินลี่ย์  และมันพุ่งเข้าหาเขาทันที

“ควั่บ!”

ประกายแสงสีม่วงวูบขึ้น ลินลี่ย์ไม่ได้ชะงักหรือช้าลง แต่หมาป่าที่แข็งแรงตัวนั้นขาดสองท่อนทันที บนพื้นเปรอะไปด้วยเลือดบนถนนกลับคฤหาสน์ของเขา ลินลี่ย์เห็นถนนที่กลายเป็นเส้นทางสายมรณะและทำลายล้าง มีอสูรเวทอยู่ทุกที่

แต่เวลานั้นลินลี่ย์มาถึงสี่แยกตัดกันระหว่างถนนฟราแกรนท์พาวิลเลี่ยนและถนนกรีนลีฟ ลินลี่ย์เห็นกองกำลังที่แข็งแกร่งมีคนราวสามสิบคน  ไม่ว่าที่ใดที่กองกำลังนี้ผ่านไปอสูรเวทจะไม่สามารถขัดขวางพวกเขาได้

“พี่ใหญ่เยล?”

ทันใดนั้นลินลี่ย์เห็นว่าเยลถูกมัดอยู่บนหลังม้าศึกที่แข็งแรง“พี่รองและน้องสี่ก็อยู่ที่นี่เหมือนกัน เพียงแต่พวกเขากำลังขี่ม้า”

“พ่อ,ปล่อยข้านะ,  ปล่อยข้า!ปล่อยให้ข้าไปช่วยน้องสาม! โบสถ์เจิดจรัสล่มสลายไปแล้ว นี่เป็นโอกาสดีที่สุดที่จะช่วยเขาได้!” เยลที่โดนมัดยังคงตะโกนลั่นอยู่บนหลังม้าศึก คนที่บังคับม้าศึกตัวจริงก็คือบุรุษผมแดงผู้มีความแข็งแกร่งอย่างมาก

ความรู้สึกที่ลินลี่ย์มีต่อเขาก็คือเขามิได้อ่อนแอกว่าไกเซอร์เลย

“หุบปากเจ้าซะ”ในกลางขบวนคาราวานเป็นบุรุษร่างอ้วนใหญ่กวัดแกว่งขวานศึกเล่มใหญ่อยู่ในมือ มันถูกกวัดแกว่งจนดูเป็นภาพเลือนรางในมือเขา  เห็นได้ชัดว่ามีพลังมหาศาล

“พ่อ?นั่นคือประธานหอการค้าดอว์สันหรือนี่?” ลินลี่ย์แอบทึ่ง

เพียงก้าวกระโดดไม่กี่ก้าวลินลี่ย์ก็ไปถึงขบวนคาราวานในวินาทีเดียว

“พี่ใหญ่เยล,เรย์โนลด์, จอร์จ!”  ลินลี่ย์ตะโกนเรียก

เยลยังตะโกนโวยวายอยู่ถึงกับสะดุ้งและหันไปมองอย่างช่วยไม่ได้  เรย์โนลด์และจอร์จที่ขี่ม้าเงียบๆตลอดหันมาดูเช่นกัน  เมื่อเห็นลินลี่ย์ร่างเปรอะเปื้อนเลือด และบีบีหนูเงาน้อยที่คุ้นเคยตัวนั้นบนไหล่เขา  นัยน์ของคนทั้งสามแดงทันที

“น้องสาม”

ทั้งสามคนร้องออกมาด้วยความยินดีพร้อมกัน

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด