ตอนที่ 145 – ตอนที่ 141 นางโจรลึกลับ
ไม่มีกลุ่มไหนเรียกอสูรของตนออกมา พวกเขาได้แต่เหวี่ยงหมัดใส่กันไปมา
เย่คงและกลุ่มของเขามีคนน้อยกว่า แต่พวกเขาก็ยังไม่ยอมหยุด
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังเคยทำงานเป็นคนงานและทหารรับจ้าง แม้ว่าพวกเขาจะร่วมกันเป็นกลุ่มและโดนทำร้าย แต่พวกเขาก็ไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว กลับสู้ด้วยกำลังของตนเอง และพวกเขาก็ไม่ได้เสียเปรียบเท่าไหร่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พี่น้องตระกูลหลี่จับคู่สู้กับพี่น้องฝาแฝดผลัดกันรุกและรับ คนหนึ่งช่วยรุกอีกคนหนึ่งช่วยรับ พวกเขาต่อสู้ด้วยความเข้าใจและสามัคคีระหว่างกันจนกลุ่มผู้ชายอีกหลายคนที่รุกโจมตีพวกเขาอยู่ข้างเดียวไม่สามารถมีเปรียบได้
เนื่องจากเขาทำสัญญากับคิงคองปีศาจและด้วงจอมพลัง ร่างกายของเย่คงมีการพัฒนาใหญ่ เขามีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น เป็นพลังที่เขาได้รับมาจากอสูรของเขาแล้วยังคงพัฒนาต่อเนื่อง ที่สำคัญที่สุด ความเชื่อมั่นของเขากลับคืนมาแล้ว
แม้ว่าเขาจะไม่ได้เรียกคิงคองปีศาจออกมา แต่เขาก็ยังสามารถรับมือคู่ต่อสู้ได้
เขาเพียงคนเดียว ประลองกับคนสองคน
ทั้งสองคนที่เขาประฝีมือกันอยู่มีหน้าตาคล้ายกัน เป็นไปได้ที่พวกเขาจะเป็นพี่น้องฝาแฝด สองพี่น้องนี้ตัวสูงและอึด ยิ่งไปกว่านั้นทั้งสองคนยังร่วมมือกันสู้กับเย่คง พวกเขาสู้อย่างเข้มแข็งห้าวหาญ เหมือนกับว่าต้องการจะกลืนกินเย่คงทั้งตัว เย่คงยังคงไม่ยอมแพ้ขอความเมตตา กลับชกโต้ตอบพวกเขา มี 3 คนต่อยเตะอีกฝ่ายอย่างใจร้อน ต่างฝ่ายต่างทุบตีใบหน้ากัน หน้าของทั้งสามคน ถูกต่อยตีจนเลือดเปรอะไปทั้งหน้า
บางทีความโกรธในใจของพวกเขาคงถูกกระตุ้นโดยการต่อสู้ ไม่มีผู้ใดเต็มใจหยุด และพวกเขามุ่งมั่นจะสู้กันจนกว่าถึงที่สุด จนกว่าอีกฝ่ายจะหมอบพ่ายแพ้
ผู้ชมโดยรอบไม่คิดว่าเป็นเรื่องแปลก เพราะภาพที่ทหารรับจ้างต่อสู้ทะเลาะกันเป็นเรื่องเกิดขึ้นได้ทั่วไปทุกๆ วัน ไม่ว่าที่ไหน หรือเมื่อไหร่
แม้แต่ทหารประจำชายแดนก็ไม่มีผู้ใดสนใจออกมาห้ามปรามหรือหยุดพวกเขา
ภายใต้การส่งสัญญาณของเย่ว์หยาง ฮุยไท่หลางกระโจนออกไป เสียงคำรามดังสนั่น ตอนแรกมันทำให้ทุกคนและสัตว์อสูรที่ปรากฏตัวตกใจกันหมด จากนั้นก็แยกบุรุษ 2-3 คนที่ร่วมกันทำร้ายเจ้าอ้วนไห่ได้ง่าย พอช่วยเจ้าผู้นี้ที่กำลังคุกเข่ากับพื้นเอามือกุมศีรษะโดยไม่สนใจตรงก้นตนเอง
ด้วยการปรากฏตัวของฮุยไท่หลางอสูรเงินระดับ 4 พวกทหารรับจ้างโดยรอบถึงกับถอยออกไป 10 เมตรทันที แต่ละคนๆ ถึงกับสีหน้าเปลี่ยนไป
พวกที่กำลังต่อสู้กันอยู่ทั้งหมด รีบหยุดต่อสู้ทันที
“เฮ้! นี่ไม่เป็นไปตามกฎนี่น่า กฎระบุไว้ชัดเจนแล้วว่าไม่สามารถใช้สัตว์อสูรได้ พวกเจ้าเรียกสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งออกมามีส่วนร่วมในการต่อสู้ พวกเจ้าคิดจะเอาเปรียบพวกเราอย่างไม่เป็นธรรมใช่ไหม?” มี 1 บุรุษ 1 สตรีเดินออกมาจากในกลุ่มคน บุรุษดูเป็นมิตรมีสีหน้าปกติ แต่สตรี..ขมวดคิ้วด้วยความโกรธเดินลงส้นปังปังเข้ามาหาเย่ว์หยาง
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจเรื่องที่เกิดขึ้น แต่คน 10 คนรุมทำร้ายคน 4 คน นี่เป็นส่วนหนึ่งในกฎของพวกเจ้าหรือ?” เย่ว์หยางตอบประชด
“เราไม่สนใจเรื่องเกี่ยวกับพวกตระกูลเย่ แต่ก่อนที่เจ้าจะมา ประการแรก เราไม่ได้เรียกสัตว์อสูรออกมาทำร้ายสหายของเจ้า และประการที่สอง เราไม่ได้มีส่วนร่วมในการต่อสู้ นี่พิสูจน์ได้ว่าเราไม่มีเจตนาชั่วร้าย นี่เป็นเพียงข้อพิพาทภายในตระกูลเย่ ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งสองฝ่ายก็ยังสู้แบบมีความยับยั้งชั่งใจ พวกเขาไม่ได้ใช้อาวุธหรืออาวุธยิง พวกเขาใช้แค่เพียงหมัดล้วนๆ ทันทีที่พวกเขาจบการต่อสู้นี้ ก็ถือว่าพวกเขาจะได้ระบายความโกรธกัน ทำไมเราไม่ลืมมันไปซะในตอนนี้เล่า?” บุรุษผู้มีความสุภาพ พูดไม่ถึงกับอ่อนน้อมและก็ไม่ได้คุกคาม เมื่อเขาเห็นฮุยไท่หลาง อสูรเงินระดับ 4 เขาไม่หน้าซีดเพราะประหลาดใจ ไม่เหมือนกับทหารรับจ้างโดยรอบ ดูเหมือนเขาเป็นคนพิเศษไม่ธรรมดา
“ลืมมันเหรอ? จะให้ลืมได้ยังไง? พวกเจ้าพอเห็นฮุยไท่หลางอยู่ที่นี่น่ะสิ พวกเจ้าถึงได้กลัว แน่นอนว่าเจ้าคงต้องการให้เราลืม ก็แค่ตอนนี้ แต่อีตอนที่ข้าโดนทุบตี ทำไมพวกเจ้าถึงไม่พูดว่า”ลืมมันซะ“บ้างล่ะ?” เจ้าอ้วนไห่โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง แต่ใบหน้าของเขาไม่มีรอยบาดเจ็บอะไรเลย มีแต่เฉพาะรอยเท้าอยู่ที่ก้นหลายรอย บางทีกลุ่มอื่นๆ เห็นว่าเขามีลักษณะที่ไร้ประโยชน์ก็เลยไม่ทุบตีเขามากนัก พวกเขาไม่ทุบตีใบหน้าของเขา แต่กลับเตะก้นแทน
“เย่คง! เจ้าอย่านึกนะว่า กะอีกแค่เพราะเจอคนเก่งเข้ามาหนุนหลัง แล้วเจ้าจะเปลี่ยนชะตาได้ เจ้ามันก็แค่เศษขยะชิ้นหนึ่ง เจ้ามันเป็นสวะ เมื่อก่อนเจ้ายังเป็นสวะ ต่อไปเจ้าก็ยังเป็นสวะ อนาคตเจ้าก็ยังเป็นสวะอยู่ดี คนไร้ประโยชน์อย่างเจ้าก็ย่อมไร้ประโยชน์อยู่วันยังค่ำนั่นแหละ” หนึ่งในพี่น้องฝาแฝดชี้มาที่เย่คงและตะคอกลั่น
“ข้าจะไม่เสียเวลาทะเลาะกับเจ้าอีกแล้ว เมื่อได้เวลาที่ตระกูลเราไหว้บรรพบุรุษ เราจะมาจบเรื่องกันต่อหน้าคนทั้งตระกูล ตอนนั้นค่อยมาดูกันว่าใครคือสวะผู้ไร้ประโยชน์ตัวจริง” เย่คงบ้วนน้ำลายปนเลือดที่เต็มปากทิ้งอย่างถือดี
“ใครกลัวพวกเจ้ากันเล่า? เมื่อถึงเวลา ถ้าเจ้าไม่กล้ามาจบเรื่องจบราวกัน เจ้าก็เป็นแค่เพียงไอ้ขี้ขลาด” พี่น้องฝาแฝดเช็ดเลือดกำเดาหันกลับไปหาฝั่งพวกตัวเองอย่างฮึกเหิม
“มันเรื่องอะไรกันหรือ?” เย่ว์หยางถามอย่างขุ่นเคืองแกมสงสัย เป็นไปได้ไหมว่าเย่คงผู้นี้ก็เป็นเหมือนกับสหายผู้น่าสงสาร? เป็นไปได้ไหมว่า ทั้งสองคนนั้นอยู่ในสถานการณ์ที่ครอบครัวขัดแย้งกันที่จะพาเหตุการณ์ไปสู่การเข่นฆ่ากันเองในครอบครัว?
“พวกเขาคือญาติผู้พี่ของข้า…” เย่คงเริ่มพูด แต่เขากลัวว่าเย่ว์หยางจะเข้าใจผิด ดังนั้นเขาจึงพูดต่ออีกประโยค “เราไม่ได้เกลียดชังกันและกัน, ก็แค่มีมุมมองบางอย่างที่ขัดแย้งกัน ซึ่งเราเป็นกันมาตั้งแต่เด็กแล้ว”
“อย่างนั้นทำไมพวกท่านทุกคนถึงเริ่มต่อสู้กันล่ะ?” เย่ว์ปิงถาม
“อะแฮ่ม! ช่วงวันปีใหม่ที่ผ่านมามีการขัดแย้งกันที่บ้าน และเมื่อเราพบกันที่นี่ พวกเขาสบถและด่าแช่งข้ามากจนข้าทนไม่ไหว ดังนั้นเราจึงเริ่มต่อยตีกัน นี่เป็นแค่ความขัดแย้งระหว่างข้ากับพวกเขาทั้งสองคน บิดาข้าและท่านลุงความจริงก็มีไมตรีที่ดีต่อกัน ดังนั้นเราเลยทะเลาะกันเล็กๆ น้อยๆ แต่ไม่ได้ใช้ความแข็งแกร่งที่แท้จริงเข้ามาสู้กัน” เย่คงละอายใจเล็กน้อยเมื่อตอบคำถามเย่ว์ปิง เย่ว์หยางเข้าใจสถานการณ์ขึ้นบ้าง เย่คงผู้นี้มีอสูรที่ทรงพลังถึง 2 ตัว คิงคองปีศาจและด้วงจอมพลัง แต่เขาก็ไม่ได้เรียกตัวใดออกมา นั่นก็เพราะหลักๆ ก็คือกลัวว่าจะพลั้งมือฆ่าญาติทั้งสองคน มิฉะนั้น ด้วยพลังต่อสู้ของคิงคองปีศาจและด้วงจอมพลัง เขาสามารถล้มกลุ่มของฝ่ายตรงข้ามได้โดยง่าย แน่นอนว่าคนที่ดูเป็นมิตรและดูค่อนข้างแข็งแกร่งเป็นข้อยกเว้น
“ใช้ความแข็งแกร่งที่แท้จริงสิ…แม้ว่าเจ้าจะใช้ความแข็งแกร่งที่แท้จริงได้ เจ้าก็ยังคงเป็นเศษสวะที่ไร้ประโยชน์ ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าข้ายอมอ่อนข้อให้ท่านลุง เจ้ายังจะมีชีวิตอยู่อีกเหรอ?” พี่น้องฝาแฝดหัวเราะอย่างเย็นชา
“ข้าจะกลับมาประลองกับพวกเจ้าทุกคนอีกครั้งในช่วงพิธีไหว้บรรพบุรุษของตระกูล ตอนนี้ข้าจะยังไม่สู้กับพวกเจ้า” ยามนี้เย่คงมีความเชื่อมั่นในตัวเองดีแล้ว
เพราะว่าเขามีคิงคองปีศาจ อสูรชั้นทองแดงและด้วงจอมพลัง เย่คงรู้สึกว่าเขาแทบจะแข็งแกร่งเท่าหรือแข็งแกร่งกว่าเมื่อครั้งก่อนที่สัตว์อสูรตัวก่อนของเขาจะถูกฆ่า ดังนั้นเขาไม่กลัวการเผชิญหน้ากับการท้าประลอง เขารู้สึกว่าการได้ติดตามเย่ว์หยางฝึกตัวและเพิ่มระดับนักสู้ ทำให้เขาก้าวหน้าเร็วกว่าเดิมที่เขาฝึกด้วยตัวเองถึง 10 เท่า เมื่อพิธีไหว้บรรพบุรุษของตระกูลมาถึง ความแข็งแกร่งของเขาอาจมีความก้าวหน้าไปไกล ตอนนั้นญาติทั้งสองของเขาจะไม่ใช่คู่มือที่มีฝีมือก้ำกึ่งกับเขาอีกต่อไป
ถ้าพวกเขายังคิดว่าเขายังเป็นเศษสวะที่ไร้ประโยชน์ที่ท้อแท้และนอนรอความตายที่หอทงเทียนเหมือนเดิมอย่างเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว พวกเขาจะได้ไม่เข้าใจผิดมากยิ่งขึ้นอีกต่อไป
“ทุกคนยังอายุเยาว์และใจเร็ว ทันทีที่พวกเขาเจ็บใจ ก็เป็นธรรมดาที่จะเริ่มต่อสู้กัน พอเรื่องที่เกิดขึ้นคลี่คลายได้แล้ว ทุกคนต่างก็มีเรื่องที่ตัวเองต้องทำ ทำไมเราทุกคนไม่แยกย้ายกันไปเล่า?” บุรุษที่ดูเป็นมิตรผายมือมาทางเย่ว์หยางเตรียมจะพากลุ่มของตนเองจากไป
“เดี๋ยวก่อน นี่หมายความว่าข้าก็แค่ต้องทนให้พวกเจ้าทุบตีทั้งที่ไม่มีอะไรหรือ? เจ้า, แม่สาวงามตรงนั้น ออกมาเดี๋ยวนี้เลย ข้าจะท้าประลองกับเจ้าเรียงตัว” วัตถุประสงค์ที่แท้จริงของเจ้าอ้วนไห่ไม่ใช่เพื่อต่อสู้กับนาง แต่เขาตั้งใจจะถือโอกาสแตะเนื้อต้องตัวเด็กสาวสวยมากกว่า
“หน้าด้าน! ผู้ใดต้องการสู้กับเจ้ากันเล่า” เด็กสาวร่างเล็กฝั่งตรงข้ามฉลาดและไม่ยอมหลงกลด้วย ปฏิเสธข้อเสนอ ทำหน้าตาที่น่ารักบึ้งตึงใส่
“ข้า, ต้าไห่ จะยอมต่อให้เจ้าก่อน 3 หมัด..” เมื่อเจ้าอ้วนใหญ่เห็นว่าเด็กสาวต้องการจะหลีกเลี่ยงการต่อสู้ เขาก็ยิ่งภูมิใจและทำตัวเองให้น่าสะพรึงกลัวยิ่งขึ้น
“เจ้าอ้วนลามก, ฝากไว้ก่อนเถอะ วันนี้มีหมาตัวโตอยู่ที่นี่ ดังนั้นข้าจะไม่ลดตัวไปสู้กับคนอย่างเจ้า เมื่อเจอกันครั้งต่อไปข้าจะถลกหนังเจ้าทั้งเป็น” เด็กสาวไม่กลัวเจ้าอ้วนไห่แม้แต่น้อย แต่นางกลัวฮุยไท่หลางอยู่บ้าง
“ต่อให้ไม่มีฮุยไท่หลาง ข้าก็ยังทรงพลังอยู่ดี ข้าเป็นลูกพี่ เข้าใจหรือเปล่า? ทุกคนที่อยู่ที่นี่เป็นลูกน้องที่ข้าดูแลอยู่ทั้งนั้น ระดับของฮุยไท่หลางสูงไปหน่อย แต่อสูรของท่านต้าไห่ผู้นี้ ก็ยังไม่ถึงกับอ่อนด้อยที่สุด ข้าแค่ทำตัวไม่ให้เป็นที่สังเกตก็เลยไม่โชว์มันออกมา อย่าให้ข้าต้องพูดนะว่าคนที่ทำตัวเหมือนไม่มีอะไรอย่างข้าก็เป็นผู้ทำสัญญากับคัมภีร์ด้วย และเข้าเป็นเจ้าของแรดเหล็ก อสูรทองแดงระดับ 2 รู้ไหม? เฮ้..พวกเจ้าทุกคนอย่าเพิ่งไปสิ ข้ายังพูดไม่จบเลย” ทันทีที่เจ้าอ้วนไห่อ้าปาก ทุกคนพากันแตกกระจายไปทั่วทิศทาง ไม่มีใครยินดีอยู่ฟังเขาพล่ามต่อไป เรื่องนี้ทำให้เขาหัวเสียมาก
เย่ว์หยางมองดูในที่ไกลออกไป มีขโมยสวมหน้ากากคนหนึ่งตัวสูงเพรียว เรียวขางามยืนอยู่ที่ในว่างคอยสังเกตอย่างเงียบๆ
ตอนแรก เย่ว์หยางคิดว่าคงเป็นอี้หนาน แต่เมื่อเขาพิเคราะห์ดูนางจริงๆ นางโจรผู้นี้สูงกว่าอี้หนานอย่างน้อยครึ่งศีรษะและยังค่อนข้างสูงอีกด้วย เมื่อเย่ว์หยางใช้ทักษะญาณทิพย์ตรวจสอบอย่างระมัดระวัง เขาถึงกับตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
นางโจรผู้นี้ นางเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในคนวัยนี้เท่าที่เขาเคยพบมา
(จากในเรื่อง คนที่สวมหน้ากากจะถูกเรียกว่าโจร หรือขโมยเสมอ เพราะไม่อาจสู้หน้าคนได้)
เย่ว์หยางคาดว่านางโจรผู้นี้ยังแข็งแกร่งกว่าเฟิงชิชา, หยานโพ่จุนและเสวี่ยทันหลาง 3 ดาวเพชรฆาตผู้ยิ่งใหญ่เสียอีก จากมุมมองเพื่อเปรียบเทียบ นางเหมือนองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนอีกคนหนึ่ง ฝีมือที่แท้จริงของนางอาจจะพอๆ กับองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน มือกระบี่วังหลวงก็ได้ องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนเด่นในเรื่องทักษะการต่อสู้ แต่ในกรณีนี้ยังไม่ชัดเจนสำหรับนางโจร นางแค่มีรูปร่างลักษณะเหมือนกับนางโจร แต่ภายใต้ทักษะญาณทิพย์ เขาสามารถเห็นได้ว่านางเป็นผู้อัญเชิญอสูรสายธาตุจำเพาะ ความสามารถที่แท้จริงของนางถูกปกปิดเอาไว้อย่างดีเลยทีเดียว
สิ่งที่แปลกที่สุดก็คือหนังสือโบราณในมือของนางโจรนั้น เย่ว์หยางตระหนักดีว่า มันคืออุปกรณ์ที่มีวิญญาณครอง มีชีวิตเหมือนกับดาบวิเศษฮุยจิน
พลังของอุปกรณ์นั้นและพลังวิญญาณถูกซ่อนเอาไว้ ถ้าพวกมันถูกปลดปล่อยออกมาทั้งหมด ทักษะของมันอาจจะพอๆ กับดาบฮุยจิน
นางโจรนี่เป็นใครกัน?
นางมีความแข็งแกร่งและความสามารถมากขนาดไหน?
เย่ว์หยาางประหลาดใจมากจริงๆ ถ้าโลกมีองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนอีกพระองค์หนึ่ง ก็เป็นเพียงเพราะจุนอู๋โหย่วฮ่องเต้พยายามเลี้ยงดูอบรมนางอย่างดี อย่างนั้นสำหรับแม่นางที่ปลอมตัวเป็นนางโจรผู้นี้ ได้รับการบำรุงเลี้ยงดูโดยราชตระกูลหรือเปล่า? ปราศจากอำนาจของตระกูล, ประเทศ หรือของนิกาย การจะฝึกอบรมผู้เยาว์คนหนึ่งให้เก่งได้ระดับนี้ โดยทางปฏิบัติแล้ว เป็นไปไม่ได้เลย 3 ดาวเพชรฆาตเป็นผลมาจากความพยายามบำรุงเลี้ยงดูทั้งหมดของตระกูลพวกเขา และองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนก็เป็นผลมาจากการฝึกอบรมของราชตระกูล ดังนั้นนางโจรผู้ไม่ปรากฏที่มานางนี้ที่ดูธรรมดายิ่งกว่าองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนบางทีอาจเป็นศิษย์ที่ได้รับการดูแลอย่างดีจากบางนิกายก็ได้..
“อะไรเหรอ?” เย่ว์ปิงมองตามเย่ว์หยางและคอยดูสังเกตนางโจรอย่างเงียบๆ นางส่ายศีรษะทันที “นั่นไม่ใช่พี่ (สาว) อี้หนาน เอ๊ย..ข้าหมายถึงว่าไม่ใช่พี่(ชาย)อี้หนาน”
“ไปกันเถอะ” เย่ว์หยางลูบศีรษะนางเบาๆ
เมื่อเย่ว์หยางและพวกเดินมาตามประตูด่านผ่านชายแดน จู่ๆ เงาแสงก็ผ่านวาบไป
เย่ว์หยางทำอะไรไม่ได้แต่หันศีรษะกลับไปดู จึงรู้ได้ว่านางโจรที่เดิมทียืนอยู่ตรงที่เดิม หายไปโดยไร้ร่องรอย
นี่ ความเร็ว เร็วเกินไปหน่อยไม่ใช่หรือ?
นางทำได้อย่างไร?
มันไม่ใช่ทั้งการเทเลพอร์ตหรือการหายตัว แล้วนางจากไปได้อย่างไร?
เป็นไปได้ไหมว่านางมาอยู่ที่นี่เพราะเขา? ความคิดของเย่ว์หยางยังคงหมุนวนเวียนอยู่ในหัว เร็วราวกับแสง บรรดาสี่นิกายใหญ่ นิกายไหนมุ่งเป้ามาที่เขากันแน่?
หลังจากพวกเขาข้ามพรมแดนและเช่ารถม้าโดยสารไปเมืองฉุ่ยหนิว ก่อนที่จะเข้าประตูเมือง เย่ว์หยางหันศีรษะกลับไปมองข้างหลังอย่างไม่ได้ตั้งใจ นางโจรยังตามมาเงียบๆ อยู่ห่างประมาณ 100 เมตร นางยังตามพวกเขามาได้อย่างไร เย่ว์หยางประหลาดใจมากขึ้น เขายังตรวจการกระทำของนางไม่พบ ความจริง แม่นางผู้นี้ดูไว้ตัวจริงๆ
เย่ว์หยางตื่นตัวขึ้นมาก ทันทีที่เข้าเมืองฉุ่ยหนิว เขายังไปต่อกับคณะของเขาตรงเข้าวงแหวนเทเลพอร์ตไปเมืองซันเหมา
ที่ภูเขาซันเหมา พวกเขาหาที่พักกินอาหารกลางวัน
เย่ว์ปิงใช้มือสะกิดข้อศอกเย่ว์หยาง “ดูตรงนั้นสิ นั่นพี่สาวจากเมื่อตอนนั้นไม่ใช่เหรอ? นางมาถึงที่นี่เร็วกว่าเราได้อย่างไร?
ที่ร้านอาหารของเหล่าจอมยุทธ์ชื่อ “โปรดมาอุดหนุนอีก” บนชั้น 2 ริมหน้าต่าง นางโจรนั่งเงียบๆ อยู่ตรงนั้น นางยังคงกุมมือตนเองมองดูพวกเขา ทำให้พวกเขาสนใจนางเต็มที่
เห็นได้ชัดว่า นางเดินทางมาถึงก่อนพวกเขา
เย่ว์หยางแอบผิดหวังแม่นางคนนี้ในใจ ไม่ว่านางจะต้องการสู้หรือรุกเขากลับ นางก็แค่มาคุยด้วย นี่ทำตัวลึกลับมากตลอดเวลา นางไม่รู้หรือว่าความสงสัยฆ่าคนได้? นางเป็นใครกันแน่? เขาไม่เคยยั่วโมโหนางมาก่อน ดังนั้น นางมีปัญหาอะไรถึงได้ตามเขาไปทุกที่?
หลังจากพวกเขาทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว เย่ว์หยางและคณะก็นั่งรถม้าเดินทางสู่หุบเขางูขนด
ตลอดเส้นทางเดินทางของเขา พวกเขาไม่เห็นนางโจรเลย
หัวใจเย่ว์หยางรู้สึกโหวงเหวงขึ้นมานิดหน่อยทันที และจินตนาการของเขาเริ่มจะเตลิด มีโอกาสที่แม่นางก่อนหน้านั้นอาจไม่ได้ติดตามเขามาจริงๆ ก็ได้ นางแค่ไปทางเดียวกับเขาโดยบังเอิญ สักประมาณครึ่งทางได้กระมัง?
โชคดีที่เขาไม่ได้ไปคาดคั้นเอาคำตอบจากนาง มิฉะนั้น คงเป็นเรื่องน่าขายหน้าอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาไปถึงหุบเขางูขนด นางโจรกำลังนั่งอยู่อย่างเงียบๆ บนก้อนหินและป้องมือมองดูพวกเขา ภายใต้แสงสนธยา นางดูเหมือนรูปสลักหินดูสงบ เย็น เวลานี้ไม่ใช่แค่เย่ว์ปิงแล้ว แม้แต่เย่คงก็สังเกตออกและขมวดคิ้ว เจ้าอ้วนไห่ไม่ได้สังเกตเรื่องนี้ตั้งแต่แรก และเมื่อเขาได้ยินว่ามีใครบางคนตามพวกเขามา เขาไม่สนใจ แต่เมื่อเขาเห็นว่าเป็นสาวสวย เขาเริ่มถูหมัดทันที “พวกเจ้าแค่รอก่อน รอให้ข้าจับนาง ทันทีที่ข้าจับนางได้แล้ว เราจะสอบสวนนางอย่างระมัดระวัง”
“นางแค่สะบัดนิ้วใส่ เนื้อหนัก 150 ก.ก.ของเจ้าก็กระเด็นได้ง่ายๆ ไปลองดูก็ได้ถ้าเจ้าไม่เชื่อข้า” เมื่อเย่คงได้ยินคำนี้ เขาก็แทบจะเป็นลม แม้ว่าเจ้าอ้วนไห่จะต้องการเอาเปรียบหญิงสาว เขาก็ยังจำเป็นต้องดูด้วยว่าใครกันที่เขาเข้าไปยุ่งด้วยก่อน
“นึกเสียว่า ข้าไม่ได้พูดอะไรก็แล้วแล้ว” เจ้าอ้วนไห่กลัวมากจนเหงื่อแตก
“พี่สาวคนนี้เป็นใครกัน?” เย่ว์ปิงสงสัยว่า ถ้านางรู้จักพวกเขา ทำไมนางถึงไม่มาทักทายพวกเขา? ถ้านางไม่รู้จักพวกเขา ทำไมนางถึงตามพวกเขามาเป็นระยะทางไกล? ถ้าพวกเขาแค่มาทางเดียวกัน มันจะไม่บังเอิญเกินไปหรือ?
************************