วันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0113
บทที่ 36 ผู้หยั่งรู้, มาเยือน (2)
* * *
หลังจากง้างคันธนู ฉันเพ่งสมาธิและมองไปรอบๆ
มีสัตว์ร้ายกระโดดข้ามกำแพงหมู่บ้านมาไหม?
ไม่มี เห็นแล้วค่อยโล่งใจ
หมายความว่าตอนนี้ แค่คอยป้องกันทางเข้าที่เต็มไปด้วยสิ่งกีดขวางก็พอ
ถ้ามีอะไรเพิ่มเติม ผู้สังเกตการณ์บนหอคอยคงรายงานความคืบหน้าได้ทันท่วงที
มองกลับไปด้านหลัง เถาวัลย์ที่ถูกฟันเลือดกระเซ็นส่งเสียงครวญครางพลางหนีลงใต้ดิน
เถาวัลย์คือพืชกินเนื้อที่ล่าเหยื่อโดยการตรวจจับฝีก้าวของสิ่งมีชีวิต
แม้ฉันจะรู้วิธีจัดการ แต่ปัญหาคือพืชดังกล่าวอาจแผ่รากเข้ามาในเขตหมู่บ้าน
“ท่านไม่ต้องห่วง! พวกเราประกอบพิธีกรรมเอลฟ์ไว้แล้ว มันเข้ามาในเขตแดนไม่ได้!”
นักบวชที่อ่านความคิดฉันออกตะโกนขึ้น
ฉันไม่แน่ใจว่าพิธีกรรมเอลฟ์คืออะไร แต่คำนึงจากท่าทีโอ้อวด จะลองเชื่อใจดูก็แล้วกัน
หลังจากประเมินเบื้องต้นเสร็จ ฉันปล่อยมือจากสายธนู
ฟุ่บ!
เนื่องจากส่วนหัวลูกศรมีน้ำหนักมาก จึงขาดความแม่นยำไปพอสมควร
แต่ก็ไม่เป็นปัญหา เพราะเป้าหมายมีแค่ยิงให้โดนสิ่งกีดขวาง
ลูกศรพุ่งชนกองซากปรักหักพัง
เพล้ง!
ขวดแก้วสามใบแตกพร้อมกัน สารประกอบผสมปนเปและพ่นควันประหลาด
สารประกอบเหล่านี้จะไม่ทำปฏิกิริยาหากอยู่แยกกัน
แต่เมื่อทั้งสามผสมผสาน โมเลกุลจะแตกตัวอย่างรวดเร็ว
“สารเคมีที่ป่าหลั่งออกมา เพื่อละลายศพเหยื่อและดูดซับเป็นสารอาหาร”
สารเหล่านี้ถูกสกัดด้วยขั้นตอนที่ซับซ้อนจนอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้
เศษไม้และฟางละลายกลายเป็นของเหลวเหนียว
จากนั้นก็ลุกลามละลายของแข็งโดยรอบ จนเกิดเป็นแอ่งน้ำเหนียวข้นที่ส่งกลิ่นไม่น่าอภิรมย์
“อึก…”
ลิลี่ก้าวถอยหลังด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว
“อุก… กลิ่น”
“กลิ่นไม่พึงประสงค์สามารถขับไล่สิ่งมีชีวิตได้ทุกชนิด ส่งผลให้สัตว์ร้ายไร้สติปัญญาไม่กล้าลงมือบุ่มบ่าม”
ความกลัวจากความไม่รู้จะสร้างผลกระทบทางใจได้ดีที่สุด
เมื่อควบคุมเหยื่อได้สมบูรณ์ หลังจากนั้นจะชักนำสถานการณ์ไปยังทิศทางใดก็ได้
สัตว์ป่าที่เหยียบลงบนของเหลวเหนียวข้นชะงักและลังเลทันที
นักบวชเอลฟ์ไม่พลาดโอกาส
“ทุกคนลุย!”
“โจมตี—!”
ชาวบ้านก้าวไปข้างหน้าโดยยังรักษาค่ายกลไว้ ปลายหอกเล็งไปทางศัตรู
ตอนนี้ไม่เหลือที่ว่างให้สัตว์ร้ายกระโดดข้ามแอ่งของเหลวเข้ามา ปลายหอกจ่อติดอยู่กับจุดสิ้นสุดของแอ่งน้ำ
“โฮกกกก!”
สัตว์ร้ายบางตัวที่ถูกด้านหลังผลักออกมา ล้วนถูกคมหอกเสียบตายคาที่
เมื่อความฮึกเหิมจบลง ระลอกการบุกก็ถึงคราวสิ้นสุด
ไม่สิ นั่นก็แค่ความคิดของฉัน
“ระลอกที่สองมาแล้ว!”
“ระลอกที่สอง?”
ชาวบ้านแสดงสีหน้าเหนื่อยหน่าย มีเพียงนักบวชยังคงสุขุม
“หยุดมันไว้! ต้านมันให้อยู่!”
“ยกปลายหอกขึ้น! มีสมาธิหน่อยเจ้าพวกบ้า!”
ฉันเองก็ตั้งท่าถือมีด ในใจอยากแหวกกลุ่มชาวบ้านออกไปจัดการ แต่การทำแบบนั้นจะส่งผลให้ค่ายกลแตก
นักบวชฉวยโอกาสวิ่งมาหาฉัน
“ท่านคนบ้า! ข้าเชื่อในวิวรณ์! จะรีบรายงานสถานการณ์เดี๋ยวนี้… หมู่บ้านของเรากำลังถูกจู่โจมโดยสิ่งมีชีวิตในป่าใกล้เคียง และต้นตอของปัญหาก็คือ…”
“สปริกแกน”
นักบวชชะงักคำพูด
ฉันพูดต่อพลางขยายประสาทสัมผัสออกไป
“ภูตชีวิต สปริกแกนเกิดคลุ้มคลั่งอย่างไร้เหตุผลสินะ”
“ใช่ขอรับ”
“เมื่อคลุ้มคลั่ง สปริกแกนมีนิสัยชอบโจมตีสิ่งมีชีวิตทรงปัญญา”
“…”
“หรือที่พวกนายเรียกว่าลูกหลานของเทพนั่นแหละ เหตุผลไม่ซับซ้อน สิ่งมีชีวิตทรงปัญญาจะควบคุมไม่ได้ สปริกแกนจึงมองว่าเป็นศัตรู”
กริ๊ก!
อัญมณีสีน้ำเงินเข้มถูกดึงออกจากเข็มชี้ทองคำและเปลี่ยนเป็นแหวน
ชายหนุ่มนำมาสวมนิ้วเหมือนทุกครั้ง
“เพราะมันควบคุมพวกนายไม่ได้ ก็เลยมองว่าเป็นศัตรู”
“ท่านทราบได้ยังไง? มนุษย์… เอ่อ.. ต้องขออภัยด้วย! ขอโทษที่บังอาจสงสัยท่านคนบ้า!”
สวมแหวนเสร็จ ฉันยังคงมองตรงไปข้างหน้า
เวลาเดียวกัน เสียงประหลาดดังขึ้น
ฟังดูเหมือนเสียงของปีก
สมาธิของฉันจดจ่ออยู่กับเสียงคำรามและฝีก้าวของสัตว์ร้าย
ท่ามกลางเสียงเหล่านั้น เสียงกระพือปีกเริ่มดังชัดเจน
และแล้ว พระเอกก็ปรากฏตัว
“ชี๊—!”
สัตว์ร้ายตัวใหญ่ที่เหมือนลูกผสมกระรอกกับไฮยีน่า โดยรวมดูคล้ายนกมีเกล็ด บินข้ามแอ่งของเหลวเข้ามาด้วยความเร็วสูง เพียงไม่นานก็เข้าใกล้กลุ่มชาวบ้าน
วินาทีดังกล่าว ลิลี่จับมีดกลับด้านพร้อมกับพุ่งตัวไปข้างหน้าด้วยความคล่องแคล่ว ไม่คิดจะแยแสหมวกของตนที่ตกลงพื้น
และ
“หือ…!”
ชาวบ้านที่ยืนถือหอกต่างพากันฉงน
ไม่ได้ตกใจเพราะกระรอกบิน สัตว์เลื้อยคลาน หรือสัตว์ประหลาด แต่เพราะลิลี่กำลังย่ำเท้าไปตามปลายหอกด้วยร่างกายเบาหวิว
ไม่มีทางที่คมหอกจะไม่สะทกสะท้านกับน้ำหนักตัวลิลี่ แต่ย่างก้าวอันนุ่มนวลทำให้ปลายหอกถูกกดลงมาเพียงเล็กน้อย
ส่งผลให้ลิลี่กำลังพุ่งตัวไปในระนาบเดียวกับกระรอกบิน
ฉัวะ—!
ปีกของสัตว์ร้ายฉีกขาดเป็นแนวยาวจากการจู่โจมที่ดูไม่เหมือนการจู่โจม แต่คล้ายกับกายกรรมมากกว่า ร่างของอสุรกายเสียสมดุลจนร่วงหล่นกระแทกพื้น
ฉึก!
ฉันปักมีดลงไปเพื่อตัดหลอดเลือดแดง
สัตว์ร้ายที่มีหัว จะมีหลอดเลือดแดงอยู่ตรงด้านหน้าลำคอเสมอ
“ไม่สิ ไม่เสมอไป”
ที่นี่คือต่างโลก ยากที่จะด่วนสรุป
“โฮ่…”
ใครบางคนส่งเสียงอุทานจากด้านหลัง
ดูคล้ายชาวโลก เพศชาย ผมยาวมัดหางม้า
หน้าตายังดูเด็กมาก ฮาวนด์รึเปล่านะ?
หลังจากชำเลืองเล็กน้อย ฉันหันกลับมามองตรง
สิ่งกีดขวางถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง ระลอกการบุกของสัตว์ป่ายังคงสร้างความเสียหายแก่หมู่บ้าน
คราวนี้ฉันสัมผัสถึงแรงสะเทือนจากใต้ดิน
ตุ่นอีกแล้ว? จะบ้าตาย
ทันใดนั้น ฉันได้ยินเสียงอันน่าทึ่ง
“ทัลเลธบันTallethban”
เถาวัลย์ที่กำลังผงาดหัวขึ้นจากดินชะงักไปทันที
จากนั้น ฉันหันไปเห็นใบหน้าที่ไม่รู้จัก
“ถ้าระบุตำแหน่งของภูตชีวิตที่ก่อเรื่องไม่ได้ สถานการณ์มีแต่จะยิ่งแย่ลง!”
เด็กหนุ่มผู้ไม่ใช่ทั้งเอลฟ์และคนแคระ
ไม่สิ การที่สวมชุดคลุมสีดำ ย่อมต้องไม่ใช่คนของหมู่บ้านนี้อยู่แล้ว
ดวงตาที่มีวงกลมสีดำคล้ำ มองมาทางฉันด้วยท่าทีกระอักกระอ่วน
จากนั้นก็เดินกะเผลกเข้ามาใกล้
“เจ้าคือผู้หยั่งรู้ที่ชาวบ้านกล่าวถึง?”
ฉันพยักหน้าให้กับคำถามของเด็กหนุ่มชุดคลุมดำ
“ถึงจะไม่รู้ว่าผู้หยั่งรู้คืออะไร แต่ก็ขอบคุณที่มาทันเวลา”
“นายเป็นใคร”
“นักค้นคว้าภาคสนามที่ถูกส่งมาจากชายแดนทิศใต้”
“จอมเวท?”
อีกฝ่ายพยักหน้ารับ
แต่ภาษารูนที่ใช้นั้นไม่ธรรมดาเลย
“ข้าถูกส่งมาเพื่อเตือนภัยเกี่ยวกับสถานการณ์ผิดปกติของทิศใต้ แต่ดูเหมือนจะสายเกินไป”
ดวงตาจอมเวทเผยความรู้สึกผิด
“ปัญหานี้เกิดจากสปริกแกนใกล้ๆ กำลังคลุ้มคลั่ง ไม่ใช่วิกฤติที่จะแก้ได้ ควรละทิ้งหมู่บ้านและคิดเรื่องการอพยพจะดีกว่า”
จากนั้นก็มองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าลำบากใจ
“ถ้าเจ้าคือผู้หยั่งรู้ ได้โปรดโน้มน้าวชาวบ้านด้วย พวกเขาไม่ฟังข้าเลย”
“เอลฟ์จะไม่ละทิ้งบ้านเกิด! เจ้าเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม!”
นึกแล้วว่าต้องพูดแบบนี้
แล้วเราควรทำยังไงต่อ?
“…ฉันไม่คิดจะออกคำสั่งแบบนั้น”
จอมเวทแสดงท่าทีลำบากใจ
หากมองจากมุมนี้ ถ้าเพ่งดีๆ จะเห็นว่าเขาเหมือนศพมาก
* * *
จอห์นนี่ จอมเวทผู้ศึกษาเกี่ยวกับความตายอย่างจริงจังซึ่งประจำการอยู่ชายแดนทิศใต้ รู้สึกประหนึ่งสมองหยุดทำงานไปชั่วขณะ
บุคคลตรงหน้าเป็นมนุษย์อย่างไม่ต้องสงสัย ค่อนข้างน่าประหลาดใจที่ชาวบ้านเรียกขานมนุษย์ว่าผู้หยั่งรู้
มนุษย์คือเผ่าพันธุ์ที่พบเห็นได้ยากทางภาคใต้ของจักรวรรดิ
แต่การพบเห็นได้ยากมิได้หมายถึงความยิ่งใหญ่ มนุษย์คือเผ่าที่ปราศจากความรุ่งโรจน์ หรืออย่างน้อยก็จนถึงปัจจุบัน
จอห์นนี่ค่อนข้างผิดหวัง แต่นักค้นคว้าจะไม่ตัดสินทุกสิ่งจากตาเห็น
เขาจึงระมัดระวังคำพูดอย่างมาก กล่าวเฉพาะสิ่งจำเป็น
“เอ่อ… สถานการณ์ค่อนข้างเร่งด่วน ข้าจะเข้าเรื่องเลยก็แล้วกัน พวกเราไม่มีทางระบุตำแหน่งของสปริกแกนตัวนี้ได้”
“ไม่มีทาง?”
“ใช่ ใต้ดินเต็มไปด้วยพลังธรรมชาติ สปริกแกนสามารถอยู่ได้ทุกที่ อีกฝ่ายลงมือโดยไม่ต้องโผล่ขึ้นมาบนพื้นดินด้วยซ้ำ”
ฟังกันอยู่รึเปล่านะ?
มนุษย์เพศชายเอาแต่มองไปทางสัตว์ร้ายที่บุกเข้ามาจากประตูหน้า
“ขอบเขตการลงมือกว้างเกินไป โดยเฉพาะภูมิประเทศแอ่งน้ำแบบนี้ ต่อให้ระบุพิกัดได้แม่นยำ แต่ก็คงไม่มีทาง…”
“ทัลเลธบัน Tallethban”
จอห์นนี่หยุดหายใจไปชั่วขณะ
มนุษย์ชายตรงหน้าเหยียดแขนออกไปพร้อมกับเปล่งภาษารูน
ลำพังมนุษย์ใช้รูนได้ก็น่าทึ่งมากแล้ว แต่จอห์นนี่กำลังตกตะลึงยิ่งกว่านั้น
รูนที่เริ่มด้วยคำว่า ‘ทัล’ ซึ่งแปลว่าความมืด จะใช้แค่ในสำนักจอมเวทที่ศึกษาเกี่ยวกับความตาย
“…ข้าไม่ได้หูฝาดใช่ไหม”
มนุษย์คนนี้ไม่มีทางรู้จักรูนตระกูล ‘ทัล’ แน่นอน เพราะดูแล้วไม่ได้มีพื้นเพจากทางใต้
ดังนั้นจึงเหลือเพียงสมมติฐานเดียว
อีกฝ่ายฟังและเลียนแบบรูนของตน
รูนที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและความตาย เป็นภาษาพิเศษที่แม้กระทั่งจอมเวททั่วไปก็ใช้งานไม่ได้
จอห์นนี่เผยความสับสน
เขาไม่รู้ว่าตนควรเริ่มไตร่ตรองจากตรงไหน
แต่ไม่นานก็ตระหนักว่าไม่ใช่เวลามัวถกเถียงเรื่องนี้ เพราะการต่อสู้อันสิ้นหวังตรงหน้าสำคัญกว่ามาก
ทันใดนั้น
“กรร—!”
เสียงพยัคฆ์คำรามดังกึกก้อง ดึงดูดสายตาทุกคู่ในทันที
“เสียงอะไร?”
“ข้างหลัง?”
“ข้างหลังโดนบุก…?”
เวลาเดียวกัน สัตว์ร่างยักษ์กระโดดผ่านรั้วด้านหลังเข้ามาอย่างง่ายดาย
“กรร—!”
ม้าสีดำ
ม้าสีดำดวงตาสีแดง กีบเท้าและแผงขนมีไฟลุก
ตะกุยเท้าด้วยความเร็วดุจดังสายลมจนกระทั่งหยุดลงข้างมนุษย์เพศชาย
เมื่อมาถึงก็คำรามอีกครั้งด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ
ประหนึ่งกำลังพูดว่า ตนทำภารกิจลุล่วงและกลับมาหาแล้ว
ถึงตรงนี้ ในหัวจอห์นนี่มีเพียงคำถามเดียว
นี่มันเรื่องบ้าอะไรอีก?
ท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่เข้าใจอะไรเลย จอห์นนี่เลิกคิดให้ปวดสมอง
เพียงยอมรับชะตากรรมตรงหน้าและปรับตัวตามให้ทัน สมองจอห์นนี่ไม่เหลือที่ว่างสำหรับกลั่นกรองความรู้ใหม่
แต่ทันใดนั้น จอห์นนี่รีบเพ่งสมาธิ
จอมเวทมักมีประสาทสัมผัสอันยอดเยี่ยมเสมอ จึงตระหนักถึงอันตรายได้ก่อนใคร
ผืนดินกำลังสั่นสะเทือน
‘ชีวิต’ กำลังแล่นผ่านใต้ดินด้วยความเร็วสูงมาก
ชีวิตขนาดมหึมาที่มีอัตตาแรงกล้า
และ
วาบ!
แสงสว่างเจิดจ้าปรากฏขึ้นตรงหน้ามนุษย์
จอห์นนี่เข้าใจผิดไปครู่หนึ่ง คิดว่าเป็นเบรธที่มังกรยิงลงมา
แต่เมื่อเพ่งสายตาให้ดี เขาพบว่าแสงสว่างเกิดจากการรวมตัวของหิ่งห้อยสีเขียวหลายพันตัว
พวกมันกระจายออกไปและก่อตัวเป็นเสือขนาดมหึมา
เสือที่ส่องแสงสีเขียวอ่อนร่อนลงตรงหน้ามนุษย์ ก้มศีรษะต่ำโดยในปากกำลังคาบบางสิ่งส่องแสง
ราวกับสัตว์ร้ายกำลังถวายเหยื่อให้ผู้ที่เหนือกว่า
「กิ…กี๊ซ—!」
“นี่มัน…”
จอห์นนี่พยายามทำความเข้าใจสิ่งที่เห็น
ภาพของสัตว์ร้ายร่างยักษ์ ที่เกิดจากการรวมตัวของหิ่งห้อยสีเขียวหลายพัน
ปากของมันกำลังคาบสัตว์ประหลาดที่เกิดจากการรวมตัวของหิ่งห้อยสีแดงนับพัน
สัตว์ประหลาดส่งเสียงกรีดร้องพลางดีดดิ้นประหนึ่งสไลม์ไร้รูปร่าง แต่จนแล้วจนรอดก็สลัดไม่หลุดจากปากเสือ
หนึ่งเขียว หนึ่งแดง
ทั้งสองคือภูตชีวิต
ภูตชีวิตที่อยู่ในร่างเสือเปล่งเสียง
「นายท่านเชิญรับสั่ง」
สปริกแกนสีแดงพูดพลางดิ้นรน
「ปล่อยข้า! ข้าจะมีชีวิตรอด! ข้าอยากอยู่ในที่ที่สบาย…」
วินาทีนั้น สปริกแกนสีแดงดิ้นหลุดจากปากเสือ
「ข้าแค่อยากอยู่ในที่แบบนั้น!」
มันกระโจนใส่มนุษย์ ส่งเสียงอื้ออึงประหนึ่งผึ้งพันตัว ลำพังบรรยากาศก็ชวนให้แข้งขาอ่อนแรง
ทว่า สัตว์ร้ายสีแดงกลับชะงักแน่นิ่งโดยมิได้สัมผัสร่างกายมนุษย์
มนุษย์เป็นฝ่ายเอื้อมมือออกไปหา
ดวงตามนุษย์มองเข้าไปในภูตชีวิตที่กำลังคลุ้มคลั่ง
รอยสักรูปเขี้ยวสัตว์สีแดงบนหลังมือมนุษย์ส่องแสง
เพื่อควบคุมชีวิต เท่านี้ก็เพียงพอ
* * *
สำนักเวทมนตร์ที่เกี่ยวกับความตายมักมีตำแหน่งสำคัญในจักรวรรดิ
เพราะกล่าวกันว่า นี่คือศาสตร์เดียวที่สามารถยับยั้งปีศาจ
ทว่า แม้แต่จอมเวทความตายเองก็ตระหนักดี ว่าพวกตนไม่มีพลังนั้น
เป็นที่ทราบกันว่า มีเพียงบุคคลเดียวในโลกที่สามารถใช้งานเวทมนตร์ในตำนาน — เวทสื่อวิญญาณคนตาย
สมัยยุคทอง ชายคนหนึ่งเกิดมาในร่างมนุษย์
เขาเอาชนะอุปสรรคทุกรูปแบบจนกระทั่งก้าวข้ามขีดจำกัด และในที่สุดก็ไขปริศนาเวทสื่อวิญญาณสำเร็จ
กล่าวกันว่าแม้จะเป็นมนุษย์ แต่เขาเข้าใจและสามารถใช้รูน ‘ทัล’
กล่าวกันว่า เขาดำรงอยู่มาเป็นเวลานานเหลือคณานับ
ตัวตนในตำนานจากยุคทอง
เหล่าสำนักเวทมนตร์เรียกขานกันว่า
เอล·เดอร์·ลิช
EL DE LICH
______________________
ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร พุธ เสาร์ และอาทิตย์ (2/4)
ติดตามผลงานของผู้แปล และนิยายทุกตอนได้ที่เพจเฟสบุค:
https://www.facebook.com/bjknovel/
หรือพิมพ์ค้นหา: bjknovel