ตอนที่ 6-16 เหลือทน
ในขณะที่เมอร์ริทปิดประตูห้องหนังสือนั้นเขาย่อมได้ยินคำที่อลิซกล่าวจึงอดไม่ได้ที่จะหันกลับมายิ้มให้นาง “อลิซพวกเรากำลังจะหารือเกี่ยวกับปัญหาภายในของตระกูลเด็บส์ จึงไม่อาจทำได้อย่างเปิดเผยนักเจ้าว่าเช่นนั้นไหม หากองค์ราชาทราบเรื่องเข้า ข้าย่อมพบกับปัญหาร้ายแรงเป็นแน่เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่านี่ข้ากำลังเสี่ยงอย่างมากในการช่วยเหลือตระกูลเด็บส์ในครั้งนี้น่าจะเป็นการดีหากเราปิดประตูนี้ไว้”
อลิซนิ่งอึ้ง
ในเรื่องฝีปากวาจาแล้ว อลิซไหนเลยจะสามารถสู้กับใต้เท้าเมอร์ริทผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเจ้าแห่งการวางอุบายมาอย่างยาวนาน
เขาเดินผ่านนางไปด้วยรอยยิ้ม ด้านหน้าชั้นหนังสือปรากฏเก้าอี้ 2ตัวตั้งอยู่รอบโต๊ะกลม ดูเหมือนเมอร์ริทจะใช้ที่ตรงนี้ในการสนทนากับเพื่อนของเขาอยู่บ่อยครั้ง
เขานั่งลงก่อน จ้องมองมายังอลิซ “อลิซ เจ้านั่งลงเถิด”
“ขอบคุณ ใต้เท้าเมอร์ริท” อลิซนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ตรงกันข้ามกับใต้เท้าเมอร์ริทพร้อมกับลอบถอนหายใจอย่างแผ่วเบาด้วยความโล่งใจที่นางกังวลที่สุดเห็นจะเป็นเตียงหลักที่ตั้งอยู่ในห้องนี้
“เจ้ารอสักครู่”
ใต้เท้าเมอร์ริทคลี่ยิ้ม ก้าวไปหยิบขวดไวน์แดงและแก้วไวน์ 2 ใบ เทให้ตัวเอง 1แก้ว และให้อลิซอีกแก้ว
“นี่คือไวน์หยาดพิรุณครามจากอาณาจักรยูลาน ใช้เวลาบ่มหมักมากว่า 60 ปีแล้วรสชาตินับว่าไม่เลวเลยทีเดียว เจ้าลองลิ้มรสดูสิ”เขายิ้มบอกกล่าวขณะยื่นแก้วไวน์ให้
อลิซแม้จะหวาดเกรงว่านี่อาจเป็นเล่ห์อุบายของใต้เท้าเมอร์ริทภายในอาจมียานอนหลับผสม แต่ด้วยการจ้องมองมาของชายตรงหน้า นางก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยกแก้วไวน์ขึ้นจิบเช่นกันเพียงแต่ว่าริมฝีปากนางแทบไม่ได้แตะลงแก้วไวน์ด้วยซ้ำ
เมอร์ริทแม้รับรู้แต่ก็มิได้กล่าวสิ่งใดต่อ เขาเปลี่ยนหัวข้อเรื่องสนทนา “อลิซเจ้ากับคาลันเข้าพิธีหมั้นหมายกันแล้วข้าคิดว่าเจ้าจะรู้เรื่องกิจการภายในของตระกูลเด็บส์มากกว่านี้เสียอีกเจ้ารู้เรื่องการลักลอบขนหยกวารีหนีภาษีบ้างหรือไม่”
“ไม่ ข้าไม่คิดว่าคาลันจะทำเรื่องนี้แน่” อลิซรีบกล่าวตอบ “ใต้เท้าเมอร์ริทตระกูลเด็บส์เองก็เป็นตระกูลใหญ่ มีชื่อเสียงกว้างขวางข้าไม่คิดว่าพวกเขาจะเป็นผู้ก่อเหตุลักลอบขนหยกวารีหนีภาษี”
ด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนรอยยิ้ม เมอร์ริทมองมายังอลิซแล้วกล่าว“นั่นก็ไม่แน่เสมอไป”
“อา!”
ใต้เท้าเมอร์ริทราวกับได้เห็นบางอย่าง ทันใดนั้นเองเขาขยับเข้าไปใกล้อลิซใกล้มากจนกระทั่งใบหน้าของเขาและนางห่างกันเพียงไม่กี่เซนติเมตร
อลิซถอยห่างอย่างตื่นตระหนก
“อย่าขยับ!” เมอร์ริทบอกเสียงดังด้วยน้ำเสียงออกคำสั่ง
จากการเป็นผู้มีอำนาจออกคำสั่งมาเป็นเวลาหลายปี วาจาอันดุดันของเมอร์ริททำให้อลิซตัวแข็งเกร็งไม่กล้าขยับตัวแม้แต่กระดิกนิ้ว เขาค่อย ๆ พินิจดูเส้นผมนุ่มสลวยของนางจากนั้นมองต่ำลงมายังใบหน้า
ด้วยการก้มหน้าลงนี้เองทำให้ใบหน้าเขาห่างจากนางไม่กี่เซนติเมตรนี่ทำให้อลิซต้องผินหน้าหลบทันที
เห็นดังนี้ เมอร์ริทก็หัวเราะ จากนั้นก็กลับไปยังที่นั่งของเขาเขาถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “เมื่อครู่นี้ ข้าคิดว่าเห็นผมขาวเส้นหนึ่งบนศีรษะเจ้าแต่หลังจากที่เจ้าขยับ ข้าก็ไม่เห็นมันอีกต่อไปแล้ว”
ผมขาวเส้นหนึ่งอย่างนั้นหรือ?
ในใจอลิซอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขุ่นเคือง ตอนนี้นางอาศัยอยู่ด้วยกันกับโรวลิ่งแล้วและในทุก ๆ เช้าเมื่อพวกนางเกิดความเบื่อหน่าย พวกนางจะหวีสางผมให้กันและกัน นางมักจะพบผมขาวของโรวลิ่งอยู่เสมอแต่กลับกันโรวลิ่งมักจะแสดงความอิจฉาแก่นางเนื่องจากโรวลิ่งไม่เคยพบผมขาวบนศีรษะของอลิซเลย
ขนาดผู้ที่หวีผมของนางทุกวันยังไม่อาจพบเส้นผมขาวบนศีรษะนางได้ แล้วเมอร์ริทจะสามารถพบได้อย่างไร?
แต่นางก็ไม่กล้าจะกล่าวเช่นนั้น
“อลิซ เจ้าเองยังเยาว์วัยนัก อย่าได้หงุดหงิดกับเรื่องต่าง ๆ มากเกินไปมิเช่นนั้นเจ้าจะแก่เร็ว และยังอาจมีผมขาวได้” เขากล่าว
อลิซเพียงแค่เงียบฟังในสิ่งเขากล่าวเท่านั้น
เขาดันเก้าอี้ให้หันตรงกับของอลิซ จากนั่นจ้องมองมานิ่ง “อลิซเจ้างดงามมากรู้หรือไม่ เสน่ห์และความงดงามของเจ้าช่างจับใจข้าเหลือเกิน”
อลิซอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเขินอายและประหม่า
เขาโน้มตัวมาด้านหน้า จ้องมองนางอย่างไม่อาจละสายตา “อลิซเหล่าภรรยาของข้าต่างสนใจก็เพียงแค่สิ่งของนอกกายอย่างเงินทองและชื่อเสียงพวกนางต่างหยาบช้าและต่ำต้อย แต่เจ้านั้นต่างออกไป เพียงครั้งแรกที่ข้าพบกับเจ้าข้าก็ได้แต่ตะลึงงัน”
“ข้าได้แต่นึกเสียใจภายหลังที่ได้แต่งงานกับหญิงหยาบช้าเหล่านั้น” ทันใดนั้นเมอร์ริทเอื้อมมือมากอบกุมมือบอบบางของอลิซตาของนางเบิกกว้าง เมอร์ริทมองมาอลิซแล้วกล่าว“อลิซ หากว่า...หากข้าบอกเจ้าว่าข้าตกหลุมรักเจ้าจากก้นบึ้งของหัวใจหัวใจของข้าล้วนมอบให้กับเจ้า เจ้าจะเชื่อข้าหรือไม่”
อลิซรีบผุดลุกขึ้น แต่เมอร์ริทกอบกุมมือนางไว้อย่างแน่นหนา
“ใต้เท้าเมอร์ริท ข้านั้นเป็นคู่หมั้นของคาลัน!” อลิซครวญและด้วยความพยายามครั้งที่ 3 นางก็สามารถสะบัดมือให้หลุดจากการเกาะกุมของเมอร์ริทได้
เขามองมาที่นางพลางยิ้ม “ดังที่เจ้าว่า เจ้าเป็นเพียงคู่หมั้นเท่านั้นนั่นแปลว่าเจ้ายังมิได้แต่งงาน ย่อมสามารถแต่งแก่ผู้อื่นได้ สำหรับคาลันเจ้าหนูแบบนั้นจะไปรู้อะไรเรื่องการหาความสำราญ”
ขณะที่เขาพูด เขาก็ขยับเข้าใกล้อลิซมากขึ้นขณะที่อลิซเองก็ถดถอยหลังมากขึ้นเรื่อย ๆ
แต่ด้วยความตระหนกของนางจึงไม่อาจสังเกตได้ว่า เมอร์ริทกำลังกดดันให้นางก้าวถอยไปยังทิศทางที่เตียงตั้งอยู่
“อลิซ ข้าหลงรักเจ้าจากใจจริง ข้าขอสาบาน!” เมอร์ริทจ้องมองอลิซด้วยความเสน่หา
เมอร์ริทมิได้กล่าวคำลวงใด ๆ ทั้งสิ้น ภายหลังจากชื่นชมรูปสลัก‘ตื่นขึ้นจากฝัน’ และได้พบกับอลิซเป็นครั้งแรก เขาก็ตกหลุมรักนางจริง ๆ แต่ในคำ‘ตกหลุมรัก’ ที่เขาว่า นั้นหมายถึง ปรารถนาที่จะครอบครอง
“ใต้เท้าเมอร์ริท!” อลิซตื่นตระหนกจนไม่อาจนิ่งเฉยได้แล้ว
ทันใด ต้นขาด้านหลังของอลิซก็ชนเข้ากับขอบเตียง จนนางเสียหลักล้มหงายหลังลงบนฟูกหนานุ่ม
ใบหน้าของเมอร์ริทผุดรอยยิ้มขึ้น เขาขึ้นคร่อมบนร่างของอลิซทันทีลงน้ำหนักกดทับบนร่างของนาง “อลิซ แม่เทพธิดาของข้า ได้โปรดตอบรับความปรารถนาที่ข้าคนนี้มีต่อเจ้าด้วยเถิดหากเจ้าทำให้ข้าพึงพอใจได้ ข้าย่อมตอบแทนด้วยการขจัดปัญหาของตระกูลเด็บส์ให้หมดไป”
ขจัดปัญหาของตระกูลเด็บส์ให้หมดไป?
จ้องมองเมอร์ริทผู้ซึ่งกำลังทาบทับร่างของนางอยู่ด้านบนอลิซไม่อาจไม่ย้อนนึกถึงคืนที่นางและลินลี่ย์ใช้ร่วมกันในโรงแรมเล็ก ๆ นั้นได้ทั้งสองต่างตกอยู่ในห้วงอารมณ์ปรารถนาอย่างล้ำลึก แต่ในท้ายที่สุด นางก็หยุดลินลี่ย์ไว้ได้
เช่นนั้นแล้วนางจะยินยอมให้ความบริสุทธิ์ของนางตกเป็นของชายตรงหน้าได้อย่างไร
“แม่เทพธิดา เป็นของข้าเถิด” เมอร์ริทกล่าวชักนำด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มอย่างอ่อนโยนพยายามกล่อมให้อลิซโอนอ่อนต่อตัวเขา
“ไม่ ไม่!”
ทันใดนั้นเอง อลิซดึงกริชออกมาจากบริเวณเอวของนางและจ้วงแทงไปยังใต้เท้าเมอร์ริทขณะเดียวกัน หินหลายก้อนจากพื้นพุ่งเข้าใส่เมอร์ริทอย่างรวดเร็ว
อย่างไรเสีย อลิซก็ยังเป็นจอมเวทธาตุดิน!
แต่ตัวของเมอร์ริทเองเป็นถึงนักรบขั้นสูงปฏิกิริยาตอบสนองของเขาเป็นไปอย่างรวดเร็ว เขารีบเคลื่อนกายหลบไปอีกทางขณะเดียวกันก็ตวัดมือลงไปยังผลให้กริชของอลิซต้องหลุดมือ
อลิซรีบหลบไปอีกทาง มุ่งหน้าวิ่งตรงไปยังประตูห้อง
แต่แล้วด้วยความว่องไวของร่างกาย เมอร์ริทพาร่างเขาไปยืนคั่นระหว่างนางและประตูด้วยรอยยิ้มที่ดูอย่างไรก็ไม่อาจนับเป็นรอยยิ้มได้ “อลิซ จนป่านนี้เจ้ายังจะขัดขืนอีกหรือ ด้วยฝีมือของเจ้าในฐานะจอมเวท และมีดเล่มน้อยนั้น เจ้ายังคงต้องการจะแข็งขืนต่อข้างั้นหรือ?”
“ใต้เท้าเมอร์ริท ให้ข้าออกไปเถิด” อลิซยังคงยืนยัน
“เจ้าไม่ปรารถนาจะช่วยเหล่าตระกูลเด็บส์แล้ว? ไม่ปรารถนาจะช่วยคาลัน คู่หมั้นของเจ้าแล้วอย่างนั้นหรือ?” เมอร์ริทถาม
ดวงตาของอลิซแสดงถึงความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว กัดฟันโต้กลับ“แม้ข้าปรารถนาจะช่วยตระกูลเด็บส์เพียงใด แต่นี่หาใช่วิธีที่ถูกต้องเหมาะสมเจ้ามันอสูรร้าย!”
“อสูรร้าย?” สีหน้าของเมอร์ริทเปลี่ยนไปเขากล่าวอย่างเย็นชา “แท้จริงแล้วข้าต้องการให้เรื่องราวเป็นไปอย่างโรแมนติกแต่ในเมื่อเจ้าปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือเช่นนั่นข้าจะแสดงให้ดูว่าอสูรร้ายแท้จริงแล้วเป็นเช่นไร”
ใบหน้าของอลิซซีดเผือด
“ใต้เท้าเมอร์ริท อย่าเข้ามานะ” อลิซแม้จะหวาดกลัว นางหันไปคว้าเก้าอี้ด้านข้างโยนทุ่มไปยังเมอร์ริท
เพียงแค่กำปั้นเดียว เขาก็สามารถทำลายเก้าอี้ตัวนั้นลงได้
“อย่าได้ขัดขืนอีกเลย ที่แห่งนี้...คือคฤหาสน์ส่วนตัวของข้า” เมอร์ริทหัวเราะอย่างสบายใจ
เมอร์ริทก้าวเท้าเข้าหานางอย่างย่ามใจ ทีละก้าว ๆอลิซได้แต่กัดฟันแล้วกล่าวอย่างลำพองว่า “เมอร์ริท!เจ้าจงอย่าลืมว่าครั้งหนึ่งข้าเคยเป็นผู้หญิงของลินลี่ย์มาก่อน!”
คำกล่าวนี้มีอานุภาพนัก ทำเอาเมอร์ริทถึงกับชะงักงัน นิ่งอึ้ง
อลิซเองไม่ได้อยากจะกล่าวคำเหล่านี้ นางรู้ดีว่าการกระทำในอดีตได้ทำร้ายลินลี่ย์อย่างฝังลึกและนางก็ไม่ได้อยากจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับเขามากไปกว่านี้ แต่นอกจากลินลี่ย์แล้วนางก็ไม่เห็นทางใดที่พอจะช่วยนางให้รอดพ้นจากสถานการณ์นี้ได้
“ลินลี่ย์?” เมอร์ริทยืนนิ่งไร้ความเคลื่อนไหวหน้าบึ้งคล้ำ
นางกัดริมฝีปากพร้อมบอกกล่าว “เมอร์ริทข้าจะแสร้งทำเป็นว่าเรื่องในวันนี้ไม่เคยเกิดขึ้นแต่หากเจ้ากล้าทำอะไรมากไปกว่านี้เช่นนั้นแล้วก็อย่าได้แปลกใจหากข้าเองก็จะทำอะไรเกินขอบเขตเช่นกันเชื่อว่าท่านคงรู้ถึงอิทธิพลของลินลี่ย์ในทุกวันนี้ดี”
เมอร์ริทมองไปยังอลิซ
แม้เขาจะหลงใหลในตัวอลิซเช่นไร หากแต่รู้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างลินลี่ย์และอลิซเป็นไปอย่างลึกซึ้งและพิเศษมากเพียงแค่ดูจากรูปสลัก ‘ตื่นขึ้นจากฝัน’ ไม่ว่าผู้ใดก็สามารถบอกได้ว่าลินลี่ย์เคยตกหลุมรักอลิซมากมายขนาดไหน
‘ความรู้สึกที่ลินลี่ย์มีให้นางเต็มไปด้วยห้วงแห่งรักแท้ หากว่าลินลี่ย์รับรู้ว่า...’เมอร์ริทรู้สึกเจ็บปวด
ลินลี่ย์!
ช่างรับมือได้ยากยิ่ง
ลินลี่ย์ในตอนนี้มีอิทธิพลอย่างมาก แม้กระทั่งเขาเองที่ว่าก็มีอำนาจไม่น้อย ท้ายที่สุดเขาก็เป็นเพียงอัครเสนาบดีฝ่ายขวาของหนึ่งอาณาจักรเท่านั้นต่อหน้าวิหารเจิดจรัส เขานับเป็นตัวอะไรได้!การเลือกผู้ครองบัลลังก์อาจเป็นเรื่องที่จะต้องพิจารณาอย่างจริงจังแต่พวกเขาแทบไม่ต้องคิดอะไรกับการถอดถอนอัครเสนาบดีฝ่ายขวาของอาณาจักรหนึ่ง
ที่ลินลี่ย์ต้องทำเพียงแค่บอกกล่าวแก่วิหารเจิดจรัสให้เข้าช่วยเหลือเพียงแค่นั้นเขาเองก็ไม่อาจต้านทานอันใดได้
และในอนาคตอันใกล้ ลินลี่ย์มีแต่จะน่ายำเกรงขึ้นเรื่อย ๆนี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงไม่มีขุนนางแม้แต่ผู้เดียวในอาณาจักรเฟนไลกล้าที่จะต่อต้านหรือมุ่งพยายามเอาชีวิตของเขานี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมทุกคนถึงแสดงความสุภาพต่อลินลี่ย์นัก
“อนิจจา...” เมอร์ริทถอดถอนหายใจอย่างยาวนาน “อลิซข้าได้ตกหลุมรักเจ้าเข้าอย่างแท้จริง ช่างมากมาย จนข้าได้สูญเสียสติครองตน”
เมอร์ริทยิ้มอย่างขอลุแก่โทษ “ข้าต้องขออภัย บัดนี้สติข้าได้กลับคืนแล้วในเมื่อเจ้าไม่อาจตอบรับความรู้สึกที่ข้ามีให้แก่เจ้าแน่นอนว่าข้าก็ไม่อาจบังคับได้”
“ใต้เท้าเมอร์ริท เช่นนั้นข้าคงต้องขอตัว” อลิซรีบตรงไปเปิดประตูและก้าวเท้าออกไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นอลิซจากไป ท่าทางอ่อนน้อมแสดงความเสียใจได้หายไปจากสีหน้าของเมอร์ริทเขาจ้องเขม็งอย่างชั่วร้าย แสดงสีหน้าเย้ยหยันและหลุดคำออกมา “นังแพศยา!”
กว่าอลิซจะเดินทางกลับมาถึงคฤหาสน์ตระกูลเด็บส์ ฟ้าก็มืดแล้ว
ในช่วงเวลานี้ สมาชิกทุกคนในตระกูลเด็บส์มารวมตัวกันอยู่ในห้องโถงใหญ่ร่วมกันรับประทานมื้อเย็นเพียงแต่ในวันนี้บรรยากาศไม่ค่อยดีเท่าไรนัก ทุกคนต่างเป็นกังวลเนื่องจากตระกูลเด็บส์จะถูกตัดสินโทษเมื่อใดก็ได้
“อลิซ เจ้ากลับมาแล้ว?” โรวลิ่งเห็นอลิซวิ่งเข้ามาด้านในคฤหาสน์
นีมิทซ์และคนอื่นต่างลุกขึ้นเช่นกัน
‘รวดเร็วถึงเพียงนี้?’ นีมิทซ์ตะลึง อลิซกลับมาเร็วกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้มากนัก
“พี่หญิงอลิซ มาทานมื้อเย็นกับพวกเราสิ” โรวลิ่งเรียกนางเข้าไปทันที
ระหว่างทางเข้าไปยังโถงหลัก อลิซกวาดตามองผู้คนด้านในพร้อมกล่าวขออภัย“ข้ารู้สึกไม่ค่อยดีเท่าใดนัก ข้าขอตัวไปพักผ่อนในห้องก่อน”อลิซกล่าวเสียงต่ำและแหบแห้ง
โรวลิ่งรู้สึกว่าอลิซประพฤติตัวแปลกไปจากปกติ
“ข้าขอตัวไปดูแลอลิซก่อน” โรวลิ่งยิ้มให้กับทุกคนแล้วตามอลิซไป ทิ้งให้นีมิทซ์ที่กำลังตั้งข้อสงสัยไว้ในโถงหลัก
อลิซและโรวลิ่ง อยู่ภายในห้องของพวกนาง
เมื่อเข้ามาในห้องนอน อลิซทิ้งตัวลงบนเตียง นางไม่สามารถกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไปนางรู้สึกแย่ต่อความไม่เป็นธรรมที่นางได้รับ
“ข้าทำอะไรผิดงั้นหรือ ทำไมสวรรค์ถึงได้ลงโทษข้าเช่นนี้?”
อลิซได้แต่คร่ำครวญอย่างโกรธแค้น
“ข้าไม่เคยขออะไรมากไปกว่า ขอให้ข้าได้มีชีวิตที่เรียบง่ายและสงบสุข ขอเพียงบิดามารดาข้าได้ใช้ชีวิตอย่างผาสุขแล้วเหตุใด เหตุใดข้าจึงต้องมาเจอกับเรื่องราวเช่นนี้?” ภายในจิตใจอลิซเต็มไปด้วยความเศร้าโศก จริงอยู่ที่ตระกูลเด็บส์อาจจะต้องจบสิ้นลง
แต่นั่นเกี่ยวข้องอะไรกับนาง?
ทำไมพวกเขาต้องส่งให้นางให้กับเมอร์ริท?
ทำไมนางต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเปล่งวาจาว่า “ข้าเคยเป็นผู้หญิงของลินลี่ย์”ต้องเป็นเหตุการณ์วิกฤตถึงเพียงไรจึงสามารถทำให้นางเอ่ยปากพูดประโยคนั้นออกมา นางมิได้ต้องการจะกล่าวประโยคนี้เลยแม้เพียงนิด
“พี่หญิงอลิซ เกิดอะไรขึ้น?” โรวลิ่งที่วิ่งเข้ามาในห้องเห็นอลิซกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นปรากฏคราบน้ำตาดวงใหญ่บนที่นอน ทำให้โรวลิ่งกังวลอย่างมาก
โรวลิ่งเข้ามานั่งประคอง ลูบหลังของอลิซอย่างปลอบโยน “อย่าร้องอย่าได้ร้องอีกเลย ไม่ว่าเรื่องร้ายแรงเพียงใด ท่านสามารถเล่าให้ข้าฟังได้”
อลิซหันไปซบวงแขนของโรวลิ่ง ร้องออกมาด้วยความทุกข์ใจ แม้ไม่มีผู้ใดปลอบนางก็ไม่คิดว่าแย่เท่าใดนักเพียงแต่ตอนนี้นางมีผู้ที่อยู่เคียงข้าง ทำให้นางยิ่งรู้สึกทุกข์ใจและรู้สึกถึงความอยุติธรรมที่ตนได้รับมากกว่าเดิม
โรวลิ่งปลอบอลิซยาวนานกว่าครึ่งชั่วโมง อลิซถึงค่อยสงบลง
“พี่หญิงอลิซ เกิดอะไรขึ้นกันแน่? บอกข้ามา” โรวลิ่งมองตรงมายังอลิซ
อลิซสูดลมหายใจลึก จากนั้นค่อย ๆ เล่าเรื่องราวอยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับนาง “น้องหญิงโรวลิ่ง เจ้าย่อมรู้ดีถึงสถานการณ์ล่อแหลมที่กำลังเกิดขึ้นภายในตระกูลเด็บส์ตอนนี้เมื่อวานนี้ท่านผู้อาวุโสรอง มาพบข้าเป็นการส่วนตัว และขอให้ข้าไปพบกับ...”
อลิซเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นมากเท่าใด โรวลิ่งก็โมโหมากขึ้นเท่านั้น
โรวลิ่งโมโหในการกระทำของนีมิทซ์ นางโมโหเมื่อนึกถึงสิ่งที่อลิซต้องเผชิญ และนางรู้สึกได้ถึงความโกรธแค้นที่มีต่อการกระทำของเมอร์ริทและในขณะเดียวกัน นางก็สงสารอลิซเหลือเกิน
“ข้าไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้อีกต่อไปแล้วข้าเพียงอยากใช้ชีวิตอย่างสงบสุข” อลิซกล่าวเสียงสะอื้น
ตลอดช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาโรวลิ่งได้แต่คิดไตร่ตรองถึงวิธีที่จะช่วยเหลือตระกูลเด็บส์หากแต่เมื่อได้ฟังเรื่องราวจากอลิซ นางจึงได้เข้าใจบางอย่าง
“พี่หญิงอลิซ อย่าได้เศร้าไปเลย อย่างไรเสียก็ไม่อาจยอมให้ใต้เท้าเมอร์ริททำลายความบริสุทธิ์ของท่านได้”
อลิซพยักหน้า
“แต่เราก็ยังต้องคิดหาหนทางช่วยเหลือพี่คาลันและคนอื่น ๆ” โรวลิ่งกล่าว
อลิซเองก็ต้องการที่จะช่วยคาลัน แต่นางไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร
“พวกเรายังคงมีทางเลือกอยู่” โรวลิ่งมองมายังอลิซ“แต่ข้าไม่รู้ว่าท่านจะยินยอมทำหรือไม่ พี่หญิงอลิซ”
“โรวลิ่ง...” มองมาที่โรวลิ่ง อลิซพอจะคาดเดาได้ว่าโรวลิ่งน่าจะหมายถึงสิ่งใด
โรวลิ่งพยักหน้า “ใช่แล้ว ไปขอให้ลินลี่ย์ช่วยเป็นอย่างไรวันนี้เพียงแค่ท่านเอ่ยนามของเขา ใต้เท้าเมอร์ริทก็ไม่กล้าทำอะไรท่านอีกเห็นได้ชัดว่าลินลี่ย์มีอิทธิพลมากเพียงใด จากที่ข้ารู้มาเขาไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับวิหารเจิดจรัส เขายังมีความสัมพันธ์กับหอการค้าดอว์สันอีกด้วยแม้กระทั่งราชาเคลย์ยังปฏิบัติต่อเขาราวกับเป็นสหาย หากลินลี่ย์เป็นผู้เอ่ยปากเข้าช่วยเหลือโอกาสที่จะช่วยเหลือคาลันได้ย่อมไม่น้อยอีกต่อไป”
มิต้องสงสัยเลยเลยว่าขณะนี้ในอาณาจักรเฟนไล ผู้คนต่างสุภาพโอนอ่อนตามลินลี่ย์กันหมดสิ้น
แม้กระทั่งอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวายังไม่อาจเทียบเท่ากับเขาได้
นั่นเพราะทุกคนรู้ดีว่า ในอนาคตลินลี่ย์ย่อมกลายเป็นคนระดับสูงของวิหารเจิดจรัสกระทั่งตอนนี้เขาถูกมองว่าเป็นผู้ที่มีศักยภาพในระดับสูงที่ควรได้รับการฝึกอบรมอย่างดีเพียงเพื่อลินลี่ย์ พวกเขากระทั่งส่งคาร์ดินัลถึง 2 คนไปเข้าร่วมเคารพพิธีศพของฮ็อกจากจุดนี้ใครต่างรู้ดีว่าลินลี่ย์ถูกมองว่าสำคัญมากเพียงใด
“ท่านพี่ลินลี่ย์?” อลิซเต็มไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย
นางรู้ดีว่าเรื่องราวระหว่างนางกับเขาผ่านมาเนิ่นนานแล้ว แต่นางก็ยังไม่ต้องการจะเผชิญหน้ากับมันนางไม่อยากจะไปขอร้องเรื่องใด ๆ ต่อลินลี่ย์ นางรู้สึกว่าไม่มีหน้าจะไปพบกับเขาอีกต่อไปแล้ว”
นางรู้ดีว่านางได้ทำร้ายเขาอย่างฝังลึก ช่วงเวลาที่นางได้เข้าชมรูปสลัก‘ตื่นขึ้นจากฝัน’ นางก็เข้าใจดีว่าลินลี่ย์เคยรักนางมากเพียงใดอย่างน้อยเขาก็เคยตกหลุมรักนาง
นางรู้สึกละอายใจหากต้องพบกับเขา!
“พี่หญิงอลิซ ข้าเข้าใจดีว่าท่านรู้สึกอย่างไร” โรวลิ่งกุมมืออลิซแน่น“แต่ว่าตอนนี้ท่านพี่คาลันของพวกเราและท่านพ่อของเขากำลังตกอยู่ในวิกฤตที่อาจสูญเสียกระทั่งชีวิตข้าขอร้องท่าน ขอให้ท่านกลั้นใจอดทนต่อการกระทำที่แล้วมาในอดีต อย่างไรเสียลินลี่ย์ก็คงไม่ประพฤติดังเช่นเมอร์ริท”
ในใจอลิซเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
‘ไม่มีหน้าจะไปพบ? ความหยิ่งในศักดิ์ศรีที่นางมีนั้นสำคัญกว่าชีวิตของคู่หมั้นและบิดาของเขาอีกหรือ?’ อลิซถามตัวเอง จึงพบว่านางไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว
“พี่หญิงอลิซ” โรวลิ่งมองอลิซอย่างอ้อนวอนอลิซสูดสมหายใจลึกบังคับให้ใจตัวเองสงบลง มองไปยังโรวลิ่ง แล้วพยักหน้า “ได้ ข้าจะไปพบกับพี่ลินลี่ย์ในวันพรุ่งนี้”