ตอนที่ 142 – ตอนที่ 138 แม่เฒ่าอู่เถิง
พอกลับมาถึงสถาบัน เย่ว์หยางเห็นเจ้าอ้วนไห่ผู้มีใบหน้าบวมฉุเหมือนกับหมู เย่คงและพี่น้องตระกูลหลี่กำลังรอเขาอยู่ นักเรียนห้องเรียนมรณะก็ยังไม่จากไป
พอเห็นเย่ว์หยางกลับมา อาจารย์จิ้งจอกเฒ่าเข้ามารับหน้าเขาก่อน
“นักเรียนไตตัน! เจ้าปลอดภัยดีหรือเปล่า?” อาจารย์จิ้งจอกเฒ่ากลัวว่าจะสูญเสียเย่ว์หยางผู้เป็นนักเรียนมีศักยภาพสูงมากที่สุดของเขาไป พอเห็นว่าเขากลับมาอย่างปลอดภัยแข็งแรง อาจารย์จิ้งจอกเฒ่ายินดีในใจ แต่หลังจากนั้นเขาถามเบาๆ ว่า “ตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?”
“มีผู้อาวุโสเทียนเจิ้น 2 คนและเรายังสืบสวนเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ ข้าไม่ค่อยเข้าใจเรื่องอื่นมากนัก” เห็นได้ชัดว่าเย่ว์หยางคงไม่บอกข้อมูลเขามากเกินไป ขณะที่เขาตอบเสียงเบา
“ดูเหมือนมีการสมรู้ร่วมคิดกันที่นี่….” อาจารย์จิ้งจอกเฒ่าฉลาดมาก เขารู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดปกติได้ทันที
อย่างไรก็ตามอาจารย์จิ้งจอกเฒ่าไม่ได้หารือเรื่องนี้ต่อ เขาหันไปรอบๆ และยกย่องความกล้าหาญความมีปฏิภาณรักษาความเยือกเย็นยามเผชิญกับความยากลำบากและอันตราย ต่อหน้านักเรียนอื่นๆ ในที่สุดอาจารย์จิ้งจอกเฒ่าประกาศว่าเขาจะให้คะแนนพิเศษและให้รางวัลนักเรียน 10 เหรียญทองทุกคน เขาตัดสินใจในวินาทีสุดท้ายเลี้ยงอาหารนักเรียนเป็นการปลอบขวัญที่เจอเรื่องระทึกใจ ทันทีนั้นเอง เพราะรางวัลที่อาจารย์จิ้งจอกเฒ่าจ่ายให้อย่างใจป้ำเรียกเสียงเชียร์โห่ร้องดีใจจากนักเรียนห้องเรียนมรณะได้ทั้งห้อง
แม้ว่าพวกเขาจะอยากรู้อยากเห็น แต่นักเรียนที่ไม่รู้จักเย่ว์หยาง ไม่พยายามจะเข้าใกล้เขาเพื่อทำความคุ้นเคย
หญิงสาวตัวสูง, องค์หญิงชี่หมิงและเด็กคนอื่นๆ มารายล้อมเขาทันที องค์หญิงน้อยเพ่ยเพ่ยยิ่งกว่าคนอื่น เธอกระโดดโผเข้ากอดเย่ว์หยางทันที ร้องไห้เสียงลั่น
ก่อนหน้านี้ พวกเขาไม่เข้าใจสถานการณ์อะไรเลย เมื่อนักเรียนชั้นเรียนมรณะฟื้นขึ้น พวกเขาตระหนักได้ว่ากลับมาถึงสถาบันแล้ว อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าเย่ว์หยางยังคงหายไปอยู่ อาจารย์จิ้งจอกเฒ่ารอฟังข่าวอย่างกังวลต่อไป คนจำนวนมากมีความคิดจริงๆ ว่าเย่ว์หยางเข้าไปมีส่วนร่วมในการต่อสู้ถูกฆ่าตายเสียแล้ว มีเพียงเย่คงและคนอื่นๆ เชื่อว่าเย่ว์หยางสามารถกลับมาได้โดยปลอดภัย โดยเฉพาะองค์หญิงน้อยเพ่ยเพ่ยทั้งกลัวทั้งห่วง แม้ว่าเธอจะโดดเด่นมากในกลุ่มนักเรียนของเธอ แต่เธอก็ยังเป็นเด็กเล็ก เมื่อเย่ว์หยางกลับมาได้ เธอถึงกับกระโดดเข้ากอดและร้องไห้ทันที อย่างไรก็ตาม เย่ว์หยางมีของขวัญเล็กๆ น้อยที่น่าทึ่งให้เธอ หลังจากคุยด้วยไม่กี่ประโยค เย่ว์หยางกล่อมองค์หญิงน้อยจากที่ร้องไห้กลายเป็นหัวเราะออกมาได้
“ข้าบอกไว้ก่อนแล้วไม่ใช่หรือ? ข้ารู้ว่าเจ้าสามารถกลับมาได้โดยปลอดภัยแน่นอน เจ้าเป็นใครรู้ไหม? เจ้าคือศิษย์น้องของต้าไห่ ด้วยโชคแคล้วคลาดความตายของต้าไห่คอยปกป้องเจ้า มันเป็นเรื่องยากที่เจ้าจะบาดเจ็บ ต่อให้เจ้าต้องการก็ตาม” เจ้าอ้วนไห่โม้ลั่น ขณะที่เขาประกาศอย่างผึ่งผาย
“……” เย่คงไม่มีอะไรจะพูด เขาพยักหน้าให้เย่ว์หยางด้วยความเชื่อมั่น
เย่ว์ปิงแค่พอได้ยินข่าวก็รีบวิ่งลงมาทันที หน้าของนางขาวซีดขณะโผเข้าอ้อมกอดของเย่ว์หยาง นางกอดพี่ชายนางไว้แน่น ราวกับว่าถ้านางคลายการกอดแล้ว พี่ชายของนางจะเลือนหายไปเหมือนควัน ไม่ใช่แค่เย่ว์หยางเท่านั้น แม้แต่คนอื่นๆที่เห็นก็พยายามเข้ามาปลอบนาง หลังจากปลอบโยนนางอยู่ครู่หนึ่ง และหลังจากเย่ว์ปิงพบว่าพี่ชายนางไม่เป็นไรแล้ว นางก็สงบใจได้ในที่สุด
ทันใดนั้นเย่ว์หยางรู้สึกว่ามีคนเฝ้าดูเขาจากระยะไกล อย่างไรก็ตาม ด้วยทักษะของเขา เขาไม่รู้สึกว่าคนผู้นั้นซ่อนตัวอยู่ที่ไหน
คนผู้นี้เป็นใคร ถึงได้เฝ้าดูเขาจากในระยะไกล?
เป็นไปได้ว่าคงเป็นเจ๊ขี้เมาผู้นั้นกระมัง?
ขณะที่เย่ว์หยางใช้ทักษะญาณทิพย์ของเขาค้นหาดู คนผู้นั้นที่จับตามองเขาจากระยะไกลก็หายไปทันที มันเหมือนกับว่าคนผู้นั้นรู้ว่าถูกเย่ว์หยางค้นหาด้วยทักษะพิเศษของเขา
ช่างเถอะ ดูเหมือนว่าคนผู้นั้นไม่มีเจตนาชั่วร้าย เย่ว์หยางประหลาดใจที่พบว่ามีคนที่มีความสามารถพิเศษเป็นจำนวนมากซ่อนตัวอยู่ในสถาบันแห่งนี้ ไม่ใช่เพียงแค่มีอาจารย์จิ้งจอกเฒ่าและพี่สาวขี้เมาเท่านั้น ยังมีคนที่แข็งแกร่งผู้ซ่อนตัวและคอยจับตาดูเขาอย่างตั้งใจอีกด้วย แน่นอนว่าสถาบันแห่งนี้มีประวัติศาสตร์ 3 พันปี พวกเขามีรากฐานที่แข็งแกร่งจริงๆ
ระหว่างที่เกิดเหตุการณ์ของผู้อาวุโสเทียนเจิ้น ชั้นเรียนมรณะไม่ได้ดำเนินการฝึกต่อจนจบภารกิจเหมือนเมื่อก่อน พวกเขาจึงไม่มีคาบเรียน ถ้าไม่ใช้เวลาพักผ่อน ก็ทำธุระของตัวเอง
เย่ว์ปิงมอบจดหมายฉบับหนึ่งให้เย่ว์หยาง แจ้งว่าส่งมาจากอี้หนาน
ลายมือของนางดูสวยและสง่างาม แม้ว่าดูเหมือนว่านางจงใจเขียนด้วยตัวอักษรที่ใหญ่หนา อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ไม่สามารถปกปิดความจริงที่ว่าลายมือที่งดงามนี้เป็นของสตรี อี้หนานเขียนมาว่าตอนนี้นางฝึกอยู่กับป้าของนาง ดังนั้นนางไม่สามารถมาที่สถาบันได้เลย นางจะได้พบเย่ว์หยางต้องหลังจากนั้น
เกี่ยวกับเรื่องที่อี้หนานไม่สามารถมาได้ก่อนนั้น เย่ว์หยางผิดหวังเล็กน้อย เรียนโดยไม่มีสาวๆ อยู่ด้วย ก็หมายความว่าสภาพแวดล้อมไม่มีความโรแมนติคและไม่มีเสียงหวานคอยกระซิบกระซาบอยู่ใกล้ๆ เสียเวลา เสียโอกาสจริงๆ
เย่ว์หยางตัดสินใจเข้าไปเรียนกับเย่ว์ปิงและตั้งใจฟังคำบรรยายของแม่เฒ่าอู่เถิง
ความจริง แม่เฒ่าอู่เถิงไม่เพียงแต่มีชื่อเสียงชำนาญในเรื่องอสูรสายพฤกษาเป็นอย่างสูงเท่านั้น นางยังคงเป็นคนสำคัญที่สุดอีกด้วย นางแตกฉานเชี่ยวชาญความรู้รากฐานในระดับที่ในสถาบันไม่มีผู้ใดเทียบนางได้
ตอนแรก เย่ว์หยางคิดว่าจะมีนักเรียนมากมายมาเข้าฟังคำบรรยายของนาง แม้หลังจากรอเวลาต่อมาอีกชั่วครู่ ก็มีแค่เพียงเย่คงที่ลากเจ้าอ้วนไห่เข้ามาร่วมฟังคำบรรยายด้วย บางทีคงเป็นเพราะนี่เป็นชั้นเรียนพื้นฐาน ดังนั้นแทบจะไม่มีนักเรียนมาร่วมฟังคำบรรยายชั้นนี้ มีแต่เพียงนักเรียนแปลกๆ 2 คนที่ปรากฏตัวมา คนหนึ่งดูเหมือนลิงผอม แต่มีสัตว์อสูรอ้วนเหมือนหมู นักเรียนอีกคนหนึ่งมีอสูรที่ดูเหมือนจะเป็นพวกสามัญ แต่เจ้านายของมันเต็มไปด้วยรอยแผลอาวุธและรอยฟกช้ำเหมือนกับซาลาเปา 2 คนนี้ดูเหมือนจะตั้งใจเรียนมาก แม้ว่าชั้นเรียนจะเริ่มไปก่อนแล้ว แต่พวกเขาก็ยังจดบันทึกไม่หยุด
ดูเหมือนว่าพวกเขาเป็นนักเรียนใหม่กันทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเย่ว์หยาง, เย่ว์ปิง, เย่คง, ไม่ว่าจะเป็นพี่น้องตระกูลหลี่ ต่างก็ไม่รู้จักนักเรียนแปลก 2 คนนี้
เพียงคนเดียวที่คุ้นเคยกับนักเรียนอื่น อย่างเจ้าอ้วนไห่ยังคงอยู่ในโลกแห่งความฝันว่ากำลังไล่ตามสาวสวย เขาไม่มีเวลาแม่แต่จะเปิดเปลือกตา เย่คงทำได้เพียงค่อยๆ ยิ้มให้นักเรียนประหลาดทั้งสองคนแสดงความเป็นมิตร
นักเรียนทั้งสองคนรีบจับมือพวกเขา แสดงท่าทางกับเย่คงและคนอื่นๆ ว่าไม่ต้องเข้ามานั่งใกล้พวกเขาเกินไป เหตุผลไม่แน่ชัด
“นักเรียน, ข้าคืออาจารย์อู่เถิง..” ตอนแรก เย่ว์หยางคิดว่าแม่เฒ่าอู่เถิงจะมองดูเหมือนกับหัวหน้าหมอสูงวัยเสียอีก ใครจะคิดกันว่าเขาเข้าใจผิดถนัด
แม่เฒ่าอู่เถิงเมื่อดูจากภายนอกอายุไม่เกิน 50 ปี ใบหน้าของนางเอิบอิ่ม ผิวของนางยังคงดูงาม ตาของนางใสกระจ่างเหมือนน้ำค้าง
นอกจากรอยตีนกาที่หางตาไม่กี่รอย นางดูไม่แก่เลย
แม้แต่เครื่องแต่งกายนางยังดูธรรมดาเรียบง่าย ตรงข้ามกับบุคลิกของนาง
ภูมิปัญญาและความรอบรู้ที่นางคายออกมา ทำให้บุคลิกนางดูไม่ซ้ำซาก ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรในโลกจะทำให้สีหน้านางเปลี่ยนแปลงได้ นางดูสงบอ่อนโยนราวกับว่าไม่มีเหตุการณ์ภายนอกมากระทบกระทั่งใจนางได้
ถ้าเย่ว์หยางไม่รู้มาก่อนว่าแม่เฒ่าอู่เถิงนี้เป็นอาจารย์สอนจุนอู๋โหย่วฮ่องเต้, ผู้เฒ่าเย่ว์ไห่และอาจารย์จิ้งจอกเฒ่า นางสอนนักเรียนมาเกินกว่า 200 ปี และนางมีอายุเกิน 300 ปีแล้ว เขาคงคิดจริงๆ ว่านางเป็นแค่ผู้หญิงที่มีอายุ 40 กว่าปี
ชั้นเรียนของแม่เฒ่าอู่เถิงเล็กกว่าปกติเล็กน้อย นางไม่ได้สนใจจะสอนจากตำรา แต่กลับสอนจากประสบการณ์ของนางแทน
หลังจากคุยเกี่ยวกับความรู้พื้นฐานเรื่องอสูรสายพฤกษา 10 นาทีแล้ว นางหยุดพูดและถามพร้อมรอยยิ้มว่า “นอกจากคำถามเรื่องอสูรสายพฤกษาเพิ่งเรียนกันไปแล้ว ทุกคนจะถามคำถามใดๆ ก็ได้”
“ข้าอยากจะถามคำถามเพียงไม่กี่ข้อเกี่ยวกับอสูรและการอัญเชิญ ถ้าเป็นไปได้ข้าอยากเข้าใจเรื่องอสูรศักดิ์สิทธิ์และอสูรในตำนานมากขึ้น” เย่ว์หยางมีคำถามในใจอยู่มาก เนื่องจากความรู้ที่เขาได้รับจากคัมภีร์อัญเชิญ เขารู้เกี่ยวกับเทคนิคบำรุงอสูรในระดับสูง แต่กลับไม่รู้ความรู้พื้นฐานอะไรเลย
“สัตว์อสูร ก็อย่างที่ทุกคนรู้แบ่งตามระดับชั้นคือ ชั้นสามัญ, ชั้นทองแดง, ชั้นเงิน, ชั้นทอง, ชั้นแพลตตินัมและชั้นเพชร ผู้อัญเชิญส่วนใหญ่จะมีปฏิสัมพันธ์กับอสูรสามัญมากที่สุด อสูรชั้นทองแดงและชั้นที่สูงกว่านั้นเรียกกันว่าอสูรชั้นยอด เมื่อพวกมันวิวัฒนาการไปถึงชั้นทองพวกเราจะเรียกพวกมันว่าจ้าวอสูรซึ่งก็เป็นเงื่อนไขที่มาของเจ้าอสูรทองด้วย สำหรับอสูรชั้นแพลตตินัมและชั้นเพชร พวกเขาเป็นสิ่งที่ไม่สามารถพัฒนาโดยมนุษย์ได้ พวกเขาหาได้ยากมากๆ ดังนั้นตอนนี้ไม่ต้องไปเพ่งความสนใจพวกเขาก่อน ปกติแล้วเมื่อมีผู้บรรลุเข้าขอบเขตนักสู้ระดับ 7 ชั้นเหนือมนุษย์ ก็จะมีปรมาจารย์พิเศษที่จะนำพาพวกเขาไปต่อยังดินแดนระดับเหนือกว่า ในทวีปมังกรทะยานที่เราอยู่นี้ ภายใต้สถานการณ์ปกติ นักสู้ที่สูงกว่าระดับ 10 จะยังไม่ปรากฏ กล่าวอีกนัยหนึ่ง อสูรชั้นสามัญเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงระดับ 10 ได้มากที่สุด ในกรณีโดยมาก อสูรระดับ 10 เหล่านี้จะคงอยู่เนื่องจากเหตุผลพิเศษ ยกตัวอย่างเช่น อสูรระดับ 10 อย่างวาฬเจ้าสมุทร, เต่าเกาะ ไม้โบราณ 3 พันปีเป็นต้น สามารถคงอยู่ได้เนื่องจากขนาดที่ใหญ่โตของพวกมันและพลังชีวิตที่ไม่สิ้นสุด พวกมันไม่มีนักล่าตามธรรมชาติตลอดทั้งโลกนี้ ซึ่งทำให้พวกมันเติบโตโดยราบรื่นจนถึงระดับ 10 ขณะเดียวกัน พวกมันก็มีความแข็งแกร่งที่น่ากลัว ในขณะที่พวกมันไม่มีนักล่า พวกมันยังไม่เคยพบการต่อสู้มาทั้งชีวิต ซึ่งก็เป็นสาเหตุให้พวกมันมีโอกาสน้อยมากที่จะผ่านวิวัฒนาการแปรเปลี่ยนรูป และอยู่ในชั้นอสูรสามัญมาตลอดชีวิตของพวกมัน โดยไม่มีโอกาสวิวัฒนาการได้เลย
ขณะที่แม่เฒ่าอู่เถิงพูด นักเรียนที่ดูแปลก 2 คนก้มหน้าจดบันทึกอย่างจริงจัง
ทางฝ่ายเย่ว์หยางก็ตั้งใจฟังมาก เขาพบว่าแม่เฒ่าอู่เถิงความจริงเป็นนักสู้ที่น่ากลัวที่ซ่อนความแข็งแกร่งเอาไว้ นางดูเหมือนเป็นนักสู้ที่มีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับ 5 แต่ในความเป็นจริง เมื่อเย่ว์หยางมองนางผ่านทักษะญาณทิพย์ เขาพบลักษณะที่เป็นเท็จของนาง เทียบกับฝีมือของอาจารย์จิ้งจอกเฒ่าที่เย่ว์หยางไม่สามารถมองเห็นได้, จุนอู๋โหย่วและผู้เฒ่าเย่ว์ไห่ แม่เฒ่าอู่เถิงแข็งแกร่งกว่ามากๆ
เย่ว์หยางสงสัยในใจว่า แม่เฒ่าอู่เถิงนี้อาจเป็นหนึ่งในนักสู้ปราณก่อกำเนิดในอาณาจักรต้าเซี่ย
แต่ทำไมนักสู้ปราณก่อกำเนิดคนหนึ่ง ถึงได้มาสอนในสถาบันแห่งหนึ่งเล่า?
ไม่มีหลักฐานยืนยัน ดังนั้นเย่ว์หยางไม่กล้าฟันธงกับความคิดนี้
แน่นอน ไม่ว่าจริงๆ แล้วแม่เฒ่าอู่เถิงจะเป็นคนเช่นไร เย่ว์หยางรู้สึกว่าความรู้ของนางกว้างขวางมากกว่าข้อมูลที่มีการบันทึกไว้เสียอีก
“ถ้าอสูรชั้นสามัญมีร่างเหมือนวาฬจ้าวสมุทร ภายใต้สถานการณ์ที่พวกมันไม่มีผู้ล่าโดยธรรมชาติ พวกมันจึงสามารถเพิ่มระดับไปจนถึง 10 ได้ ตามมาตรฐานของเราสามารถวัดอสูรสามัญได้ถึงระดับ 10 สำหรับอสูรชั้นทองแดง เราทุกคนรู้ว่านั่นเป็นอสูรชั้นยอดระดับเริ่มต้น อสูรชั้นทองแดงทุกตัวไม่ว่าระดับใดๆ ก็ตามจะมีระดับที่แข็งแกร่งกว่าอสูรสามัญที่อยู่ในระดับเท่ากัน ระดับที่สูงขึ้นจะมีพลังที่แตกต่างกันอย่างมากมาย ข้าจะยกตัวอย่างให้ก็ได้ อสูรสามัญระดับ 3 อาจสู้ได้เสมอกับอสูรทองแดงระดับ 2 อย่างไรก็ตาม อสูรสามัญระดับ 7 จะไม่มีทางเอาชนะอสูรทองแดงระดับ 6 ได้ แม้ว่ามันจะมีระดับสูงกว่าอสูรทองแดง 1 ระดับ นี่คือความแตกต่างในการเจริญเติบโตระหว่างอสูรชั้นยอดกับอสูรธรรมดา”
“ในทวีปมังกรทะยาน อสูรชั้นทองแดงยกระดับให้สูงเท่าที่จะทำได้ก็คือระดับ 9 กล่าวโดยทั่วไปก็คือ อสูรชั้นทองแดงระดับ 9 จะไม่มีทางพัฒนาต่อ ดังนั้นพวกมันจะไม่สามารถก้าวผ่านระดับของตัวเองได้อีกตลอดชีวิต จะต้องเป็นอสูรทองแดงระดับ 9 ตลอดไป ทั้งนี้เป็นเพราะในความรู้สึก อสูรทองแดงระดับ 9 คือระดับสูงสุด ที่สัตว์อสูรจะไปถึงได้ แน่นอนว่า มันจะไม่มีผู้ล่าอีกต่อไป ซึ่งทำให้เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้มันวิวัฒนาการต่อไปได้อีก นอกจากในธรรมชาติแล้ว อสูรอย่าง โคโดยักษ์ แมมมอธยักษ์, มังกรแผ่นดินไหว อสูรภูเขาและอื่นๆ ไม่มีผู้ล่าโดยธรรมชาติ เนื่องจากขนาดที่ใหญ่โตของพวกมัน แม้ว่าพวกมันจะไม่ใหญ่โตขนาดวาฬจ้าวสมุทรและเต่าเกาะก็ตาม แต่สำหรับมนุษย์ พวกมันก็ยังมีขนาดมหึมาอยู่ดี ดังนั้น พวกมันผ่านการต่อสู้มาน้อยมากในชีวิต กล่าวโดยทั่วไปก็คือ พวกมันจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในดินแดนของพวกมัน ดังนั้นอย่างมากที่สุดพวกมันจะได้ถึงระดับ 9 ชั้นทองแดงเท่านั้น”
ตามที่ท่านอาจารย์สอนมา ก็หมายความว่าในทวีปมังกรทะยาน อสูรชั้นเงินจะยกระดับไปถึงระดับ 8 เป็นอย่างมากและอสูรทองก็จะไปถึงระดับ 7 เป็นอย่างมากใช่ไหม?” เย่ว์หยางถาม
“ใช่แล้ว ในโลกที่เป็นไปตามธรรมชาตินี้ หากไม่มีมนุษย์คอยบ่มเพาะฝึกฝนมัน อสูรเงินระดับ 8 และอสูรทองระดับ 7 จะไม่มีศัตรูในโลกนี้อีกต่อไป พวกมันจะได้แต่ล่าอสูรใดๆ ภายใต้ท้องฟ้านี้ นอกจากพวกที่อยู่ในระดับเดียวกับพวกเขา อย่างไรก็ตาม ทุกคนต้องจดจำไว้อย่างหนึ่ง มันเป็นเรื่องยากมากที่จะมีวิวัฒนาการแปรเปลี่ยนรูป บรรดาอสูรที่ยกระดับจนสูงสุด อสูรสามัญระดับ 10 มีมากที่สุด ขณะที่อสูรที่วิวัฒนาการเป็นอสูรทองมีน้อยที่สุด ถ้าอสูรชั้นสามัญระดับ 10 มีราวๆ 1000 ตัว อาจมีอสูรทอระดับ 7 น้อยกว่า50 ได้ ส่วนใหญ่เป็นเพียงความคงอยู่ในตำนาน ไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้โดยเฉพาะว่าการดำรงคงอยู่ของอสูรเหล่านี้ได้มาถึงจุดสูงสุดของพวกมัน…”แม่เฒ่าอู่เถิงพยักหน้าให้อย่างมั่นใจ
“อย่างนั้นในที่อื่นเล่า จะมีอสูรที่สูงกว่าชั้นทองระดับ 7 คงอยู่บ้างไหม? ยกตัวอย่างเช่น พวกมันคงอยู่ในหอทงเทียนได้ไหม?” เย่ว์หยางถามเพิ่ม
“ได้สิ อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ใช่หัวข้อที่เราจะคิดกันในวันนี้ ในอนาคตเมื่อพวกเจ้ามีพลังในระดับนักสู้ระดับ 7 ผู้เชี่ยวชาญจะมาอธิบายให้เจ้า ตอนนี้มาว่ากันถึงคำถามที่ 2 เถอะ เกี่ยวกับนักรบ นอกจากระดับที่แตกต่างจากระดับที่เรารู้ เกินกว่าระดับ 7 ยังจะมีขอบเขตระดับอื่นอีก เมื่อเจ้าไปถึงขอบเขตนั้น ก็จะมีคนมาแนะนำเจ้าให้เข้าถึงระดับที่สูงยิ่งกว่า…” แม่เฒ่าอู่เถิงไม่ได้อธิบายขอบเขตที่สูงกว่าระดับ 7 ว่าคืออะไร แต่เย่ว์หยางสามารถเดาได้นั่นก็คือขอบเขตปราณก่อกำเนิด หลังจากเป็นนักสู้ระดับ 7 นักสู้จะเริ่มฝึกฝนเพื่อเข้าสู่ขอบเขตระดับปราณก่อกำเนิด
“ท่านจะอธิบายเพิ่มขึ้นได้ไหมเกี่ยวกับความแตกต่างในความแข็งแกร่งของอสูรและนักรบ? นอกจากนี้ ท่านพอจะอธิบายเรื่องเกี่ยวกับอสูรศักดิ์สิทธิ์และอสูรในตำนานเพิ่มได้ไหม?” เย่ว์หยางต้องการใช้ข้ออ้างนี้เพื่อทำความเข้าใจความสามารถของเขาได้ชัดเจนขึ้น ขอบเขตอะไรที่เขาสามารถไปถึงได้? ที่สำคัญที่สุดเขาต้องการเข้าใจสัตว์อสูรของเขา อย่างเช่นเสี่ยวเหวินหลี, แท้จริงแล้วนางเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์หรืออสูรในตำนานกันแน่?
“ได้สิ, ข้าจะพูดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างอสูรและนักรบเดี๋ยวนี้แหละ นอกจากนี้ข้ายังจะพูดถึงการบ่มเพาะอสูรศักดิ์สิทธิ์และอสูรในตำนานอีกด้วย” แม่เฒ่าอู่เถิงพูดออกมาอย่างใจเย็น แต่คำพูดของนางกระตุ้นความสนใจของทุกคนทันที บ่มเพาะอสูรศักดิ์สิทธิ์และอสูรในตำนานเหรอ?
นี่เป็นไปได้อย่างไรกัน?
อสูรศักดิ์สิทธิ์และอสูรในตำนาน พวกมันสามารถบ่มเพาะด้วยพลังของคนได้หรือ?
****************