ตอนที่ 140 - ตอนที่ 136 เรื่องลึกลับ
การต่อสู้จบลงหมดแล้ว อสุรกายดำที่แข็งแกร่งซึ่งทำให้ผู้อื่นสะท้านด้วยความกลัวก็หายไปแล้ว
สำหรับผู้อาวุโสเทียนเจิ้น ร่างของเขาดูไม่เสียหายยังครบอาการ 32 แต่จู่ๆ ก็กลายเป็นขี้เถ้าสลายไปกับสายลมและแรงสะเทือนเมื่อตอนเย่ว์หยางกระโจนขึ้นไปในอากาศและย่ำลงพื้นในตอนนี้
เย่ว์หยางพูดไม่ออก ใครทำเรื่องแบบนี้กัน?
พวกเขาฆ่าอสุรกายดำและผู้อาวุโสเทียนเจิ้นในทันทีรวดเดียวได้อย่างไร? ขณะที่เย่ว์หยางทำทุกวิถีทางเพื่อกลับมาควบคุมร่างกายเขาให้ได้และตื่นขึ้นมา เขารู้สึกอย่างเลือนรางว่าคงเป็นสิ่งมีชีวิตจากคัมภีร์เทพฤทธิ์ที่กำจัดศัตรู อย่างไรก็ตาม เขาไม่รู้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดไหน เขาจำได้ตอนที่เขาทำสัญญาครั้งแรก เมื่อเขาเข้าสู่ขอบเขตปราณก่อกำเนิด เขาจำได้เพียงเลือนรางว่าเสียงของมันเป็นธรรมชาติไพเราะกว่าระฆังสวรรค์ ดังนั้นการณ์กลับกลายว่า เขามีอสูรอยู่ในร่างแล้วอย่างนั้นหรือ? ใช่ว่าเป็นการตอบแทนที่นักพรตเฒ่าผู้เตะเขาข้ามมิติจัดการให้นะ? เป็นไปได้หรือเปล่าว่ามันเป็นอสูรที่เทพธิดากระบี่ฟ้าสร้างขึ้นมา ก็เหมือนพี่สาวคนสวยในความฝันของเขา?
ความคิดนับไม่ถ้วนผ่านเข้ามาในใจของเย่ว์หยาง แต่เขาไม่สามารถคิดอะไรออก
เขารู้แต่เพียงว่าผู้อาวุโสเทียนเจิ้นก็มีพลังมากและอสุรกายดำก็มีพลังมากกว่าล้วนถูกฆ่าตายรวดเดียวโดยฝีมืออสูรจากคัมภีร์เทพฤทธิ์
คัมภีร์เทพฤทธิ์เป็นสิ่งที่ทรงพลังแน่ๆ พูดได้คำเดียวว่าสุดยอด อย่างไรก็ตาม เย่ว์หยางรู้สึกเสียดายเล็กน้อยที่เขายังไม่สามารถเปิดคัมภีร์เทพฤทธิ์ได้ มิฉะนั้น อาจเป็นเหมือนปูเทพเจ้า ทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า เอาชนะศัตรูของเขาได้ทุกคน
แม้ว่านางพญากระหายเลือดและโคเงากำลังวิวัฒนาการ เย่ว์หยางไม่ได้สนใจพวกนางมากนัก เขาวุ่นวายกับการมองหาเสี่ยวเหวินหลี เธอที่เป็นเหมือนลูกรักที่มีค่าของเขาได้หายไป เขาหวังว่าคงไม่เกิดอะไรขึ้นกับเธอ เย่ว์หยางมองไม่เห็นเสี่ยวเหวินหลีในที่ไหนๆ เลยแม้ว่าจะหาดูจนทั่ว หัวใจเขาว้าวุ่นขณะตะโกนว่า “แม่หนูน้อย, ออกมาเร็วๆ เถอะ, เจ้าอยู่ไหน? อย่าทำให้ข้ากลัวสิ..”
ขณะที่เย่ว์หยางคิดว่าเสี่ยวเหวินหลีจะถูกอสุรกายดำทำร้ายจนบาดเจ็บ มันแทบจะทำให้เขาเจ็บปวดใจแล้ว รัศมีสีรุ้งและคัมภีร์เทพฤทธิ์ก็ลอยออกมา
เย่ว์หยางได้กลิ่นที่หอมสดชื่นที่คุ้นเคย
เสี่ยวเหวินหลีตัวน้อยที่ยังอยู่ในสภาพแสงก็โผเข้าอ้อมกอดของเย่ว์หยาง แขนทั้ง 6 ของเธอกอดเย่ว์หยางไว้แน่น
รอยยิ้มสดใสเหมือนดอกไม้บานปรากฏอยู่บนใบหน้าน้อยๆที่น่ารักของเธอ เหมือนดวงอาทิตย์อบอุ่นในยามเช้าเต็มไปด้วยความรัก ในทันใดนั้น ดูเหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกไม่อาจเทียบได้กับความงามของเธอ เย่ว์หยางสงบอารมณ์ขณะมองเธอ เอ่.. นี่ลูกรักที่มีค่าของเขาไม่ใช่เหรอ? เขาหอมแก้มเธอและชูเธอในอากาศและพูดอย่างหมดกังวลว่า “เจ้ากลัวว่าป๊ะป๋าจะตายจริงๆ เหรอ โชคดีที่ทุกอย่างไม่มีปัญหา”
“อือ อือ!” เสี่ยวเหวินหลีพยักหน้าอย่างน่ารัก นัยน์ตากลมโตของเธอกระพริบอย่างรื่นเริง
เมื่อเธอเห็นเย่ว์หยางห่วงใยเธอจากนั้นก็ดีใจเมื่อพบว่าเธอปลอดภัยและส่งเสียงดีใจ เธอไม่รู้จะทำอย่างไรแต่รู้สึกตื่นเต้นเหลือประมาณก่อนที่จะกอดเขาแน่นและจุ๊บเขาเบาๆ ก่อนจะยิ้มสดใสให้เขา
เย่ว์หยางโยนเธอลอยในอากาศแล้วก็รับตัวเธอ ทำให้หนูน้อยหัวเราะชอบใจ ในที่สุดเขาก็วางเธอลงช้าๆ
อีกด้านหนึ่ง นางพญากระหายเลือดผู้มีร่างเปลือยเปล่าหลังจากวิวัฒนาการเสร็จ นางรู้สึกอิจฉาอย่างมาก
ในที่สุดนางก็วิวัฒนาการจนได้หลังจากประสบความยากลำบาก แต่เย่ว์หยางทำเป็นเมินร่างเปลือยของนาง เรื่องนี้ทำให้นางผิดหวังมากจริงๆ โชคดีที่นางไม่สามารถพูดภาษาชาวทวีปมังกรทะยานได้ หรือว่านางจะด่าเขาว่าเป็นพวกโรคจิตชอบเด็ก? ตราบใดที่เจ้านายยังคงมีชีวิต อสูรพิทักษ์จะไม่ตายจริงๆ เขาจะกังวลมากไปทำไม? ยิ่งไปกว่านั้น ปีศาจอสรพิษน้อยนั่นมีอะไรผิดปกติหรือ? นางพญากระหายเลือดปวดหัวจริงๆ มีเจ้านายแบบนี้ทำให้นางกลุ้มใจแทบตาย
พอเห็นว่าเย่ว์หยางเล่นกับเสี่ยวเหวินหลีเสร็จ นางพญากระหายก็เดินขึ้นมาแสดงตัวเป็นนัยๆ ว่า“ข้าเพิ่งจะวิวัฒนาการ ตอนนี้สนใจข้าบ้างสิ”
ใครกันจะรู้ว่าสายตาเย่ว์หยางกับมองข้ามนางไปดูโคเงาแทน?
ถ้านางพญากระหายเลือดมีกระบองอยู่ในมือตอนนี้ นางคงทุบหัวเย่ว์หยางแน่ เป็นไปได้หรือว่าในสายตาของเย่ว์หยาง สาวสวยอย่างนางไม่สามารถเทียบกับโคเงาได้?
โคเงาที่ดูเหมือนโคตัวเมียก่อนหน้านั้น ในตอนนี้ลักษณะของนางไม่เหมือนโคอีกต่อไป โคเงาที่ปรับปรุงโครงร่างครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยไฟลึกลับคอยชำระให้บริสุทธิ์ ดูเหมือนนางจะได้รับประโยชน์มากกว่านางพญากระหายเลือด ขณะที่นางพญากระหายเลือดมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งแต่แรกเริ่มดีอยู่แล้ว และพลังที่นางได้รับมาช่วยให้นางยกระดับขึ้นเป็นอสูรทอง ระดับ 5 อย่างไรก็ตาม โคเงาที่เคยเป็นอสูรทองแดงระดับ 5 ได้พลังวิเศษจากไฟลึกลับทำให้นางวิวัฒนาการเป็นอสูรเงินระดับ 5
แม้ว่านางจะประสบความสำเร็จได้วิวัฒนาการแปรเปลี่ยนรูป โคเงาที่เป็นอสูรทองแดงระดับ 5 อย่างดีที่สุด ก็น่าจะพัฒนาเป็นอสูรเงินระดับ 4
อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ โคเงา มีวิวัฒนาการแปรเปลี่ยนรูปจริงๆ เพิ่มระดับ และเปลี่ยนแปลงโครงร่างในขณะเดียวกัน
เย่ว์หยางตระหนักได้ว่าหลังจากการเปลี่ยนแปลงโครงร่างของโคเงาอย่างมากมาย พอดูโดยรวมแล้ว แตกต่างจากตัวนางในครั้งก่อน ร่างของนางก่อนหน้านี้ สูงเกือบ 3 เมตร แต่ในตอนนี้ขนาดถูกลดลงมาเล็กกว่าเดิม ร่างที่เคยใหญ่โตมหึมา มีกล้ามเนื้อที่บึกบึนน่ากลัว ในตอนนี้ก็ลดลงหายไปด้วย หุ่นของนางกลายเป็นเพรียวมากกว่าเดิม ลักษณะของนางในปัจจุบันนี้ดีกว่าร่างเมื่อก่อนเป็นร้อยเท่า เขาของนางดูไม่หยาบอีกต่อไป แต่กลับมันวาวแทน ยิ่งไปกว่านั้น หุ่นเอวองค์ของนางดูดีขึ้นชัดเจนเหมือนเครื่องจักรนักฆ่าสาวสวย ใบหน้าของนางที่เมื่อก่อนแค่มองดูเป็นโครงร่างผู้หญิงเท่านั้น ตอนนี้กลับกลายเป็นดูดีละเอียดอ่อนขึ้น แม้ว่ารูปลักษณ์นางจะยังไม่ถึงระดับนางงาม แต่นางก็ไม่ดูอัปลักษณ์แล้ว จริงๆ แล้วนางดูเหมือนนักรบหญิงที่กำยำมากกว่า นัยน์ตานางเมื่อก่อนเป็นสีแดงเข้มทั้งหมด ก็กลายเป็นดวงตาของมนุษย์ มีตาขาวอยู่ด้วย อย่างไรก็ตาม แต่ตาดำของนางยังคงเป็นสีแดงเข้ม นอกจากนี้ ความแข็งแกร่งของนางยังคงเพิ่มขึ้นหลายเท่า เย่ว์หยางคาดว่า พลังเนตรประหารของนางคงเพิ่มขึ้นอีกมาก
เกราะหนังวัวพาดอยู่บันร่างนางก็ยังเปลี่ยนลักษณะไปโดยสิ้นเชิงด้วย
ปัจจุบันนี้ โคเงาเถื่อนได้สูญเสียคุณสมบัติของโคเงาในการหลอมรวมก่อนหน้านั้น นางสวมเกราะที่ดูเหมือนนักรบหญิงอเมซอนมากกว่า
นางยังคงมีกล้ามเนื้อและความแข็งแกร่ง แต่ผิวของนางเริ่มดูเป็นเงาและนุ่ม
รูปร่างนางดูใกล้เคียงรูปร่างผู้หญิง ต่างจากเมื่อก่อนที่เอวดูเหมือนเอวหมี หลังดูเหมือนเสือ ตอนนี้นางมีสัดส่วนโค้งเว้าแล้ว แน่นอนว่า ถ้าเอาอวัยวะบางส่วนของโคเงาไปเทียบกับผู้หญิงตามปกติ ไม่ว่าจะเป็นอก เอว สะโพกหรือขา โคเงาจะดูเหมือนผู้หญิงตัวใหญ่ มันก็แค่ว่าเธอดูเหมือนผู้หญิงมากขึ้นในตอนนี้ เรื่องนี้ทำให้เย่ว์หยางโล่งใจมาก ตอนแรกเขาทิ้งความหวังว่าจะทำให้โคเงาวิวัฒนาการเป็นสาวเซ็กซี่ร้อนแรงไปแล้ว เขาประหลาดใจมากกว่าที่นางสามารถวิวัฒนาการเป็นรูปแบบนี้ได้
บางที นางอาจจะกลายเป็นสาวงามก็ได้ หากนางสามารถวิวัฒนาการในเวลาอื่นอีก
“ดีล่ะ ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะตั้งชื่อให้เจ้าว่า อาหมัน.. ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป” เย่ว์หยางตั้งชื่อให้โคเงาอย่างเป็นทางการ เขาเคยเรียกนางด้วยชื่อนี้มาก่อน แต่มันไม่เป็นทางการ
“….” พอเห็นเช่นนี้ นางพญากระหายเลือดรู้สึกหงุดหงิดในใจ จริงๆ แล้วเป็นเหตุการณ์หาได้ยากที่เขาจะตั้งชื่อให้อสูรของเขา บรรดาอสูรมากมาย เขาตั้งชื่อให้เพียงเสี่ยวเหวินหลีและฮุยไท่หลางก่อนเท่านั้น ตอนนี้เขาตั้งชื่อให้โคเงาอย่างเป็นทางการ แต่นางเป็นจ้าวอสูรทอง กลับไม่มีสักชื่อ นางรู้สึกเหมือนชีวิตล้มเหลว
“ทำไมเจ้าไม่ใส่เสื้อผ้าเล่า?” ในที่สุดเย่ว์หยางก็เห็นนางโดยบังเอิญและถามนางอย่างสงสัย
“…..” นางพญากระหายเลือดเกือบเป็นลม ในหัวใจนาง นางคิดว่า เจ้าเพิ่งเห็นข้าตอนนี้หรือ? นี่ถ้าข้าตากหิมะนานขนาดนี้ล่ะก็ ป่านนี้คงแข็งตายไปแล้ว!
“อย่างนี้ก็ดีอีกเหมือนกัน อ่า..ข้าหมายถึง หุ่นเจ้าสวยดีจริงๆ เอ๊ย ขอโทษ ข้าหมายถึง ข้าไม่เห็นอะไร ได้โปรดสวมชุดนี่ก่อนนะ” พอเห็นนางพญากระหายเลือดใช้มือปิดถันและส่วนข้างล่าง เย่ว์หยางกลืนน้ำลายเอื๊อก ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าเสี่ยวเหวินหลียังอยู่ข้างๆ เขาคงหักห้ามใจไม่อยู่ นางช่างยั่วยวนเหลือเกิน ร่างเปลือยของนางผิวขาวราวหิมะทั้งอวัยวะลับและของสงวนแทบจะปิดไม่พ้นจากสายตาเขา
เขาเชื่อว่าเขาไม่ควรสอนสิ่งที่ไม่ดีให้กับเด็กน้อย ในที่สุดเย่ว์หยางก็สงบจิตใจลงอย่างยากลำบาก
พอเห็นอย่างนี้ นางพญากระหายเลือดแอบยินดีในใจ
เพื่อแก้แค้นที่เย่ว์หยางเมินนางก่อนหน้านั้น เมื่อนางสวมชุดที่เขาให้นาง นางจงใจโอ้อวดสรีระของนาง บางครั้งก็ทำเป็นเคลื่อนตัวช้าๆ บางทีก็แกล้งทำเป็นมีอุบัติเหตุเผยให้เห็นวับๆ แวมๆ การกระทำของนางทำให้ใจเย่ว์หยางกระชุ่มกระชวยอีกครั้ง แต่ทำเป็นเมินสายตาไปทางอื่น กล้ามเนื้อเกร็ง คอแทบเคล็ดเนื่องจากเหล่มองด้านข้างมากเกินไป
นางพญากระหายเลือดกระแอมเบาๆ 2-3 ครั้งและเย่ว์หยางแกล้งทำเป็นเหมือนเขาไม่เห็นอะไร เขารีบวิ่งแยกออกมาจากนางทันทีขณะที่มองหาเศษที่เหลือของอสุรกายดำ เขาพบมุกโปร่งแสงและหยิบมันขึ้นมา
พอใช้ญาณทิพย์ตรวจตรา เขาพบบางอย่างที่แปลกตอนแรก เย่ว์หยางคิดว่าอสุรกายดำยังไม่ตายสนิทและซ่อนตัวอยู่ภายในมุก อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาใช้ญาณทิพย์ตรวจดู ก็รู้ได้ว่าไม่มีร่องรอยวิญญาณเหลืออยู่ภายในมุก มีแต่เพียงพลังลึกลับที่อธิบายไม่ถูกอยู่ภายใน มันเป็นพลังงานที่ยังไม่ได้ใช้ แต่สิ่งที่แฝงอยู่ ดูเหมือนจะนิ่งและเกือบจะเผาไหม้ออกมา
เจ้าสิ่งนี้ เอาไว้ใช้ทำอะไร?
เย่ว์หยางไม่เข้าใจแม้แต่น้อย ในทันใดนั้น เขาจำได้ว่าเมื่อเขาถูกอสุรกายดำสะกดจิตให้หลับอยู่ พลังวิญญาณของเขาเกือบถูกมันจับได้ เขาตระหนักได้ทันที อาจเป็นไปได้ว่าจะเป็นเพราะมุกนี้?
พอเริ่มสงสัยมัน ในที่สุด เย่ว์หยางตัดสินใจจะทดสอบมันดู
เขาถือดาบวิเศษฮุยจินไว้ในมือ และนำมุกมาไว้ใกล้ๆ แก่นหลอมเหลวของจ้าวอัคคีและแก่นมังกร ผลก็คือ มุกนี้ทำให้ดาบฮุยจินสั่นรุนแรงไปทั้งเล่ม เหมือนกับว่ามันได้พบปีศาจที่น่ากลัว ในทางตรงกันข้าม เมื่อเย่ว์หยางนำมันมาใกล้อสูรทองตัวน้อยที่กลายเป็นปลอกแขนและยังคงย่อยแก่นมังกรเยือกแข็งยักษ์อยู่ มันยื่นแขนออกมาอย่างละโมบ เหมือนกับว่ามันต้องการจะกลืนมุกด้วยเช่นกัน
“อย่า…แม้แต่จะคิด เจ้าไม่มีส่วนร่วมในการต่อสู้ ดังนั้น ไม่มีส่วนแบ่งให้เจ้า” โดยนิสัยแล้วเย่ว์หยางก็จะไม่ยอมให้อสูรทองน้อยกลืนกินมุกอยู่แล้ว เขาตัดสินใจเก็บมันไว้ในตอนนี้ก่อน เนื่องจากเขายังไม่เข้าใจมัน ไม่ใช่เรื่องผิดที่จะมีสมบัติเพิ่ม เขาคงเก็บมันไว้ในแหวนลิชก่อน แล้วค่อยๆค้นคว้าในภายหลัง
เขายังคงเก็บด้วงหยกขาวของเขาด้วย
ปัจจุบันนี้ด้วงหยกขาวผ่านการเปลี่ยนแปลงแล้ว หลังของมันที่เมื่อก่อนหน้านี้เป็นของมีประกายโปร่งแสง ตอนนี้เพิ่มลายผนึกทองลงไป มันดูคล้ายกับเมื่อก่อน นอกจากมีพลังบริสุทธิ์ สะอาด เย่ว์หยางยังคงพบว่า ยังคงมีปราณปีศาจกลุ่มหนึ่งที่อยู่ลึกภายในตัวด้วงหยกขาว เย่ว์หยางคิดว่านี่คือพลังตกค้างจากกายท่อนล่างของอสุรกายดำ ซึ่งจะกลายเป็นแก้วผลึกหลังจากไม่มีเจ้านายควบคุม เย่ว์หยางรู้สึกว่าเขาสามารถเอาผลึกออกมาและเก็บเอาไว้ในตัวของฮุยไท่หลาง เจ้าฮุยไท่หลางคงกระดิกหางดีใจ ในอนาคตมันอาจวิวัฒนาการไปเป็นเซอเบอรัสก็ได้ หรือก็เป็นหมาป่าปีศาจระดับจ้าวปีศาจ
แน่นอนว่า เพราะผนึกทองนั่น ก็อดคิดถึงเรื่องของมันไม่ได้
เย่ว์หยางเก็บด้วงหยกขาวกลับเข้าไปในกระเป๋าหลังของเขา เขาสับสนในใจมาก เขาซ่อนเจ้าสิ่งนี้อย่างระมัดระวังแน่ๆ มันถูกเก็บไว้ในกระเป๋าในเล็กๆ ที่ก้นเป้หลัง ด้วงหยกขาวตกไปอยู่ในมือของผู้อาวุโสเทียนเจิ้นได้อย่างไร ในเมื่อไม่มีรู และไม่มีจุดรั่วตรงอื่นในกระเป๋าหลังของเขา?เป็นไปได้ไหมว่า เป็นการกระทำของอสุรกายดำ?หรือเป็นไปได้ไหมว่าด้วงหยกขาวที่ดูเหมือนซบเซาเฉื่อยชา ชอบสร้างปัญหาให้กับคนที่อยู่ในระหว่างต่อสู้กันหรือ?
“นี่, ข้าขอเตือนเจ้าไว้เลยนะ อย่าก่อเรื่องยุ่งเพิ่มให้ข้าอีก มิฉะนั้นข้าจะเอาเจ้ามาคั่วกินแกล้มเหล้าซะ” เย่ว์หยางไม่เข้าใจจริงๆ ว่าจะเกิดขึ้นได้อย่างไรและเขาก็ไม่สนใจว่าด้วงหยกขาวจะเข้าใจเขาหรือไม่ เขาแค่เตือนมันอย่างเคร่งครัด
“….” พอเห็นเขาพูดกับตัวด้วงอย่างนั้น นางพญากระหายเลือดได้แต่กรอกตาไปมา อย่างไรก็ตาม นางยังคงรู้สึกว่ามันแปลกมาก นางไม่เห็นเลยว่าด้วงหยกขาวร่วงจากกระเป๋าหลังของเย่ว์หยางได้อย่างไร ด้วยประสาทสัมผัสของนาง นางสามารถรู้สึกถึงทุกอย่างได้ชัดเจนในรัศมีร้อยเมตร เหมือนกับว่านางเห็นมันด้วยตานางเอง นางสามารถรู้สึกถึงสายลมอ่อนพัดโชยผ่านยอดหญ้าได้ อย่างไรก็ตาม นางไม่รู้สึกถึงมันเลยว่า ด้วงหยกขาวออกมาจากกระเป๋าของเย่ว์หยางและหลุดไปอยู่ในมือของผู้อาวุโสเทียนเจิ้นเมื่อใดกันแน่?
นี่เป็นเรื่องลึกลับที่ไม่สามารถคลี่คลายได้
เย่ว์หยางสะสางทุกอย่างและงีบประมาณ 10 นาทีในสนามดวลมรณะก่อนที่จะครบกำหนดเวลาจำกัด 1 ชั่วโมง
จากนั้น กฎในสนามดวลมรณะบังคับเย่ว์หยางเคลื่อนย้ายและอนุญาตให้เขากลับไปจุดเริ่มต้นเทเลพอร์ต เย่ว์หยางยังไม่ทันยืนให้มั่นคง เขาเห็นฉากที่ไม่น่าเชื่ออยู่ต่อหน้าต่อตาเขา ที่ยืนอยู่ก็มีเฟิงขวง หัวหน้าราชองครักษ์วังหลวงแห่งอาณาจักรต้าเซี่ย, บุรุษตาอินทรีที่มีร่างโชกเลือด, ขุนพลอื่นๆ อีก 2 คนที่เย่ว์หยางไม่รู้จัก ทั้ง 4 คนกำลังผลัดกันจู่โจมอย่างบ้าคลั่ง พวกเขาร่วมกันสู้กับผู้อาวุโสเทียนเจิ้น
ผู้อาวุโสเทียนเจิ้นถูกเผาเป็นขี้เถ้าไปแล้วไม่ใช่เหรอ? เขายังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร?
เย่ว์หยางถึงกับปากอ้าตาค้าง….
****************