ตอนที่แล้ววันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0111
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปวันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0113

วันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0112


บทที่ 36 ผู้หยั่งรู้, มาเยือน (1)

* * *

อากาศของต่างโลกค่อนข้างสดชื่น แห้งกำลังพอดี ไม่เย็นหรือร้อนเกินไป

แน่นอนว่าเรื่องราวจะแตกต่างไปถ้าไปเยือนทะเลทรายหรือภูเขาหิมะ

แต่ใช่ว่าทั้งโลกจะเป็นแบบนั้น ดินแดนที่ฉันเคยอยู่สมัยยังดิ้นรนมีลักษณะใกล้เคียงกับเขตร้อน

ทว่า ร่างกายพวกเรากำลังเปียกโชก ไม่ใช่เพราะฝนตก แต่เป็นเพราะอากาศชื้นจนเหงื่อแห้งยาก

“อ๊า!”

ลิลี่ที่เคยปิดปากสนิทตลอดทางและเอาแต่มุ่งหน้าด้วยสายตาดุดัน ส่งเสียงอุทานเป็นครั้งแรก

“เกิดอะไรขึ้น?”

“อากาศชื้นเกินไป!”

ลมกระโชกจากทางใต้กำลังพัดผ่านใบหู

ในแง่การขี่ม้า นี่คือลมต้าน ส่งผลให้ได้ยินเสียงของกันและกันได้ไม่ชัด

ลงเอยด้วย พวกเราวิ่งไปสักพักและหยุดม้า ดูเหมือนทิศจะใต้ไม่เหมาะกับการขี่ม้าสักเท่าไร

พักเหนื่อยเล็กน้อย เราจูงม้าเดินไปยังทางแยกที่เชื่อมกับถนนเส้นเล็กๆ สำหรับขึ้นเขา

เส้นทางข้างหน้าเริ่มมีต้นไม้หนาแน่น หากอ้อมไปตามภูเขาหินจะผ่านหน้าถ้ำที่เคยเจอรูนลิฟวิงเมทัล

กึกกึก!

พวกเราเดินอย่างผ่อนคลาย อันที่จริง เรลิกซิน่าสามารถวิ่งไปตามทางเส้นทางลาดชัน แต่ม้ามีเขาที่ลิลี่และนักบุญหญิงกำลังขี่ ยังขาดความเร็วสำหรับไล่ตามหลังเรลิกซิน่า และฉันคิดว่าไม่ควรให้พวกเธอเผชิญอาการ ‘เมา’ จากการสั่นของม้า

นักบุญหญิงเดินตามหลังลิลี่อย่างเงียบงัน

“สรุปแล้ว อัศวินผู้พิทักษ์ของเธอไปไหน”

นักบุญหญิงจ้องหน้าฉัน

“เธอเกิดอุบัติเหตุ?”

ฉันโล่งใจที่นักบุญหญิงส่ายหน้า

คงเป็นเพราะสาเหตุอื่น แต่ฉันไม่ได้อยากรู้เท่าไร ทุกคนต่างมีเหตุผลของตัวเอง

“เราต้องไปอีกไกลแค่ไหน?”

ได้ยินคำถามลิลี่ ฉันนำแผนที่ออกจากเสื้อ

ตามที่จินซอยอนบอกมา OWIC สำรวจทางใต้ได้ค่อนข้างไกล แผนที่จึงค่อนข้างสมบูรณ์

“ถ้าดูจากเส้นทาง… อาจต้องใช้เวลานานถึงสามสัปดาห์เต็ม”

“เฮ้อ”

“นั่นคือในกรณีที่พวกเรามุ่งหน้าเต็มกำลัง แต่ถ้าเกิดเหตุไม่คาดฝันระหว่างทาง อาจนานถึงสองเดือน”

“ไปกลับ?”

“ขาไปอย่างเดียว”

“…”

ฉันปิดปากสนิทเพื่อไม่ให้หลุดพูดในสิ่งไม่น่าฟัง แต่ถึงจะไม่หันหลังไปมองก็พอจะบอกได้ว่าลิลี่กำลังไม่พอใจ

อันที่จริง การสำรวจทะเลทรายครั้งก่อนก็กินเวลาค่อนข้างนาน พวกเราลำบากกันไม่น้อย

แต่ฉันมีอีกหนึ่งไอเดีย

“อย่างน้อยระหว่างทางก็น่าจะมีไบฟรอสต์สักอัน”

นั่นเป็นแค่การคาดเดา ไม่มีเหตุผลรองรับ แค่ฉันรู้สึกอย่างแรงกล้าว่าน่าจะมี

เส้นทางบนภูเขาค่อนข้างกว้างและมีช่องว่างตามซอกหิน ถ้าเป็นเมื่อก่อนต้องใช้เวลาเดินไม่ต่ำกว่าห้าวัน แต่ปัจจุบันผ่านได้ในสิบชั่วโมง

“จำที่นี่ได้ไหม”

ลิลี่พยักหน้า

เราเคยพบศพมนุษย์ที่นี่ ได้รู้จักรูนลิฟวิงเมทัลและสู้กับมัน

รูนลิฟวิงเมทัลกลายมาเป็นอาวุธที่สำคัญของฉัน

“รูนลิฟวิงเมทัลมีโครงสร้างที่ยืดหยุ่น ช่วยให้ดัดแปลงได้ง่าย”

“งั้นหรือ”

ลิลี่ที่ได้ฟังเรื่องราว พยักหน้าด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น

ขณะพวกเราคุยเรื่อยเปื่อย

“…?”

ฉันสัมผัสถึงความไม่ชอบมาพากลอย่างรุนแรง

“เรลิกซิน่า หยุด”

“กรร…”

เรลิกซิน่าคำรามต่ำราวกับรู้สึกแบบเดียวกัน ส่งผลให้ม้าของลิลี่สั่นกลัวจนชะงักฝีเท้า

“มีอะไร?”

“นี่มัน…”

ฉันค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเองเคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อน

ฉันมองไปรอบตัว ลิลี่เริ่มรู้สึกแบบเดียวกัน

จมูกของลิลี่ไม่ได้เลิศเลอ แต่เธอเชี่ยวชาญกลิ่นหนึ่งเป็นพิเศษ

“…กลิ่นเลือด”

“เลือดมนุษย์”

“บอกได้เลยหรือ”

“เธอแยกไม่ออก? แวมไพร์เนี่ยนะ?”

“แยกออกสิ ข้าแค่แปลกใจที่เจ้าทำได้”

เธอชักมีดออกมาในท่าเตรียมสู้

ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่ฉันสามารถจำแนกเลือดมนุษย์

ทำไมแถวนี้ถึงมีกลิ่นเลือดอีกแล้ว?

“ยังมีลิฟวิงเมทัลหลงเหลือ?”

ฉันใช้มือจับเปลือกไม้ต้นใหญ่ใกล้ภูเขาหินพลางตั้งคำถาม

เปลือกไม้มีเลือดแห้งกรังติดอยู่

“เลือด… ไม่ใช่ของสัตว์”

ฉันพยักหน้ายืนยันคำพูดลิลี่ และพบคราบเลือดใต้ต้นไม้ที่ห่างออกไปหนึ่งก้าว

“…ไม่ใช่ฝีมือลิฟวิงเมทัล”

“แน่ใจได้ยังไง”

“ไม่ใช่รอยตัดด้วยของมีคม น่าจะเป็น… เขี้ยว… ไม่ใช่แผลจากหลอดเลือดแดง ไม่ใช่สัตว์ป่าทั่วไปอย่างหมาป่าสคาเวนหรือหนูยักษ์ภูเขา เจ้านี่รอคอยโอกาสอย่างใจเย็นเพื่อฝังเขี้ยวใส่จุดสำคัญ”

คราบเลือดทิ้งร่องรอยไว้มากมาย

เมื่อคำนึงจากทิศทางที่เลือดหยด เจ้าของแผลกำลังมุ่งหน้าไปทางใต้

ลิลี่ขยับเข้ามาใกล้และนำเลือดไปแตะลิ้น หลับตาลงสักพักก่อนจะพูด

“เลือดเอลฟ์”

เอลฟ์

หมู่บ้านทางใต้ที่นับถือฉันในฐานะผู้หยั่งรู้ มีสัดส่วนประชากรเป็นเอลฟ์และคนแคระสูงมาก มนุษย์เป็นเพียงส่วนน้อย

“ไปกันเถอะ”

ขึ้นม้าอีกครั้ง พวกเรารีบมุ่งหน้าลงใต้

* * *

ฮาวนด์และ OWIC มีความสัมพันธ์แบบทั้งรักทั้งชัง

บางครั้งก็เป็นคนแปลกหน้า บางครั้งก็ยินดีร่วมมือ

ยกตัวอย่างเช่น สถานการณ์ที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต ฮาวนด์และพนักงาน OWIC จะกลายเป็นพวกพ้องที่พึ่งพากันมากกว่าใคร

ค่ำคืนดังกล่าว หลังจากเหตุการณ์เริ่มสงบลง ผู้ตรวจสอบภาคสนามของ OWIC เปิดเครื่องบันทึกเสียง

“วันที่สามของการสำรวจ ราวสามชั่วโมงหลังจากพระจันทร์ขึ้น… ระยะเวลาของภารกิจคือเจ็ดวัน ถ้าฉันยื้อได้ถึงตอนนั้น ทางสำนักงานใหญ่จะพบความผิดปกติและส่งกำลังเสริมมาช่วย”

“บ้าจริง ทำไมภารกิจต้องนานถึงเจ็ดวัน…”

“เงียบน่า”

ผู้ตรวจสอบหันไปมองฮาวนด์ที่กำลังเช็กปืนพก

พวกฮาวนด์พกปืนเถื่อนกันหมดเลยหรือไง?

แต่ในสถานการณ์แบบนี้ เขาตัดสินใจไม่ตำหนิ เพราะปืนกระบอกนี้มีประโยชน์อย่างมาก

ผู้ตรวจสอบบันทึกเสียงต่อ

“ค่อนข้างแน่ชัดว่า สำนักงานใหญ่จะไม่ส่งกำลังเสริมจนกว่าจะถึงเส้นตาย กล่าวคือ พวกเราต้องรออีกสี่วัน”

อัดเสียบจบ ศึกยกใหม่ใกล้จะเริ่มต้นอีกครั้ง

“มาแล้ว! เตรียมตัวต่อสู้!”

เสียงตะโกนดังมาจากตำแหน่งไม่ไกล

เป็นภาษากลางของต่างโลก แต่ผู้ตรวจสอบพูดต่างโลกได้ชำนาญพอสมควร จึงดีดตัวพรวดทันที

เมื่อเดินออกจากบ้านหลังหนึ่ง ฉากตรงหน้าคือทิวทัศน์กำแพงอันแข็งแกร่งของหมู่บ้าน ทางเข้าออกเกือบทั้งหมดถูกปิดตาย มีเพียงประตูหนึ่งบานที่ชำรุดและเปิดอ้า

แม้ด้านหลังซากประตูจะเต็มไปด้วยอุปสรรคกีดขวาง แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะป้องกันการบุกรุกของสัตว์ประหลาด

“ระลอกนี้… เยอะมาก!”

ผู้นำหมู่บ้านหลับตาลงพลางฟังรายงานจากหน่วยลาดตระเวน

“โฮกกกก—”

“กี๊กี๊กี๊!”

เป็นเสียงของสิ่งมีชีวิตที่แต่เดิมอาศัยบนภูเขา พวกมันกำลังกรูเข้าใส่หมู่บ้านพร้อมกับอ้าปากกว้างจนเผยฟันซี่แหลม

หันมองกลับหลัง ชาวบ้านกว่าร้อยคนกำลังถืออาวุธด้วยสีหน้าไม่เก็บซ่อนความกลัว

เอลฟ์เฒ่า — ผู้นำหมู่บ้านและนักบวชที่รับใช้ผู้พเนจรแห่งผืนนภา ฉีกเสื้อคลุมนักบวชที่ขาดรุ่งริ่งของตนจนเคราสั่น

แคว่ก!

เผยให้เห็นไหล่กว้างๆ และกล้ามเนื้อดุจดังหินผา

เคร้ง!

เมื่อเขาใช้ด้ามหอกกระแทกพื้น เสียงคล้ายค้อนทุบโลหะดังกังวาน

“จงละทิ้งความกลัว! ปฏิบัติ!”

“…”

“ปฏิ! บัติ!!”

“ป…ปฏิบัติ!!”

ชาวบ้านตั้งแถวยกอาวุธ เกือบทั้งหมดถือหอกหยาบๆ ที่นำใบมีดมาผูกเข้ากับแท่งไม้ ด้านหลังเป็นหน่วยดาบกับเคียว และด้านหลังสุดคือกลุ่มที่กำลังง้างคันธนู

คนเหล่ามาเป็นทหารเพราะคำสั่งผู้นำหมู่บ้าน ไม่ใช่ทหารอาชีพ ไม่ใช่นักสู้มืออาชีพ แต่ดีที่สุดเท่าที่หมู่บ้านมี

เอลฟ์ตนหนึ่งบนหอสังเกตการณ์ซอมซ่อยิงธนูออกไป การหมั่นฝึกฝนทำให้ฝีมือการยิงไม่ธรรมดา แต่ก็มิอาจสกัดกั้นการรุกรานของผู้บุกรุกเสียสติ

ผู้ตรวจสอบของ OWIC รีบเข้าไปหาเอลฟ์พร้อมกับพูดภาษาต่างโลกตะกุกตะกัก

“ทำไมหมู่บ้านถึงโดนบุก? พวกเราไม่พบแนวโน้มระหว่างการสำรวจเลย”

“ข้าคือเอลฟ์แห่งหมู่บ้านทางเหนือ”

นักบวชเอลฟ์เจ้าของร่างกายกำยำก้มมองเจ้าหน้าที่ด้วยสายตาดุดัน

“เอลฟ์จะเห็นได้ไกลกว่ามนุษย์”

“…คุณรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น?”

“…สปริกแกนกำลังอาละวาด”

“สปริกแกน…”

“ภูตแห่งชีวิตที่อยู่ใกล้ๆ กำลังคลุ้มคลั่ง คงมีบางอย่างเกิดขึ้น แต่ข้าไม่รู้สาเหตุ”

ไม่รู้สาเหตุ

ไม่มีสิ่งใดฟังดูสิ้นหวังไปกว่าการได้ยินคำตอบนี้อีกแล้ว

นักบวชยังคงยืนมองเจ้าหน้าที่โดยไม่ขยับเขยื้อนราวกับหินผา

“พวกเราส่งเอลฟ์ในหมู่บ้านไปสำรวจป่าทางเหนือ เพื่อสนทนากับป่าและไถ่ถามว่าเหตุใดสปริกแกนถึงอาละวาด”

“…ได้คำตอบไหม?”

“ไม่… เขาไม่กลับมา ดูเหมือนว่าจะเกิดปัญหาขึ้น”

เป็นข่าวที่ชวนให้สิ้นหวังเหลือเกิน

แต่สายตานักบวชยังคงไม่สั่นคลอน

ผู้ตรวจสอบอึดอัดกับบรรยากาศดังกล่าว

“ทำไมคุณถึงทำตัวผ่อนคลายนัก?”

“เพราะข้าเชื่อในบางสิ่ง”

“เชื่อในอะไร?”

“วิวรณ์ที่ส่งมาถึงเมื่อคืน”

“วิวรณ์?”

“วิวรณ์ที่แจ้งว่า ผู้หยั่งรู้กำลังเดินทางมาช่วยเรา”

ฮาวนด์ที่ฟังอยู่เงียบๆ พึมพำกับตัวเอง

“…ความเชื่อไร้สาระ”

หมอนี่รู้ภาษาต่างโลกด้วย? ผู้ตรวจสอบค่อนข้างประหลาดใจกับการตอบสนอง

“เคี๊ยกเคี๊ยก!”

สิ่งมีชีวิตรูปร่างคล้ายตุ่นยักษ์โผล่พรวดขึ้นจากดินและจู่โจมฮาวนด์ ผู้ตรวจสอบรีบชักปืนจากซองอย่างชำนาญ

ปัง! ปัง!

“กี๊!”

สัตว์ร้ายกระโจนใส่ฮาวนด์ด้วยท่าทีอ่อนแรง ฮาวนด์ที่ล้มลงผลักศพตุ่นยักษ์ก่อนจะพยุงตัวยืน

จากนั้น

“…บัดซบ!”

ฮาวนด์หันหลังวิ่งหนี

วินาทีที่ข้ามรั้วหมู่บ้านออกไป

พรืด!

เถาวัลย์ผงาดขึ้นจากพื้นและมัดมือเท้าไว้

เพราะเขตดังกล่าวอยู่นอกเหนือความคุ้มครองของพิธีกรรมเอลฟ์

“ช…ช่วยด้วย! อ๊าาาาา—!”

ฮาวนด์สัมผัสถึงแรงรัดจากเถาวัลย์

ทรงพลังจนสามารถหักกระดูกและฉีกกล้ามเนื้อได้ง่ายดาย

“ช่วย…”

ฉัวะ—!

เลือดสีแดงกระเซ็นไปในอากาศ

แต่ไม่ใช่เลือดฮาวนด์

“ทำไมพืชมีเลือดสีแดง?”

“เป็นลักษณ์พิเศษของพืชที่มีการเคลื่อนไหวบ่อย จำเป็นต้องใช้เฮโมโกลบินเพื่อดึงพลังงานจากออกซิเจนในอากาศ”

“ไม่เข้าใจเลยสักนิด”

“ไว้จะอธิบายให้ฟังทีหลัง เธอต้องสนุกแน่ถ้าได้ศึกษาอาหารของตัวเอง”

ทุกสิ่งเกิดขึ้นและจบลงในพริบตา

คนสองคนกำลังสนทนาด้วยท่าทีผ่อนคลาย

ทั้งผู้ตรวจสอบ ฮาวนด์ และเอลฟ์

ไม่มีใครเคยเห็นม้าแบบนั้นมาก่อน

ม้าสีดำที่สามารถไถลตัวเอง โยกซ้ายขวาและเบรกเพื่อหลบการโจมตีของเถาวัลย์ กำลังกระโดดข้ามรั้วหมู่บ้าน

มีม้าที่เก่งขนาดนี้ด้วยหรือ?

ต้องสูงส่งระดับไหน ถึงสามารถครองใจยอดอาชาเช่นนี้?

ชายคนหนึ่งกระโดดลงจากหลังม้าที่แผงขนและกีบเท้าลุกเป็นไฟ

“…คนบ้ามาเยือนแล้ว”

ทั้งฮาวนด์ ผู้ตรวจสอบ นักบวช และชาวบ้านต่างรู้จักดี

ชายผู้สามารถพลิกบรรยากาศหดหู่ให้กลายเป็นสดใสเพียงแค่ปรากฏตัว

“ท่านคนบ้ามาแล้ว!”

“วิวรณ์เป็นความจริง! พวกเรารอดแล้ว!”

“โต้กลับไป!”

ชาวบ้านที่เคยสั่นกลัวเมื่อเห็นฝูงสัตว์ประหลาดบุกข้ามสิ่งกีดขวาง รีบปรี่เข้าหาศัตรูทันทีที่เห็นหน้าผู้หยั่งรู้

คมหอกทะลวงผ่านช่องว่างสิ่งกีดขวาง เสียบเข้าไปในร่างสัตว์ร้ายด้านหลัง

“กี๊—!”

ด้านหลังม้าที่แผงขนเป็นไฟ แวมไพร์สาวกระโดดลงจากม้าที่มีเขาเล็กๆ สองกิ่ง ตามด้วยนักบวชหญิงคาบมีด

“ท่านคนบ้า!”

นักบวชผู้นำหมู่บ้านรีบโค้งศีรษะคำนับ

คนบ้ากวาดตามอง เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ OWIC จึงเดินเข้าไปหา

“อ…เอ่อ…”

เพี้ยะ!

เขาตบหน้าผู้ตรวจสอบจนอีกฝ่ายตื่นตระหนก

ผู้ตรวจสอบไม่ยกมือขึ้นมาจับแก้มแดงระเรื่อของตน เพียงจ้องหน้าคังซอนฮู

“คนของ OWIC ใช่ไหม”

“…”

“ตอบ”

“ค…ครับ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ขึ้นม้าตัวนี้”

“ฮะ?”

“ทำตามที่สั่ง”

ลิลี่จ้องคังซอนฮูที่พูดจาดุดัน

ดูเหมือนว่าเขาจะโกรธหลังจากเห็นชาวบ้านกำลังเดือดร้อน

ผู้ตรวจสอบสูดลมหายใจยาวก่อนจะรีบขึ้นหลังเรลิกซิน่า

“หลังจากนี้ ม้าจะวิ่งเต็มฝีเท้าโดยไม่หยุดจนกว่าจะถึงเบสแคมป์”

“ฮะ?”

“เมื่อไปถึง นำกระดาษแผ่นนี้ไปยืนให้เครื่องปั่นไฟใต้กระท่อมของฉัน”

คังซอนฮูฉีกกระดาษออกมาหนึ่งแผ่น เขียนอักษรที่อ่านไม่ออกและยื่นให้ผู้ตรวจสอบ”

“ไม่กี่ชั่วโมงก็ถึงแล้ว อดทนหน่อยนะ”

“…ฮะ? อ๊า! อ๊าาาา!”

ทันทีที่เรลิกซิน่าได้สัญญาณ เสียงแหกปากของผู้ตรวจสอบดังขึ้นจนกระทั่งลับสายตา

ด้วยความเร็วทัดเทียมดาวตก นักบวชตกตะลึงจนลืมสถานการณ์ปัจจุบัน

แต่ไม่นานก็ก้มศีรษะให้คนบ้าอีกครั้ง

“ยินดีต้อนรับการกลับมาของท่านคนบ้า…”

“ไว้ทีหลัง”

“…”

“ปกป้องผู้คนก่อน”

คนบ้าไม่แม้แต่จะมองเอลฟ์ เพียงเดินผ่านไปทางแนวสิ่งกีดขวาง

ขวดแก้วสามขวดถูกนำออกจากกระเป๋าและใช้สามนิ้วเหน็บคอขวด มืออีกข้างถือมีดสั้น

ชายหนุ่มมองไปทางนักบวชคาบมีดสักพัก นักบวชเดินไปทางฮาวนด์ที่กำลังนอนเจ็บและวางฝ่ามือลงไป

“อึก…”

สีหน้าอันเจ็บปวดจากอาการกระดูกหัก มลายหายไปทันที

ฮาวนด์อุทานขึ้นเมื่อเห็นปาฏิหาริย์ — กระดูกเคลื่อนกลับไปสมานตามเดิม

เอลฟ์หันกลับมามองคนบ้าอีกครั้ง

คนบ้าและแวมไพร์กำลังเดินดุ่มพลางถืออาวุธ

แวมไพร์ถามคนบ้า

“ฝีมือสปริกแกนใช่ไหม? เจ้าบอกว่าเคยสู้กับสปริกแกนมาก่อน”

“ฉันไม่มีทางลืมสงครามกับสปริกแกนเสียสติตัวนั้น”

“ในกระดาษเขียนอะไร?”

มือซ้ายคนบ้าส่องแสง ไม่นานแสงก็กลายเป็นคันศรสีทอง

คนบ้าพูดขณะง้างคันธนูพลางห้อยขวดแก้วไว้กับหัวลูกศร

“ภูตแห่งชีวิตเอ๋ย เจ้านายของแกมาเยี่ยมแล้ว”

______________________

ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร พุธ เสาร์ และอาทิตย์ (1/4)

ติดตามผลงานของผู้แปล และนิยายทุกตอนได้ที่เพจเฟสบุค:

https://www.facebook.com/bjknovel/

หรือพิมพ์ค้นหา: bjknovel

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด