Ep.461 - ผู้ครองแคว้นเข้าร่วมแก๊ง
2/3
Ep.461 - ผู้ครองแคว้นเข้าร่วมแก๊ง
ทางหนึ่งเพราะเมืองฟ้าเดียวดายแข็งแกร่งมาก ต่อให้เมืองธารทะเลทรายจะพัฒนาอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังยากที่จะต่อกร ไม่มีความหวังที่จะเอาชนะได้ในช่วงสองสามเดือนนี้
ในทางกลับกัน ฮังอวี่ยังไม่มีแรงจูงใจถึงขนาดคิดยึดครองตำแหน่งผู้ครองแคว้นในตอนนี้ จะยึดเมืองฟ้าเดียวดายได้หรือไม่ นั่นไม่สำคัญสำหรับเขา
เมืองฟ้าเดียวดายคือเมืองที่ดีที่สุดในแคว้นเดียวดายก็จริง แต่สุดท้ายมันก็แค่นั้น ดินแดนในโลกวิญญาณจะดีจะร้าย สุดท้ายแตกต่างกันแค่อาณาเขตและจำนวนทรัพยากรที่ครอบครอง
เบื้องหลังฮังอวี่คือโลกมนุษย์ที่มีประชากรนับพันล้านคน ดินแดนของเมืองๆเดียวจึงแทบไม่มีความหมายอะไร หากต้องงัดข้อกับผู้ครองแคว้น เวลานี้ยังเร็วเกินไป ไม่ส่งผลดีต่อฮังอวี่ และเรื่องนั้นจะทำให้มังกรครามได้รับความสนใจจากเมืองมังกรตั้งแต่เนิ่นๆ
เมื่อราชามังกรคลั่งเห็นถึงวี่แววของภัยคุกคาม ด้วยอุปนิสัยของมัน ย่อมเปิดฉากโจมตีอย่างแน่นอน
ราชามังกรคลั่งคือราชาที่แท้จริงของอาณาจักรมังกรโลกา!
พลังรบของมันไม่ใช่สิ่งที่ราชาปีศาจทรายสีชาดจะเทียบได้ เป็นขุมกำลังผู้ปกครองอาณาจักรมังกรโลกาอย่างแท้จริง!
หากขัดแย้งกับมันก่อนเวลาอันควร ย่อมไม่ดีและไม่มีประโยชน์ต่อฮังอวี่!
แล้วอีกอย่าง ทั้งเก้าแคว้นต่างมีผู้ครองแคว้น ตราบใดที่มีพลังรบเพียงพอ ฮังอวี่จะไปเป็นผู้ครองแคว้นของแคว้นไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมุ่งเน้นไปที่แคว้นเดียวดายแห่งนี้!
และด้วยเหตุผลเดียวกัน ฮังอวี่คิดว่าถ้าร่วมมือกับเมืองฟ้าเดียวดายโดยไม่ต้องสู้คงเป็นเรื่องดี ทางหนึ่งจะได้ใช้นโยบายของเมืองธารทะเลทราย ซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้ากัน
อีกทางหนึ่งที่เขาไม่ต้องการยึดเมืองฟ้าเดียวดาย นั่นเพราะแม้เมืองฟ้าเดียวดายจะมีเมืองในอาณาเขตของตนกว่า 50 เมือง แต่สุดท้ายแล้วไม่ได้กำไรอะไรมากขนาดนั้น เพราะผู้ครองแคว้นเองก็ต้องจ่ายภาษีเช่นกัน!
และส่วนใหญ่กระจายไปตกอยู่ในมือผู้อื่น ถ่ายโอนไปยังมังกรคลั่งอยู่ดี
ถูกต้อง!
ไม่ว่าจะใหญ่แค่ไหนก็ต้องจ่ายภาษีทั้งนั้น นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้คาลิมัวต้องเอาเปรียบขุนนางเล็กอย่างโหดร้าย ในฐานะขุนนางใหญ่ เขาต้องจ่ายค่าคุ้มครองแก่ราชา จึงจะได้รับการยอมรับเล็กๆน้อยๆจากราชา
คาลิมัวจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเอารัดเอาเปรียบผู้ใต้บังคับบัญชา
อย่าว่าแต่ขุนนางใหญ่เลย ขนาดตำแหน่งผู้ครองแคว้นเองก็ไม่มั่นคงเช่นกัน!
พวกเขาไม่อาจเพิกเฉยไม่จ่ายภาษีได้ เนื่องจากราชามังกรคลั่งมีสามแม่ทัพมังกรใต้บัญชา และแต่ละตนมีพลังรบเหนือกว่าผู้ครองแคว้น !
หน้าที่ของแม่ทัพมังกรคืออะไร? ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการตรวจตราแคว้นทั้งเก้า จับกุมและกำจัดผู้เลี่ยงภาษี!
เฮสการ์ได้ฝึกฝนกองกำลังและผู้ใต้บังคับบัญชามามากว่าร้อยปี
จนตอนนี้ไม่มีขุนนางตนใดสามารถต่อกรกับพวกมันได้!
แต่หากร่วมมือกับฮังอวี่ ร่วมมือกับเผ่ามนุษย์
ทรัพยากรจำนวนมหาศาลที่สะสมไว้ในเมืองฟ้าเดียวดาย จะได้รับการหมุนเวียนและเพิ่มมูลค่า
นี่ไม่เพียงแต่สร้างผลประโยชน์แก่เผ่ามนุษย์อย่างมากเท่านั้น แต่ยังทำให้เมืองฟ้าเดียวดายแก่กล้าขึ้น
นาเซอร์ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ
เพียงแต่ว่านาเซอร์ยังไม่ต้องการหงายไพ่ในทันที
อย่างไรก็ตาม การที่ฮังอวี่สามารถสังหารราชาปีศาจทรายสีชาดได้ มันทำให้นาเซอร์รู้สึกว่าเผ่ามนุษย์แก่กล้าพอ ไม่จำเป็นต้องทำการตรวจสอบอะไรไปมากกว่านี้
“ข้าเฝ้าสังเกตเจ้ามานานแล้ว ในฐานะเผ่าพันธุ์จุติที่เติบโตได้อย่างรวดเร็ว บางทีเจ้าอาจเป็นกองกำลังเดียวที่สามารถต่อกรกับมังกรคลั่งเฮสการ์ได้”
“ในเมื่อเจ้ามีสัญลักษณ์แนะนำจากซามูเอลในมือ ข้าก็สามารถพาเจ้าเข้าร่วมพันธมิตรได้อย่างเป็นทางการ สามารถส่งเสริมความร่วมมือระหว่างเมืองฟ้าเดียวดายกับเมืองธารทะเลทรายได้ทุกด้าน แต่ข้ามีเงื่อนไข”
ฮังอวี่เอ่ยถาม “เงื่อนไขอะไร?”
นาเซอร์กล่าวว่า “ข้อแรก เผ่ามนุษย์ต้องรับรองสถานะและอิทธิพลของข้าในเมืองฟ้าเดียวดายอย่างถาวรโดยไม่มีข้อแม้ ให้คำมั่นว่าเมืองฟ้าเดียวดายจะเป็นเมืองพิเศษของเหล่าออร์คตราบนานเท่านาน”
เป็นเรื่องปกติที่จะยื่นเงื่อนไขนี้
นาเซอร์กังวลเพียงว่าหลังจากที่เผ่าพันธุ์มนุษย์แข็งแกร่งขึ้น พวกเขาจะขับไล่นาเซอร์ออกจากอำนาจ แล้วเข้าแทนที่เสียเอง
ผู้คนต่างมีความเห็นแก่ตัว
กระทั่งนาเซอร์ก็ไม่มีข้อยกเว้น
เขาไม่ต้องการสูญเสียเมืองฟ้าเดียวดายไป อย่างน้อยเมืองนี้ต้องได้รับการปกป้อง
แม้วันหนึ่งข้างหน้า หากนาเซอร์ตกตายหรือต้องออกจากอาณาจักรมังกรโลกา ผู้สืบทอดเมืองฟ้าเดียวดายจะต้องเป็นเผ่าออร์คเท่านั้น
นี่คือการรับประกันว่านาเซอร์จะสามารถทิ้งที่พักพิงให้แก่เหล่าสหายของเขาในอาณาจักรมังกรโลกา
ฮังอวี่กล่าวว่า “เรื่องนั้นไม่มีปัญหา!”
นาเซอร์พูดต่อ “อย่างที่สอง ข้าขอเข้าร่วมองค์กรที่เจ้าก่อตั้งขึ้น และกลายเป็นสมาชิกหลักขององค์กรนับแต่นี้ไป เพลิดเพลินไปกับสิทธิพิเศษที่สมาชิกหลักควรมีนับแต่นี้จนอนาคต”
นี่ค่อนข้างฟังดูแปลกเล็กน้อย
ฮังอวี่นึกไม่ถึงว่านาเซอร์จะเรียกร้องข้อเสนอเช่นนี้
พลังรบของเผ่ามนุษย์ในปัจจุบันอ่อนแอมาก กระทั่งมังกรครามก็ไม่มีข้อยกเว้น อย่างน้อยก็เมื่ออยู่ต่อหน้านาเซอร์ มังกรครามเป็นเพียงน้องชายตัวน้อยๆเท่านั้น
นาเซอร์ในฐานะผู้ครองแคว้น ในฐานะตัวตนคงกระพันในแคว้นเดียวดาย แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังยอมลดตัวเข้าร่วมกับองค์กรมังกรคราม
การตัดสินใจเช่นนี้ ต้องใช้วิสัยทัศน์กว้างไกลมาก ยิ่งไปกว่านั้นต้องใช้หัวใจที่ตั้งมั่น และฮังอวี่ยอมรับมัน!
เอาจริงๆการตัดสินใจของนาเซอร์อาจเป็นเรื่องที่ฉลาดมาก
นาเซอร์พูดเงื่อนไขข้อสุดท้าย “ข้อสาม ข้าต้องการสร้างหอการค้าออร์ค เป็นตัวแทนแลกเปลี่ยนทางการค้าของเผ่ามนุษย์ในเมืองฟ้าเดียวดาย วัสดุทั้งหมดที่นำเข้าและนำออกจะถูกควบคุมโดยเมืองฟ้าเดียวดาย ขอแค่เอ่ยปาก สมบัติของทั้งแดนเหนือ สามารถทำการค้าขายได้!”
นาเซอร์พอจะรู้ช่องทางค้าขายของมนุษย์อยู่บ้าง
ทรัพยากรเมืองฟ้าเดียวดายสามาถรสร้างมูลค่าได้มากเพียงใด? หากเขาได้เป็นตัวแทนขึ้นมา ก็สามารถกินกำไรต่อหนึ่งผ่านส่วนกลางได้ตลอดไป!
แม้อยู่ในโลกวิญญาณ แต่สามารถคิดล่วงหน้าได้ขนาดนี้ ต้องขอยอมรับเลยจริงๆ
“เงื่อนไขของท่านไม่มีปัญหา แต่ผมก็มีเงื่อนไขด้วยเหมือนกัน” ฮังอวี่พูด “ถ้าเมืองธารทะเลทรายต้องการทำสงครามกับสามขุนนางใหญ่ เมืองฟ้าเดียวดายต้องส่งกองกำลังไปช่วย”
นาเซอร์พยักหน้า “ได้สิ ถ้าเกิดสงคราม เมืองฟ้าเดียวดายจะพยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อช่วยเหลือเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่หลังจากยึดทั้งสามดินแดนได้แล้ว ข้าต้องการที่นั่งตำแหน่งขุนนางใหญ่หนึ่งที่”
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ
จากทั้งหมดสี่ที่นั่งขุนนางใหญ่ในแคว้นเดียวดาย เผ่ามนุษย์สามารถครอบครองได้มากสุดสาม ส่วนอีกหนึ่งเป็นของเผ่าออร์ค
ฮังอวี่ลองคิดดู และพบว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะเขาไม่เหมือนกับนาเซอร์ยังไงซะเขาไม่คิดหยุดอยู่แค่แคว้นเดียวดาย แต่เป้าหมายของเขาคือราชาแห่งอาณาจักรมังกรโลกา!
สิ่งที่ฮังอวี่ต้องการมากที่สุดคือเมืองมังกร!
ทั้งสองฝ่ายต่างเจรจารายละเอียดกัน
นาเซอร์หยิบสัญญาออกมาสองม้วน
ม้วนหนึ่งคือสัญญาวิญญาณของพันธมิตรหนามทมิฬ
นี่คือสัญญาวิญญาณสำหรับกลุ่มใหญ่ ตราบใดที่ลงนามสัญญา ฮังอวี่ก็จะกลายเป็นสมาชิกของพันธมิตรหนามทมิฬ นับแต่นี้ไปเท่ากับเขาอยู่ฝั่งตรงข้ามกับราชามังกรคลั่งอย่างสมบูรณ์
อีกอันหนึ่งคือ ‘คำสาบานแห่งเพลิงศักดิ์สิทธิ์’ ซึ่งเป็นสัญญาเฉพาะเขากับนาเซอร์
นี่คือสัญญาสีม่วงอ่อนเลเวล 18 คล้ายคลึงกับ ‘สัญญาวิญญาณเผาไหม้’ ในมือของฮังอวี่ แต่พลังผูกมัดและอำนาจของสัญญาแก่กล้ากว่า
นาเซอร์เขียนเนื้อหาสัญญาทั้งหมดลงในคำสาบาน ทั้งสองลงนามอย่างเป็นทางการ
ตราบใดที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดสัญญา จักต้องฟั่นเฟือนด้วยผลกระทับทางจิต!
ในความเป็นจริง ฮังอวี่รู้ดีว่าสัญญาม้วนนี้มีช่องโหว่อยู่ นั่นคือแม้สัญญาของนาเซอร์จะทรงพลังมาก แต่พลังผูกมัดอยู่ในระดับราชันย์ขั้นซิลเวอร์เลเวล 18 เท่านั้น
หากในอนาคตฮังอวี่เหนือกว่าระดับนั้น สัญญานี้ก็จะไม่มีผลผูกมัดกับเขาอีก
แน่นอน
กว่าจะไปถึงมันไม่ง่าย!
และหากฮังอวี่ไปถึงระดับนั้นจริงๆ เขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องแข่งขันกับนาเซอร์เพื่อสิทธิเหล่านี้อีก สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ภายใต้สัญญาทั้งสองม้วนนี้ เท่ากับเป็นการประกาศว่าทั้งคู่ได้เป็นพันธมิตรกันอย่างเป็นทางการ
แทบจะในทันทีหลังจากนั้น
นาเซอร์ก็ลงนามในสัญญาวิญญาณขององค์กรมังกรคราม ก้าวเข้าสู่มังกรครามอย่างเป็นทางการ กลายเป็นสมาชิกต่างสายพันธุ์คนแรกขององค์กร
ทันใดนนั้นฮังอวี่คล้ายนึกอะไรบางอย่างออก “ยังไงก็ตาม เรื่องซาร์โก ...”
นาเซอร์พูดอย่างใจเย็น “เมืองฟ้าเดียวดายไม่ใช่เสาหินคงกระพัน ซาร์โกผู้นี้แม้ดูเหมือนเป็นมือซ้ายของข้า แต่แท้จริงแล้วเขามีเฮสการ์คอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง เป็นเบี้ยที่จงใจวางไว้ใจเมืองฟ้าเดียวดายเพื่อคอยสอดส่องข้า ดังนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลไป”
ฮังอวี่เอ่ยว่า “มังกรคลั่งทิ้งตัวหมากไว้ในแคว้นเดียวดายด้วย?”
“อย่าประมาทเฮสการ์ เขารับมือยากกว่าที่เจ้าคิด” นาเซอร์กล่าว “นอกจากเบี้ยอย่างซาร์โกแล้ว จากการตรวจสอบของข้า หนึ่งในสี่ขุนนางใหญ่ ขุนนางเมืองเพลิงทมิฬดิลลอน อันที่จริงก็ได้รับการสนับสนุนจากเฮสการ์เช่นกัน”
ฮังอวี่ขมวดคิ้วครู่หนึ่ง
เขาเลือกเกิดที่แคว้นเดียวดาย สาเหตุหลักๆเพราะแคว้นนี้ได้รับอิทธิพลจากเฮสการ์น้อยที่สุด
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า เขายังคงประเมินอีกฝ่ายต่ำไป
มังกรคลั่งผู้นี้ กระทั่งในแคว้นเดียวดายที่อยู่ห่างไกลที่สุด ก็ยังคงมีอิทธิพลอย่างมาก
หนึ่งคือรองขุนนางเมืองฟ้าเดียวดาย
อีกหนึ่งคือขุนนางใหญ่เมืองเพลิงทมิฬ แค่สองตนนี้ก็มากพอแล้วที่จะควบคุมสถานการณ์ในแคว้นเดียวดายให้มั่นคง
อย่างไรก็ตาม
การที่นาเซอร์สามารถตรวจสอบสถานะของทั้งสองได้เช่นนี้ นี่แสดงให้เห็นว่าชูร่าแห่งเลือดผู้นี้มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง!
*อีกตอนมาดึกๆครับ