ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 116 วิธีคิดที่ไม่ธรรมดา
ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 116 วิธีคิดที่ไม่ธรรมดา
แปลโดย iPAT
จ้าวจื่อป๋อมองหลี่ฉิงซานอย่างระมัดระวังด้วยคิ้วที่ขมวดเป็นปด ท่าทีไม่แยแสของหลี่ฉิงซานยืนยันความคิดของเขา
ศพของจอมยุทธ์ที่เสียชีวิตถูกนำออกไปแล้ว ลำดับการต่อสู้ถูกจัดเรียงใหม่แต่จอมยุทธ์หลายคนยังอิจฉาและไม่พอใจหลี่ฉิงซาน อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่กล้ากล่าวสิ่งใดเพราะฝ่ายหลังกลายเป็นผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ไปแล้ว เขาไม่ใช่ตัวตนที่พวกเขาจะสามารถยั่งยุได้อีก
ผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ในศาลามองหลี่ฉิงซานด้วยสายตาเย้ยหยันและอยากรู้อยากเห็น โดยไม่คำนึงถึงเบื้องหลัง คนใหม่ที่หยิ่งผยองมักไม่เป็นที่ชื่นชอบ ยังไม่ต้องกล่าวถึงความจริงที่ว่าหลี่ฉิงซานเข้ามาแทนที่เฟิงจางซึ่งเป็นสหายเก่าของพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นเพียงจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง หลายคนเริ่มคิดว่าพวกเขาจะมอบบทเรียนให้กับเด็กบ้านนอกผู้โง่เขลาคนนี้อย่างไร
หลี่ฉิงซานยืนอยู่ด้านล่างและมองขึ้นไปบนศาลา เขารู้สึกผ่อนคลายยิ่งกว่าผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ที่เล่นพนันและไม่สนใจสายตาที่จ้องมองเขา
ในที่สุดจอมยุทธ์สองคนก็เข้าสู่ลานประลอง
คนทางซ้ายสวมชุดลำลองสีเขียว เขาดูเหมือนเด็กหนุ่มวัยยี่สิบ เขามีผิวที่เรียบเนียนและไม่มีหนวดเคราบนใบหน้า มือของเขาว่างเปล่า หลี่ฉิงซานจำได้ว่าคนผู้นี้ซื้อยันต์ของเขาสองใบ ทั้งสองเป็นยันต์ระดับต่ำ เห็นได้ชัดว่าเขามีภูมิหลังบางอย่าง บางทีเขาอาจมาจากตระกูลขุนนางและเกิดมาพร้อมพรสวรรค์ในการบ่มเพาะพลังปราณ
คนทางขวาแก่กว่ามาก อย่างน้อยเขาก็อายุสามสิบหรือสี่สิบปี เขาสวมเสื้อรัดรูปสีเทา เขามีรอยแผลเป็นที่โดดเด่นมากอยู่บนใบหน้า เขาดูเป็นคนก้าวร้าวรุนแรง มีดาบแขวนอยู่ที่เอวของเขา หากหลี่ฉิงซานเดาถูก คนผู้นี้ควรเริ่มต้นมาจากการเป็นนักดาบและเปลี่ยนพลังภายในให้เป็นพลังปราณที่แท้จริงในภายหลัง
จอมยุทธ์ชุดเขียวเป็นคนมีชื่อเสียงในยุทธภพ เขามีประสบการณ์การต่อสู้ไม่น้อย แต่หยางซ่งเคยกล่าวไว้ว่าท่ามกลางจอมยุทธ์ระดับต่ำ คนที่เคยเป็นนักสู้กำลังภายในมักแข็งแกร่งกว่าคนที่บ่มเพาะพลังปราณตั้งแต่เริ่มต้น
ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปราย ด้วยเสียงฆ้อง การต่อสู้เริ่มต้นขึ้นในที่สุด
จอมยุทธ์ชุดเทากลายเป็นลำแสงสีเทาพุ่งเข้าหาจอมยุทธ์ชุดเขียว เขาดึงดาบออกจากเอวแล้ว การเคลื่อนไหวของเขาทั้งราบรื่นและลื่นไหล ในจังหวะเดียว ดาบที่ส่องแสงเย็นเยียบพุ่งไปที่ลำคอของจอมยุทธ์ชุดเขียว
หลี่ฉิงซานอุทานอยู่ภายใน
จอมยุทธ์ชุดเขียวกางแขนออกอย่างไม่เร่งรีบ เขาถอยหลังไปเหมือนนกที่กางปีกอยู่บนท้องฟ้า จากนั้นลูกไฟขนาดเท่ากำปั้นก็พุ่งออกจากฝ่ามือของเขา
หลี่ฉิงซานรู้สึกสนใจทันที เขาเคยได้ยินหยางซ่งกล่าวว่าพลังปราณไม่เหมือนกำลังภายใน นอกเหนือจากความแข็งแกร่ง มันยังสามารถปลดปล่อยสิ่งที่น่าอัศจรรย์มากมายออกมา โดยพื้นฐานแล้วยันต์คือสิ่งที่เก็บสิ่งมหัศจรรย์เหล่านั้นเอาไว้และสามารถใช้งานได้ตลอดเวลา
ฝนระเหยจากความร้อนของลูกไฟ แม้แต่พื้นดินที่เปียกโชกก็กลายเป็นแห้ง ไอน้ำลอยขึ้นสู่อากาศ ทั้งหมดแสดงให้เห็นถึงความร้อนแรงของลูกไฟ หากบางคนถูกโจมตีด้วยสิ่งนี้ พวกเขาอาจกลายเป็นมนุษย์คบเพลิง
จอมยุทธ์ชุดเทาดูหวาดกลัวแต่ไม่ตื่นตระหนก เขาก้าวเท้าหลบลูกไฟไปทางซ้ายและขวา แม้คิ้วของเขาจะขมวดแน่นแต่การเคลื่อนไหวของเขากลับไม่ได้ช้าลง
จอมยุทธ์ชุดเขียวกลายเป็นฝ่ายตื่นตระหนก เขาประเมินคู่ต่อสู้ต่ำเกินไป เมื่อเห็นคู่ต่อสู้เคลื่อนที่ใกล้เข้ามา เขาตัดสินใจนำยันต์ออกมาและตบมันลงบนตัวของเขาเอง สายลมพลันกรรโชกขึ้นจากใต้ฝ่าเท้าของเขาและทำให้เขาสามารถสร้างระยะห่างออกไป
การต่อสู้ครั้งนี้ทำให้หลี่ฉิงซานได้เรียนรู้ว่าทักษะที่ทรงพลังไม่สามารถนำออกมาใช้ตั้งแต่แรก โดยเฉพาะเมื่อฝ่ายตรงข้ามเป็นจอมยุทธ์ที่เริ่มต้นด้วยการเป็นผู้ฝึกยุทธ์มาก่อน หากเขาเผชิญหน้ากับตัวตนดังกล่าว เขาต้องใช้วิธีต่อสู้ระยะประชิดเท่านั้น
จอมยุทธ์ชุดเขียวล่าถอยพร้อมกับปล่อยลูกไฟออกไปอย่างต่อเนื่อง นั่นทำให้ไอน้ำจำนวนมากลอยขึ้นสู่อากาศและปกคลุมพื้นที่รอบๆเอาไว้ทั้งหมด ทันใดนั้นหนึ่งในลูกไฟของจอมยุทธ์ชุดเขียวก็บินตรงมาทางหลี่ฉิงซาน เมื่อเขาวางแผนที่จะหลบ ใบมีดสายลมก็พุ่งเข้ามาตัดลูกไฟออกเป็นสองส่วน คลื่นความร้อนพัดผ่านตัวเขาและทำให้เสื้อผ้าของเขาหลุดลุ่ยเล็กน้อย
หลี่ฉิงซานเงยหน้าขึ้น ผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์เก็บดาบและแสดงท่าทางเย้ยหยัน
ท่ามกลางกลุ่มไอน้ำ เส้นผมของจอมยุทธ์ชุดเทากลายเป็นยุ่งเหยิง ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยรอยไหม้แต่มันไม่ได้ร้ายแรงมากนัก เขาเคลื่อนที่เข้าใกล้จอมยุทธ์ชุดเขียวมากขึ้นเรื่อยๆด้วยความดุดันและระมัดระวัง
จอมยุทธ์ชุดเขียวที่สูญเสียพลังปราณไปโดยเปล่าประโยชน์ยิ่งตื่นตระหนกมากขึ้น พลังอำนาจของยันต์มีขีดจำกัด สายลมใต้ฝ่าเท้าของเขาค่อยๆกระจายหายไป ด้วยเหตุนี้เขาจึงหยิบยันต์ระดับต่ำอีกแผ่นออกมา
หลี่ฉิงซานส่ายศีรษะ ผลลัพธ์ถูกตัดสินแล้ว การปลดปล่อยพลังอำนาจที่สามารถบดขยี้คู่ต่อสู้ออกมาตั้งแต่แรกคือการตัดสินใจที่โง่เขลาที่สุด ขณะเดียวกันยันต์ก็เป็นสิ่งที่ใช้ได้ครั้งเดียว หากเขาใช้ยันต์ตั้งแต่เริ่มต้น โอกาสที่เขาจะได้รับชัยชนะในภายหลังจะยิ่งน้อยลง สุดท้ายเขาจะลงเอยด้วยความสูญเสียและไม่ได้รับสิ่งตอบแทนใดๆ
ดวงตาของจอมยุทธ์ชุดเทาส่องประกายชั่วร้าย ไม่มีใครรู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่เขาถือยันต์ไว้ในมือซ้าย
ยันต์แตกสลายกลายเป็นแสงสีขาวทำให้ทุกคนตาพร่า
อย่างไรก็ตามหลี่ฉิงซานยังมองเห็นได้อย่างชัดเจน มันเป็นยันต์ระดับต่ำที่ทำให้ผู้คนตื่นตกใจเท่านั้น มันไม่มีพลังอำนาจที่จะทำร้ายศัตรู
ด้วยความหวาดกลัว จอมยุทธ์ชุดเขียวหยุดชะงักเล็กน้อย แต่การต่อสู้ระหว่างจอมยุทธ์จะถูกตัดสินในชั่วพริบตา เมื่อแสงสงบลง ดาบเล่มหนึ่งก็พุ่งผ่านลำคอของเขาไป ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเสียใจ เขายังมียันต์อีกมากมาย หากเขาตัดสินใจใช้พวกมันเร็วกว่านี้ เขาอาจได้รับชัยชนะ น้ำตาสองสายไหลลงมาจากดวงตาของเขาขณะที่เขาหมดลมหายใจ
ทูตชุดดำประกาศเสียงดัง “หลิวอี้หมิงชนะ!”
ประสบการณ์และความเด็ดขาดนำไปสู่ชัยชนะ เรื่องนี้ทำให้หลี่ฉิงซานตระหนักว่ายันต์หรือทักษะเป็นเพียงอาวุธ มันจะมีประโยชน์หรือไม่ล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้ใช้งาน แม้แกะจะมีกรงเล็บและเขี้ยวหมาป่า พวกมันก็ยังเป็นแกะ
อย่างไรก็ตามหลิวอี้หมิงยังล้มเหลวในการสร้างชื่อเสียงให้กับตนเอง เขาถูกจับคู่กับจอมยุทธ์ชั้นสามในรอบที่สอง โชคดีที่เขารวดเร็วพอจึงสามารถรักษาชีวิตเอาไว้
สายฝนโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าที่มืดครึ้ม การแข่งขันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่ทุกรอบที่จะมีศพเนื่องจากผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์พยายามที่จะลดการบาดเจ็บล้มตายของผู้เข้าแข่งขัน
แต่ถึงกระนั้นการโจมตีของผู้เข้าแข่งขันแต่ละคนล้วนทรงพลัง คนส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสแม้แต่จะยอมรับความพ่ายแพ้ เมื่อพวกเขาถูกโจมตี พวกเขาก็จะตาย ชนะหรือแพ้ ชีวิตหรือความตายจะเกิดขึ้นในเวลาเสี้ยวพริบตา
การแข่งขันรอบที่สองสิ้นสุดลง ตอนนี้มีสี่ศพถูกวางไว้ที่ขอบของลานกว้าง เมื่อมองศพเหล่านี้ หลี่ฉิงซานรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่โง่เขลา เดิมทีพวกเขาก็มีชีวิตที่ดีอยู่แล้ว แต่พวกเขากลับเสี่ยงชีวิตเพื่อแสวงหาสิ่งที่ดีกว่า สุดท้ายพวกเขาจึงต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่
ทันใดนั้นหลี่ฉิงซานก็ตระหนักได้ว่าตัวเขาเองก็ไม่ต่างกัน เขาไม่สามารถดูถูกความทะเยอทะยานของผู้อื่น มันจึงช่วยไม่ได้ที่เขาจะส่ายศีรษะเย้ยหยันตนเอง
แต่เขายังไม่เปลี่ยนใจ คำกล่าวที่ว่าควรพอใจกับสิ่งที่ตนเองมีอยู่เป็นเพียงการปลอบใจของคนอ่อนแอ มันเป็นความเชื่อของคนที่สูญเสียแรงจูงใจในการใช้ชีวิตและจิตวิญญาณที่จะก้าวไปข้างหน้า บุรุษต้องมีความฝันที่ยิ่งใหญ่ แม้พวกเขาจะตายก่อนที่จะความฝันของพวกเขาจะเป็นจริง พวกเขาก็จะไม่เสียใจ
เขาปัดเป่าความคิดฟุ้งซ่านออกไปและกลับไปสนใจการแข่งขันอีกครั้ง ตอนนี้สายตาของเขาไม่มีร่องรอยของการเย้ยหยันอีกต่อไป ตรงข้าม มันกลับมีความชื่นชมอยู่ในนั้น จอมยุทธ์เหล่านี้กำลังมุ่งหน้าสู่ความฝันของตน พวกเขาพยายามไขว่คว้าเป้าหมายด้วยการข้ามผ่านอันตรายโดยไม่แยแสต่อความตาย มันคือความคลั่งไคล้ มันคือความตั้งใจ มันคือจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้อันเด็ดเดี่ยว นี่คือสิ่งที่ควรได้รับการยกย่องสรรเสริญ
จ้าวจื่อป๋อให้ความสนใจหลี่ฉิงซานตลอดเวลา เขาสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่ทรงพลังและสายตาแห่งความชื่นชมจากหลี่ฉิงซาน นี่ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะสามารถครอบครองได้ อย่างน้อยผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ที่อยู่ในศาลาก็ไม่มีสิ่งนี้ พวกเขาเต็มไปด้วยความหยิ่งยโสและทำตัวเหมือนกำลังดูการต่อสู้ของสัตว์ร้ายที่อยู่ในกรง มีเพียงหลี่ฉิงซานเท่านี้ที่ชื่นชมการต่อสู้และปรารถนาที่จะต่อสู้
โจวเหวินปิงให้ความสนใจหลี่ฉิงซานเช่นกัน เขารู้สึกว่าเด็กหนุ่มผู้นี้มีกลิ่นอายที่แตกต่างจากคนทั่วไป แต่ไม่ว่าเขาจะพิเศษเพียงใด มันก็ไร้ประโยชน์หากความแข็งแกร่งของเขาไม่เพียงพอ เด็กหนุ่มอายุสิบหกที่เป็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งอาจถือว่าค่อนข้างมีพรสวรรค์ในเมืองเจียเผิง แต่หากกล่าวถึงมณฑลชิงเหอทั้งหมด มันไม่พิเศษเลย เขาอาจใช้เวลาทั้งชีวิตอยู่ในฐานะผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ระดับต่ำ หากเขาสามารถสร้างทะเลปราณ นั่นจะถือเป็นโชคดีของเขา
โจวเหวินปิงมองไปทางจ้าวจื่อป๋อและส่ายศีรษะ มันเป็นเรื่องยากที่หลี่ฉิงซานจะก้าวไปถึงระดับนั้นภายใต้ผู้บังคับบัญชาเช่นนี้
หลี่ฉิงซานยังมีประสบการณ์น้อยมาก การเฝ้ามองการต่อสู้ของจอมยุทธ์เหล่านี้ทำให้เขาได้รับประโยชน์ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นทักษะหรือวิธีการที่แปลกประหลาด พวกมันล้วนเป็นประสบการณ์แปลกใหม่สำหรับเขา เขาไม่เพียงเฝ้ามองแต่เขายังคิดอยู่อย่างเงียบๆว่าเขาจะจัดการกับพวกมันอย่างไร หลังจากทั้งหมดนี่เป็นการเตรียมตัวหากเขาต้องเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านั้นในอนาคต