ตอนที่ 6-8 จิตสังหารที่รุนแรง
การลอบสังหารลินลี่ย์ครั้งนี้ ทางด้านลินลี่ย์นั้นต้องเสียคนของกองอัศวินจากวิหารเจิดจรัส18 นาย หญิงรับใช้ 4 คน และบ่าวรับใช้ 2 คน ด้วยเหตุนี้เอง วิหารเจิดจรัสจึงได้เสริมกำลังป้องกันและรักษาความปลอดภัยภายในคฤหาสน์มากกว่าเดิม
ในคืนวันลอบสังหาร ในคฤหาสน์
"ลินลี่ย์ เจ้าเป็นอะไรหรือไม่?" ราชาเคลย์ถามอย่างร้อนรน
"ข้าบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น ฝ่าบาท" มีผ้าพันแผลพันอยู่บนแขนของลินลี่ย์
อันที่จริงลินลี่ย์ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆเลยในระหว่างที่ต่อสู้กันแต่เขาไม่ต้องการเปิดเผยความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขาให้ใครรู้ ดังนั้นเขาจึงสร้างบาดแผลเล็กน้อยขึ้นมาบนแขนด้วยการกรีดสิ่วลงไป
สำหรับลินลี่ย์ที่ผ่านความเจ็บปวดแสนสาหัสจากกระบวนการแปลงร่างเป็นมังกรมาก่อนบาดแผลแค่นี้เล็กน้อยกว่ามดกัดเสียอีก
"ตราบเท่าที่เจ้าสบายดี ลินลี่ย์"ดยุคแพตเตอร์สันยืนหัวเราะออกมาข้างๆราชาเคลย์
ลินลี่ย์มองไปที่ดยุคแพตเตอร์สัน
อันที่จริงคืนนี้นั้นลินลี่ย์ได้นัดพบปะกับดยุคแพตเตอร์สันไว้แต่เมื่อเกิดเหตุลอบสังหารครั้งนี้ขึ้นมา พวกเขาก็ไม่มีโอกาสสนทนากันเป็นการส่วนตัวในคืนนี้อีกแล้ว
"น้องรอง ให้เขาไปพักผ่อนเถอะพวกเราไม่ควรอยู่รบกวนเขานานจะดีที่สุด" ราชาเคลย์กล่าว
"ข้าเองก็เห็นด้วย ฝ่าบาท" แพตเตอร์สันชำเลืองมองลินลี่ย์และตามราชาเคลย์ออกไป
ลินลี่ย์รู้สึกได้ถึงแววตาอับจนหนทางของแพตเตอร์สันมองมาที่เขาบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าตามแผนเดิมของแพตเตอร์สันเขาต้องมีเรื่องที่ต้องการสนทนาเป็นการส่วนตัวกับลินลี่ย์
แต่เห็นได้ชัดว่า ตอนนี้ไม่อาจสนทนาได้อีกต่อไป
ผ่านไปอีกหลายวัน สถานการณ์ที่คฤหาสน์ก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
"นายท่าน วันนี้ 18 พฤษภาคม ใช่ไหม?" บีบี ที่กำลังมีความสุขกับอาหารกลางวันของมันข้างๆลินลี่ย์พูดขึ้นในใจ
"ใช่, มีอะไรงั้นรึ?" ลินลี่ย์มองบีบี
บีบีย่นจมูกเล็กๆของมันพูดว่า "นายท่าน ท่านลืมไปแล้วอย่างนั้นรึ? เบอร์นาร์ด ผู้นำตระกูลเด็บส์กล่าวไว้ว่าวันที่ 18 มิถุนายนจะมีพิธีหมั้นของบุตรชายของเขา เขาเชิญท่านไปร่วมงานด้วยนะ วันนี้วันที่ 18พฤษภาคมแล้ว? ท่านเหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น"
“พิธีหมั้นงั้นรึ?”
ลินลี่ย์สะดุ้ง
อีกหนึ่งเดือนให้หลัง อลิซจะหมั้นกับคาลัน
"นั่นไม่ใช่เรื่องของข้า" ลินลี่ย์คืนสู่ความเยือกเย็นอย่างรวดเร็วก้มหน้าก้มตาทานอาหารต่อไป
บีบี กรอกดวงตาเล็กๆ อันวาววับเป็นวงกลมสามรอบจากนั้นใช้อุ้งเท้าเล็กของมันลูบคางไปมาเบาๆ สีหน้าของมันเปลี่ยนเป็นงงงวยมันพูดออกมาว่า "เป็นไปได้หรือไม่ว่าข้า, บีบีผู้นี้เข้าใจผิด? กรณีนี้ไม่น่าพลาด ตัวข้านั้นสุดยอด ดังนั้น การคาดคะเนของข้าย่อมไม่มีทางพลาดในหัวใจของนายท่านยังไม่อาจตัดใจจากเรื่องนี้ได้ หากเป็นข้า บีบีผู้นี้ละก็ข้าใช้แค่มือเดียวก็ทุบกะโหลกเล็กๆของเจ้าคาลันนั่นให้แตกได้ในคราเดียว"
"ใต้เท้าลินลี่ย์"
อัศวินองครักษ์คนนึงเข้ามายังห้องโถงใหญ่ "ใต้เท้าลินลี่ย์คาร์ดินัลกิลเยโมขอเข้าพบท่าน"
"กิลเยโมงั้นเหรอ?" ลินลี่ย์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง วางมีดกับส้อมแล้วเดินออกไปที่ประตูทันที
ในบรรดานักบวชทั้งหมดของวิหารเจิดจรัส คนที่ลินลี่ย์คุ้นเคยและสนิทสนมมากที่สุดก็คือคาร์ดินัลกิลเยโมเมื่อผู้อื่นสุภาพกับลินลี่ย์เช่นที่กิลเยโมทำ ย่อมเป็นธรรมดาที่ลินลี่ย์จะไม่แสดงท่าทางสูงส่งหยิ่งยโส อย่างเช่นการคิดว่าตัวเองนั้นเหนือกว่า
"ลินลี่ย์ ข้ามีเรื่องบางอย่างต้องบอกเจ้า" เมื่อเห็นลินลี่ย์ขณะที่กิลเยโมพูดเขายิ้มแย้มอย่างยินดี
ลินลี่ย์มองกิลเยโมอย่างสงสัย "เรื่องอะไรงั้นรึ?"
กิลเยโมกล่าวอย่างยิ้มแย้ม "ลินลี่ย์ เจ้าทราบเรื่องที่วิหารเจิดจรัสของเรานั้นมีผู้ทรงพลังอย่างโยคีไหม?
"ใช่แล้ว ข้าทราบดี" ลินลี่ย์พยักหน้า
ก่อนหน้านี้ เมื่อตอนที่เขาโดนลักพาตัวไปโดยเหล่ายอดฝีมือจากพันธมิตรมืดก็ได้รองผู้คุมกฎและโยคีรวมไปถึงเหล่าตุลาการกดดันศัตรูจากไปหลังจากนั้นเขาจึงสามารถกลับสู่เมืองเฟนไลได้
"ในวิหารเจิดจรัสของเรา มีจอมเวทและนักรบจำนวนมากที่อยู่ในระดับโยคีไม่ว่าอัศวินของวิหารเจิดจรัส หรือกลุ่มผู้คุมกฎในบรรดายอดฝีมือมีหลายคนที่ขึ้นถึงระดับโยคี"
กิลเยโมยิ้มแย้มและตบไหล่ของลินลี่ย์เบาๆ "ข้าแค่อยากจะบอกเจ้าว่าเจ้ามีโอกาสได้เป็นลูกศิษย์ของ โยคีผู้เป็นตำนาน"
"โยคีผู้เป็นตำนาน?" ลินลี่ย์ขมวดคิ้ว
กิลเยโมยิ้มเล็กน้อย "โยคีผู้เป็นตำนาน ท่านนี้อยู่ในระดับสูงสุดแม้กระทั่งในบรรดาโยคีทั้งหมด นอกจากนี้ท่านยังมีฐานะสูงมากภายในวิหารเจิดจรัสของเราส่วนพลังของท่าน ทั่วทั้งทวีปยูลานคงจะมีแค่ 'สามพิสดาร' ที่เหนือกว่าท่าน"
“สามพิสดารยังงั้นรึ” ลินลี่ย์สนใจขึ้นมาทันใด "ใต้เท้ากิลเยโม 'สามพิสดาร' ที่ท่านกล่าวถึงคือผู้ใดกัน?"
ระหว่างที่สนทนากันอยู่นั้น ทั้งสองเดินกลับไปถึงห้องโถงใหญ่แล้ว
กิลเยโม ไม่ได้ตอบกลับทันที เขาชำเลืองมองไปที่นักบวชด้านข้างเขาและนักบวชเหล่านั้นกันทุกคนออกจากห้อง และปิดประตูทันที
ข้างในห้องโถงใหญ่ จึงเหลืออยู่แค่ลินลี่ย์ กิลเยโม และบีบี
"ลินลี่ย์ในอนาคต เป็นไปได้ว่าเจ้าอาจจะได้เจอกับคนเหล่านี้บอกเจ้าให้รู้เรื่องพวกเขาไว้ตั้งแต่ตอนนี้ก็ดีเหมือนกัน"กิลเยโมกล่าวก่อให้เกิดบรรยากาศลึกลับ
ลินลี่ย์มองกิลเยโมด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น
กิลเยโมถอนหายใจ "ทวีปยูลานมีคนที่ก้าวผ่านจนเหนือกว่านักสู้ระดับเซียนไปได้อยู่สามคน นั่นก็คือ 'สามพิสดาร' ที่ข้าได้กล่าวถึงก่อนหน้านี้"
"คนเหล่านั้นที่ทะลวงผ่านระดับเซียนไปได้? ไม่ใช่ว่าพวกเขานั้นอยู่ระดับเทพเจ้าเลยรึ?" ลินลี่ย์ตกตะลึง
"ใช่แล้ว เจ้าอาจกล่าวได้ว่าพวกเขาเป็นเทพเจ้าได้เลย"กิลเยโมพยักหน้า
ลินลี่ย์ขยับตัวเข้าไปใกล้กว่าเดิมเพื่อจะได้ฟังได้ชัดเจนขึ้น
กิลเยโมกล่าวช้าๆ "ทั่วทั้งทวีปยูลาน มีอยู่ผู้ได้รับฉายา 'พิสดาร' อยู่เพียงแค่ 3 คน อันได้แก่ พิสดารแรก 'นักบวชสูงสุดแห่งวิหารชีวิต' จากจักรวรรดิยูลาน ผู้คนมากมายเรียกเขาสั้นๆว่า 'นักบวชสูงสุด' แม้แต่ข้าเอง ก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าท่านนักบวชสูงสุดมีอายุเท่าใด? เขามีชีวิตอยู่มานานมากแล้ว"
ลินลี่ย์พยักหน้า
กิลเยโมกล่าวต่อว่า "พิสดารสองเองก็มีชีวิตอยู่มานานแล้วเช่นกันเขาเป็นผู้ปกครองที่แท้จริงของสถานที่ซึ่งอันตรายที่สุดของทวีปยูลานนั่นก็คือป่าแห่งความมืด ผู้พิสดารคนนี้เป็นอสูรเวทในธรรมชาติแต่เขาได้บรรลุถึงระดับที่สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้แล้ว ลินลี่ย์เจ้าน่าจะทราบดีว่า เมื่ออสูรเวทบรรลุระดับเซียนจะสามารถพูดคุยด้วยภาษาของมนุษย์ได้ แต่จะไม่สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ เจ้าลองจินตนาการถึงความน่ากลัวของอสูรเวท ที่แปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ดูสิ"
ลินลี่ย์พยักหน้าเล็กน้อย
เขาเคยได้ยิน เดลิน โคเวิร์ท ได้กล่าวถึง พิสดารทั้งสองท่านนี้สองคนนี้เป็นผู้ไร้เทียมทานมาตั้งแต่ตอนที่เดลิน โคเวิร์ท ยังมีชิวิตอยู่
"แล้วพิศดารสามล่ะ?" ลินลี่ย์ถาม
กิลเยโมถอนหายใจ"บุคคลที่สามนี้เป็นคนที่แม้แต่ข้าเองก็ยังให้ความเคารพเขาเป็นอย่างยิ่งเขาเป็นจักรพรรดิผู้ก่อตั้งจักรวรรดิโอเบรียนจักรวรรดิที่มีกองกำลังทหารแข็งแกร่งที่สุดในทวีปยูลาน ผู้คนเรียกเขาว่า 'เทพสงครามโอเบรียน' "
"โอเบรียนยังงั้นรึ?" ลินลี่ย์จำชื่อนี้ได้
จักรวรรดิโอเบรียน ตั้งชื่อตามบุคคลผู้นี้ย่อมสามารถจินตนาการถึงความมหัศจรรย์ของเขาได้
"เมื่อ 5,000 ปีก่อน ชื่อเสียงของเทพสงครามผงาดขึ้นมาอย่างรวดเร็วหลังจากเอาชนะนักสู้ระดับเซียนคนแล้วคนเล่า ในยุคนั้นมีนักสู้ชั้นยอดมากมายหลายคนอย่างเช่น 'สุดยอดนักรบทั้งสี่' ที่สร้างชื่อขึ้นมาในยุคนั้น" กิลเยโมกล่าวพร้อมกับยิ้มให้ลินลี่ย์
ลินลี่ย์นึกย้อนกลับไปถึงบรรพชนของเขา 'บาลุค'
ผู้นำคนแรกของตระกูลบาลุคเอง ก็สร้างชื่อขึ้นมาเมื่อ 5,000 กว่าปีก่อนเช่นเดียวกัน
"ย้อนไป ณ ตอนนั้น สุดยอดนักรบทั้งสี่ทรงพลังมากแต่ความสามารถของพวกเขาล้วนถูกความสามารถของเทพสงครามบดบังไปจนหมดสิ้นเทพสงครามเอาชนะนักสู้ระดับเซียนที่ทรงพลังคนแล้วคนเล่า และสุดท้ายแม้แต่การปะทะกันในสงครามครั้งใหญ่กับนักบวชสูงสุด กลางอากาศเหนือแม่น้ำยูลานระหว่างการต่อสู้กันของพวกเขาเพียงแค่คลื่นอัดกระแทกอย่างเดียวก็คร่าชีวิตผู้คนไปนับหมื่นคน สุดท้ายทั้งจักรวรรดิโอเบรียนและจักรวรรดิยูลานต่างยอมแพ้และยอมให้ดินแดนขนาดใหญ่นั้นแยกตัวเป็นอิสระกำเนิดเป็นอาณาจักรอิสระใหม่3 อาณาจักรเป็นเขตกันชนระหว่างจักรวรรดิใหญ่ทั้งสอง"กิลเยโมถอนหายใจอย่างมีอารมณ์ร่วม
"ลินลี่ย์ ในจิตใจของผู้คนมากมาย นักบวชสูงสุดนั้นเป็นมนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่แต่เทพสงครามกลับสามารถต่อสู้กับนักบวชสูงสุดได้อย่างสูสีแต่เทพสงครามในตอนนั้นมีอายุเท่าไหร่กันละ? นี่เป็นเหตุที่ทำให้คนจำนวนมากหวาดกลัวเขา ใครจะรู้ละว่าผ่านไป 5,000 ปีพลังของเขาจะก้าวหน้าไปอยู่ระดับไหน? หลังจากผ่านการฝึกฝน 5,000 ปี" กิลเยโมถอนหายใจอย่างยกย่อง
ลินลี่ย์ลอบพยักหน้าเห็นด้วย
"เทพสงครามผู้นี้ เขาต่อสู้กับนักบวชสูงสุดได้อย่างสูสี?" เสียงของ เดลิน โคเวิร์ท ดังขึ้นในใจ "
เป็นไปได้อย่างไรกัน?"
ย้อนกลับไปในยุคของ เดลิน โคเวิร์ท ความสามารถของนักบวชสูงสุดบดบังความสามารถของทุกผู้คนบนโลก
ในหัวใจของเดลิน โคเวิร์ท นักบวชสูงสุดไร้เทียมมาน
"ท่านปู่เดลิน สุดยอดนักสู้ถือกำเนิดในทุกยุคทุกสมัย ตัวท่านปู่เดลินเองหากว่าท่านไม่ตายไปเสียก่อน และฝึกฝนต่อไปเรื่อยๆไม่แน่ว่าท่านอาจกลายเป็นสุดยอดนักสู้เช่นเดียวกับนักบวชสูงสุดก็ได้" ลินลี่ย์กล่าวตอบในใจ
เดลิน โคเวิร์ท ถอนหายใจออกและไม่พูดอะไรอีก
"พูดถึงสามพิสดารมาพอแล้ว ผู้ที่ข้าจะแนะนำให้เจ้ารู้จักนั้นเพียงด้อยกว่าสามพิสดารเท่านั้น หากเจ้าได้เป็นลูกศิษย์ของเขามันย่อมเป็นประโยชน์ต่อการเพิ่มพูนพลังเวทของเจ้าเป็นอย่างยิ่ง" กิลเยโมกล่าว
ลินลี่ย์หัวเราะอยู่ในใจ
ด้อยกว่าเพียงแค่สามพิสดาร....ไม่ใช่ว่าคนผู้นั้นสมควรจะเป็นท่านปู่เดลินที่อยู่ในจุดสูงสุดของระดับเซียนหรอกหรือ?
"โยคีท่านนั้นมีนามว่าอะไร?" ลินลี่ย์ถาม
"เขามีนามว่า. ... ท่านใบไม้ร่วง"
เขตสลัมของเมืองเฟนไล ลินลี่ย์เพิ่งจะได้รู้ตอนนี้เองว่า แม้แต่เมืองใหญ่อย่างเฟนไลที่มีความเจริญรุ่งเรืองอย่างมากในทวีปยูลาน มีสถานที่เปลี่ยวร้างเช่นนี้มันเลวร้ายยิ่งกว่าบ้านเกิดของเขา เมืองอู่ซันเสียอีก
ขณะนี้ ลินลี่ย์กับกิลเยโมเดินเคียงคู่กันมาในตรอกเหม็นสาบและสกปรก
"ใต้เท้ากิลเยโม ท่านใบไม้ร่วงที่ท่านพูดถึงอาศัยอยู่ในสถานที่เช่นนี้เหรอ" ลินลี่ย์ไม่อาจทำใจให้เชื่อได้
"ถูกแล้ว" กิลเยโมพยักหน้า"ลินลี่ย์ จงจำไว้ ท่านใบไม้ร่วงรังเกียจเหล่าขุนนางที่คิดว่าตัวเองสูงส่งกว่าผู้อื่น ดังนั้นเจ้าต้องถ่อมตัวและสุภาพแม้กระทั่งต่อผู้ยากไร้เหล่านี้"
ลินลี่ย์มองไปยังผู้คนบนถนนในเขตสลัม
ห่างออกไปไม่ไกลนัก เขาเห็นเด็กอายุ 7-8ขวบเป็นโรคขาดสารอาหารเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูกและสวมเศษผ้ากระดำกระด่างส่งกลิ่นเหม็นสาบเด็กคนนี้จ้องมองลินลี่ย์ด้วยความหวาดกลัว
เนื่องจากความผอมแห้งของเขาทำให้เฉพาะดวงตาลึกโหลของเขาดูใหญ่ขึ้น
ดวงตาบริสุทธิ์ไร้เดียงสานั้น ทำให้ลินลี่ย์หัวใจสั่นไหว
ลินลี่ย์ไม่ได้ทำสิ่งใด ยังคงเดินต่อไปเคียงข้างกิลเยโม บนถนนลินลี่ย์เห็นเด็กยากไร้คนแล้วคนเล่า
พวกเขาไม่มีแม้กระทั่งเสื้อผ้าที่สมบูรณ์แม้แต่ชิ้นเดียวและทั้งหมดดูยากจนอย่างยิ่ง
"เรามาถึงแล้ว" กิลเยโมพูดขึ้น
ลินลี่ย์อดหันหน้าไปมองไม่ได้
พวกเขากำลังยืนอยู่หน้าที่กระท่อมที่สร้างขึ้นมาอย่างง่ายๆโดยใช้เหล็กเป็นโครงชายชราที่ดูคล้ายขอทานนั่งอยู่กลางอาคารชายชรานั้นผอมจนทำให้หัวใจของคนผู้หนึ่งสั่นไหวและผิวทั่วทั้งร่างของเขาเหี่ยวย่นมือของเขาดูราวกับตีนไก่ ที่มีเพียงหนังและกระดูก
ชายชรามองลินลี่ย์ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
"ใต้เท้าใบไม้ร่วง" กิลเยโมกล่าวอย่างเคารพ
"เขาคือใต้เท้าใบไม้ร่วงจริงๆ?" ลินลี่ย์ไม่แน่ใจ แต่เห็นกิริยาท่าทางของกิลเยโมแล้ว เขาจึงจำใจเชื่อ
แต่ว่าชายชราตรงหน้าเขาที่ดูคล้ายขอทานที่ดูไม่อาจต้านทานแม้แต่ลมพัดผ่านเบาๆคนนี้เป็นนักสู้ระดับเซียน ใต้เท้า 'ใบไม้ร่วง' จริงๆหรือ?
"กิลเยโม คนผู้นี้เด็กหนุ่มมากพรสวรรค์ที่เจ้าเคยบอกข้า?" ชายชราถาม
"ใช่แล้วขอรับ ใต้เท้าใบไม้ร่วง" กิลเยโมกล่าวอย่างเคารพ
"ท่านปู่ใบไม้ร่วง ท่านปู่ใบไม้ร่วง รีบไปช่วยท่านแม่ของข้าด้วยมีคนมาทุบตีทำร้ายนาง!" น้ำเสียงเยาว์วัยของเด็กสาวดังออกมาเธอแบกแม่ผู้ผอมบางมาบนหลัง
ชายชราหันกลับไปทันและยื่นแขนขวาออกไป
บาดแผลสาหัสก็เริ่มสมานตัวอย่างรวดเร็วด้วยความเร็วเหลือเชื่อภายใต้แสงศักดิ์สิทธิ์
ชายชราหันกลับมามองลินลี่ย์"ข้าจะสอนเพียงแต่ผู้ที่มีหัวใจและจิตวิญญานอันบริสุทธิ์เท่านั้นแต่เจ้า...หัวใจของเจ้า เต็มไปด้วยจิตสังหารท่วมท้น ข้าจะไม่สอนเจ้า"
กิลเยโมอดประหลาดใจกับคำพูดนี้ไม่ได้
"จิตสังหารท่วมท้นอย่างงั้นรึ?" ลินลี่ย์เผยรอยยิ้มออกมา
ความเจ็บปวดของลินลี่ย์ที่ยังไม่อาจแก้แค้นให้กับบุพการีได้นั้นไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้เขาปรารถนาจะฆ่าแพตเตอร์สันทุกๆนาทีแต่เขายังคงอดทนบังคับให้ตัวเองใจเย็นและไม่หุนหันพลันแล่น แต่เพราะการเก็บกดเช่นนี้เองเป็นเหตุให้จิตสังหารของลินลี่ย์ยิ่งเติบใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ
"เช่นนั้นแล้ว ใต้เท้าใบไม้ร่วง ข้าขอตัวลาก่อน" ลินลี่ย์คารวะแล้วหมุนตัวเดินจากไปอันที่จริงขอทานชราอยากจะให้คำแนะนำเพิ่มอีกเล็กน้อยแต่เมื่อเห็นลินลี่ย์เดินจากไปอย่างเรียบง่ายและไม่แยแส เขาอดแปลกใจไม่ได้ แต่แล้วเขาก็เผยรอยยิ้มออกมา