ตอนที่ 5-17 กลับบ้าน
ทั้งสองด้านของห้องโถงประมูลที่เต็มไปด้วยขุนนางที่ร่ำรวยตรงกลางกลุ่มขุนนางแหวกออกเป็นทางเพื่อที่จะให้คาร์ดินัลกิลเยโมและแลมป์สัน ของวิหารเจิดจรัสราชาเคลย์แห่งอาณาจักรเฟนไล ผอ.ไมอาจากหอศิลป์พรูกซ์, คุณชายเยลของหอการค้าดอว์สันและย่อมรวมถึงจอมเวทอัจฉริยะที่เป็นนักแกะสลักอัจฉริยะอาจารย์ลินลี่ย์
คนเหล่านี้เดินในระเบียงทางเดินกลาง พวกเขาพูดคุยและหัวเราะไปด้วยกันในขณะที่พวกเขาเดินมุ่งหน้าไปยังทางออกของหอศิลป์พรูกซ์
"ใต้เท้ากิลเยโม ใต้เท้าแลมป์สัน"
"ฝ่าบาท"
"อาจารย์ลินลี่ย์"
…..
ขุนนางที่อยู่รอบๆทั้งหมดกำลังยิ้มและทักทายพวกเขาเต็มไปด้วยความสุภาพและไมตรีจิตอย่างไรก็ตามตระกูลเด็บส์นั้นได้ถูกเบียดจนไปอยู่รวมกันที่มุมของห้องประมูล ใบหน้าของอลิซถูกหมวกของนางปิดบังเอาไว้จนมองไม่เห็นอลิซอดเงยหน้ามองไปยังลินลี่ย์ซึ่งรอบตัวเขานั้นรายล้อมไปด้วยขุนนางและคนสำคัญจำนวนมากไม่ได้
ในวันนี้และด้วยวัยเพียงเท่านี้ ลินลี่ย์ได้กลายเป็นอัจฉริยะระดับตำนานไปแล้ว
จอมเวทสองธาตุระดับ 7 อายุ 17 ปีผู้มีผลงานในด้านแกะสลักระดับเดียวกับปรมาจารย์พรูกซ์, โฮป เจนเซ่น, ฮูเวอร์ และเหล่าปรมาจารย์คนอื่นๆย่อมเป็นธรรมดาที่อัจฉริยะระดับเขาจะถูกมองราวกับเป็นดาวที่ส่องสว่างที่สุดบนฟ้าควรค่าให้ทุกคนยกย่องชื่นชม คาร์ดินัลทั้งสอง, ราชาเคลย์, ลินลี่ย์, เยลและคนอื่นๆค่อยๆเดินหายไปจากระยะสายตาของนางอย่างช้าๆ
นอกจากนั้นขุนนางและคนใหญ่คนโตทั้งหมดล้วนจากไปหมดเช่นกัน
"เจ้าคืออลิซสินะ" ทันใดนั้นเสียงสดใสดังขึ้น
คนของตระกูลเด็บส์หลายคนมองกลับไปในห้องประมูลด้านหลังพวกเขา
หญิงสาวหน้าตางดงามผมทองเดินเข้าไปหาพวกเขาโดยมีชายชราซึ่งใบหน้าของเขานั้นมีรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นเดินอยู่ด้านข้างของนางแต่ทั้งนายหญิงและผู้รับใช้ชราต่างเปล่งประกายเฉิดฉันท์ของคนชั้นสูงออกมาเป็นธรรมดาที่คนอื่นๆจะรู้สึกด้อยกว่าพวกเขา
ทันทีที่ได้เห็นนาง, เบอร์นาร์ดกล่าวอย่างสุภาพทันทีว่า "คารวะใต้เท้าชอว์ท่านนี้ต้องเป็นคุณหนูดีเลีย ข้าเคยได้ยินชื่อเสียงของคุณหนูดีเลียว่าเป็นหญิงงามล่มเมืองจนเป็นที่เลื่องลือของตระกูลเลโอนมานานแล้ววันนี้ข้าได้พบนางด้วยตัวเองแล้วพูดได้เลยว่านางงดงามกว่าในข่าวลือมากมายนัก"
อิทธิพลของตระกูลเด็บส์นั้นจำกัดอยู่เพียงในอาณาจักเฟนไลเท่านั้นเทียบกับตระกูลเลโอนที่มีอิทธิพลแผ่ไปทั่วทั้งทวีปแล้วพวกเขาไม่อาจเทียบได้แม้แต่น้อย
"โอ้, ท่านคือเบอร์นาร์ดผู้นำตระกูลเด็บส์?" ดีเลียกวาดตามองไปที่เบอร์นาร์ด
เบอร์นาร์ดพยักหน้าอย่างสุภาพ
"ส่วนท่านนี้ต้องเป็นคู่หมั้นของบุตรชายของท่าน คาลันใช่หรือไม่?" ดีเลียมองไปที่อลิซ ที่กำลังแอบซ่อนตัวอยู่ด้านหลังของคาลัน
เบอร์นาร์ดยิ้มทันที "นางหรือ? ไม่ใช่หรอก นางไม่ได้เป็นภรรยาหลวงของคาลัน"
"ไม่ใช่ภรรยาหลวงงั้นรึ?" รอยยิ้มเย็นชาปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของดีเลีย และนางเดินไปหาอลิซอย่างช้าๆ เบอร์นาร์ดไม่กล้าที่จะขวางนางเมื่อดีเลียเดินไปใกล้คาลัน, คาลันยืดอกของเขาและพยายามขวางนางเอาไว้อย่างกล้าหาญ
แต่เมื่อเขาเจอเข้ากับสายตาเย็นชาของดีเลีย, คาลันพลันรู้สึกเย็นเยียบไปถึงขั้วหัวใจ
เมื่อเขาเตือนกับตัวเองว่านี่คือคุณหนูของตระกูลเลโอนคาลันรู้สึกว่ามันไม่ง่ายเลย ตอนนี้นั้นความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเด็บส์และหอการค้าดอว์สันกำลังมีปัญหาหากพวกเขาขัดแย้งกับตระกูลเลโอนอีก ... สำหรับตระกูลเลโอนการกำจัดตระกูลเด็บส์นั้นง่ายดายเพียงกระดิกนิ้วเท่านั้น
"อลิซ" ดีเลียมองเข้าไปในตาของอลิซ
อลิซเงยหน้าขึ้น พยายามบังคับให้ตัวเองต่อสู้กับสายตาของดีเลีย นางพยายามอย่างหนักเพื่อระงับความตื่นเต้นจากหัวใจที่กำลังเต้นรัวของนาง
แต่ดีเลียแค่หัวเราะออกมา กล่าวด้วยเสียงอ่อนโยนว่า "อลิซ ...ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมลินลี่ย์ถึงได้ตกหลุมรักเจ้าได้?" สีหน้าของอลิซเปลี่ยนเป็นซีดขาว แต่นางตอบโต้ไปว่า"นั่นไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า!"
"ไม่เกี่ยวกับข้า?" ดีเลียส่งเสียงหัวเราะเฮอะฮะออกมาเงียบๆ "ใช่ มันไม่เกี่ยวกับข้าแต่ข้ารู้สึกสมเพชเจ้าจริงๆ เจ้ายอมปล่อยมือจากลินลี่ย์ แต่ผลของมันเป็นยังไง? เจ้าไม่ได้เป็นแม้แต่ภรรยาหลวงในตระกูลเด็บส์ข้าจินตนาการว่าเจ้าคงเสียดาย...แต่โชคร้ายที่เจ้าจะไม่มีโอกาสนั้นอีกเพราะคนอย่างเจ้าจะไม่ได้รับโอกาสแม้แต่จะพูดคุยกับลินลี่ย์อีกอนาคตของพวกเจ้าทั้งสองคนต่างกันราวฟ้ากับเหว เจ้าเข้าใจที่ข้าพูดมั้ย?"
ดีเลียไม่สนใจหน้าตาอันบิดเบี้ยวของคาลัน นางหันมองตรงไปที่เบอร์นาร์ด
"ข้าขออภัยที่รบกวนท่าน" ดีเลียกล่าวอย่างสุภาพ
เบอร์นาร์ดคารวะตอบอย่างสุภาพ "เช่นนั้นคุณหนูดีเลียพวกข้าขอลาก่อน"
ชายแก่ด้านข้างดีเลียส่งสายตาเยาะเย้ยเย็นชาไปที่คาลันผู้ที่ยังคงมีใบหน้าบิดเบี้ยวเขาเดินตามหลังดีเลียจากไป แต่เบอร์นาร์ดยังคงมองพวกเขาจากไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้มตามมารยาทหลังจากดีเลียและบ่าวรับใช้เดินลับตาไปเขาหันกลับมาจ้องมองคาลันและอลิซราวกลับจะกินเลือดกินเนื้อ
"อับอายขายหน้ายิ่งนัก!" เบอร์นาร์ดตะคอกใส่พวกเขาอย่างดุร้าย
ทั้งคาลันและอลิซต่างไม่กล้าส่งเสียงออกมา แล้วตระกูลเด็บส์ก็เดินทางกลับภายใต้บรรยากาศอันน่าอึดอัดเช่นนี้เอง
……
ณ คฤหาสน์ตระกูลลูคัสในเมืองเฟนไล
"ไม่ ไม่ ท่านอาจารย์ลินลี่ย์,นี่ไม่จำเป็นเลย" มาร์ควิสเจบส์พยายามปฏิเสธลินลี่ย์อย่างเร่งร้อน"เงินจำนวน 600,000 เหรียญทองนี่ไม่มีความจำเป็นจริงๆ ท่านอาจารย์ลินลี่ย์ข้าต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่งข้าไม่ทราบมาก่อนจริงๆว่าระดับฝีมือแกะสลักของท่านนั้นสูงส่งเช่นนี้"
เจบส์นั้นเป็นชายแก่หัวแข็ง ตอนนี้เมื่อเขามองไปที่ลินลี่ย์นั้นดวงตาของเขาเต็มไปด้วยเคารพเลื่อมใส
ในบรรดางานอดิเรกที่มีอยู่น้อยนิดของมาร์ควิสเจบส์นั้นสิ่งหนึ่งที่เขารักก็คือการสะสมสิ่งของต่างๆ
เป็นเรื่องปกติที่เขาจะรู้สึกเลื่อมใสศรัทธาต่อช่างศิลป์ระดับปรมาจารย์ในแต่ละด้านเป็นอย่างยิ่งบางทีแม้แต่ราชาองค์ปัจจุบันของอาณาจักรเฟนไลเองเขาก็ไม่ได้รู้สึกเคารพเลื่อมใสมากเท่าลินลี่ย์
"ราคา 180,000 ทองนั้นดีแล้ว เดิมทีตระกูลของข้าซื้อมันมาราคา 180,000 เหรียญทอง ราคานี้นับว่ายุติธรรมอยู่ ท่านอาจารย์ลินลี่ย์ข้าไม่อาจทำกำไรจากเงินของท่านได้จริงๆ หากข้าหาประโยชน์จากเงินของท่านอาจารย์ลินลี่ย์ข้าจะนอนหลับสนิทในยามค่ำคืนได้อย่างไรกัน?"
มาร์ควิสเจบส์ยังคงเป็นชายชราที่น่าชื่นชมเขายังคงมีความดื้อด้านเป็นอย่างยิ่ง
"มาร์ควิสเจบส์ ในอดีตนั้น เรื่องที่ตระกูลลูคัสของท่านซื้อ 'ดาบศึกล่าสังหาร' จากตระกูลของข้าในราคา 180,000 เหรียญทองนั้นเป็นความจริงแต่เนื่องจากหลายศตวรรษที่ผ่านมาเกิดภาวะเงินเฟ้อขึ้นทำให้จำนวนเงิน 180,000 เหรียญทองที่ท่านมาในตอนนี้นั้นมีมูลค่ามากขึ้น" ลินลี่ย์นั้นไม่เต็มใจที่จะหาผลประโยชน์จากตระกูลลูคัสไม่ว่าทางใดก็ตาม
แต่มาร์ควิสเจบส์ยังส่งสายตายืนกรานไปยังลินลี่ย์
"ฮ่า ๆ พวกท่าน ... พวกท่านนี่ช่าง... " ข้างๆพวกเขาเยลกำลังหัวเราะอย่างหนักจนท้องคัดท้องแข็ง"คนขายพยายามอย่างหนักที่จะลดราคาสินค้าของเขา และแทบจะยกให้ฟรีๆด้วยซ้ำแต่คนซื้อกลับพยายามที่จะเพิ่มราคาให้สูงขึ้นข้าไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนในชีวิต"
ลินลี่ย์หัวเราะแห้งอย่างจนปัญญาออกมาเช่นกัน "มาร์ควิสเจบส์เกี่ยวกับเรื่องนี้ ในศตวรรษที่ผ่านมาเหรียญทองจำนวน 180,000 เหรียญมีอำนาจในการซื้อขายประมาณ 360,000 เหรียญทองในปัจจุบัน ได้โปรดรับเงิน 360,000 เหรียญทองไป อย่าได้ปฏิเสธอีกเลย! ถ้าท่านยังคงยืนกรานข้าจะโยนบัตรเครดิตเวทของข้าไว้แล้วจากไปทันที"
ลินลียดึงเอาบัตรเครดิตเวทของเขาอกมาจากอกเสื้อของเขา
มาร์ควิสเจบส์มองลินลี่ย์อย่างไม่สบายใจ แต่สุดท้ายเขาก็พยักหน้ารับ"ก็ได้ แต่ว่า"
ลินลี่ย์หัวเราะแห้งๆอย่างจนปัญญา
มาร์ควิสเจบส์ จู่ ๆ ก็หัวเราะอย่างเขินอายนิดๆออกมา "ท่านอาจารย์ลินลี่ย์ข้าอยากจะขอรบกวนท่านสักเล็กน้อย ได้หรือไม่?"
"ว่ามาเลย" ลินลี่ย์หัวเราะ มองมาร์ควิสเจบส์
มาร์ควิสเจบส์สั่งบ่าวรับใช้ของเขา ให้ไปนำแผ่นหินจากห้องในสุดของคฤหาสน์เขาออกมาให้เร็วที่สุด
"อาจารย์ลินลี่ย์ ข้าหวังเพียงให้ท่านแกะสลักสัญลักษณ์หรือชื่อของท่านลงบนแผ่นจารึกนี่ข้าจะเก็บรักษามันเอาไว้อย่างดีตลอดกาล" ดวงตาของมาร์ควิสเจบส์มองไปที่ลินลี่ย์นั้นเต็มไปด้วยความหวัง
ลินลี่ย์หัวเราะหึหึ แล้วนำเอาเหล็กสกัดของเขาออกมาจากอกเสื้อของเขา
ด้วยการสะบัดข้อมือธรรมดา เหล็กสกัดเริ่มแกะลงบนแผ่นหินท่ามกล่างฝุ่นที่ปลิวว่อนออกมาจากแผ่นหินในชั่วระยะเวลาเพียงหายใจเข้าออกสามครั้ง ลินลี่ย์ก็ทำมันเสร็จและเก็บเหล็กสกัดของเขากลับไปในอกเสื้อเป่าลมเบาๆลงบนแผ่นหิน ฝุ่นที่ปกคลุมบนแผ่นหินปลิวหายไปหมดสิ้นเผยให้เห็นนามที่ถูกเขียนอย่างวิจิตรงดงาม ดูราวกับหงส์ร่อนมังกรรำเลยที่เดียว
ลินลี่ย์
มองไปที่คำนั้น ดวงตาของมาร์ควิสเจบส์ส่องประกายวาววับ "ช่างเป็นวิธีการแกะสลักที่สง่างามและเป็นตัวที่อักษรงดงามอะไรเช่นนี้คำนี้มีคุณค่ามากกว่าเงิน 360,000 เหรียญทองมากมายนัก"
ได้ยินอย่างนี้แล้ว ลินลี่ย์ถึงกับหัวร่อไม่ออกร้องไห้ไม่ได้เลยทีเดียว
……….
บนเส้นทางจากเมืองเฟนไลสู่เมืองเล็กๆอู่ซัน เป็นเส้นทางที่มีต้นเร้ดวู้ดเรียงรายอยู่ตลอดสองข้างทางลินลี่ย์ควบม้าตัวใหญ่พร้อมกับแบกถุงขนาดใหญ่บนหลังถุงใหญ่บนหลังของเขาหนักหลายร้อยกิโลกรัม โชคดีที่ม้าชั้นยอดตัวนี้ถูกจัดหามาโดยหอการค้าดอว์สันม้าทั่วๆไปไม่อาจเดินทางได้อย่างรวดเร็วหากแบกสัมภาระอย่างนี้ไปด้วย
ด้านหลังลินลี่ย์ มีกองทหารอัศวินกว่าร้อยนายกำลังตามเขามา
กองทหารนี้ถูกมอบให้กับลินลี่ย์ จากวิหารเจิดจรัสโดยผ่านทางคาร์ดินัลแลมป์สันและคาร์ดินัลกิลเยโมวิหารเจิดจรัสอ้างว่าความปลอดภัยของลินลี่ย์นั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อพวกเขาซึ่งเห็นได้จากความพยายามที่จะลักพาตัวเขาเมื่อเร็วๆนี้ สมาชิกที่อ่อนแอที่สุดของกองทหารนี้เป็นถึงนักรบระดับ5 พวกเขาเป็นหนึ่งในกองทหารอัศวินชั้นยอดแห่งอารามเจิดจรัส
ม้าศึกกว่าร้อยตัวที่กำลังวิ่งอยู่ก่อให้เกิดฝุ่นฟุ้งตลบที่ด้านหลังพวกมัน
ภาพของเมืองเล็กๆอู่ซันที่อยู่ห่างไกลในสายตาของลินลี่ย์ค่อยๆย่นระยะใกล้เข้ามาเรื่อยๆในหัวใจของเขาอดที่จะนึกย้อนกลับไปในอดีตในวัยเด็กของเขาไม่ได้อย่างเช่นการฝึกฝนที่ลานฝึก เช่นเดียวกับประสบการณ์ที่ได้เจอกับสายตาอันน่าหวาดหวั่นของมังกรลมกรด
ในอดีตนั้น ในสายตาของลินลี่ย์มังกรลมกรดเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งที่ไม่อาจทำลายได้ แต่ตอนนี้สำหรับลินลี่ย์มังกรลมกรดก็ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่ามังกรตัวหนึ่ง
"ครืน ครืน"
แผ่นดินสั่นสะเทือนเช่นนี้เป็นเพราะการเดินทางของกองทหารอัศวินชั้นยอดและม้าศึกที่เดินทางอย่างต่อเนื่องแรงสั่นนี้ถึงกับรู้สึกได้จากระยะไกลเลยทีเดียว
"กองทหารอันเกรียงไกรนี่มาทำอะไรกัน"
ในขณะที่ฮิลแมนกำลังเดินอยู่กลางเมืองอู่ซัน เขาอดที่จะหันไปมองไม่ได้เสียงกระทบของกีบเท้าม้าที่เป็นระเบียบ รวดเร็วและทรงพลังทำให้ฮิลแมนรู้สึกประทับใจและครั่นคร้ามพร้อมๆกัน แม้แต่ตอนที่เขายังอยู่ในกองทัพเขาก็ยังไม่เคยเจอกับกองอัศวินชั้นยอดเช่นนี้มาก่อน
อัศวินที่อ่อนแอที่สุดที่ปรากฏให้เห็นเป็นถึงนักรบระดับ 5กองทหารที่สังกัดกองกำลังชั้นยอดของวิหารเจิดจรัสจะอ่อนแอได้อย่างไรกัน?
เสียงควบม้าศึกของพวกเขาเพียงอย่างเดียวก็กระแทกความหวาดกลัวเข้าไปในใจของคนมากมายแล้ว
"นั่นใครกัน?" ฮิลแมนมองเห็นว่ามีใครบางคนขี่ม้านำหน้ากองทหาร
"นั่นลินลี่ย์นี่" สีหน้าของฮิลแมนเปลี่ยนไปทันทีเขารีบวิ่งไปที่ตระกูลคฤหาสน์บาลุคเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้
หลังจากเข้าเขตเมืองอู่ซันแล้ว ลินลี่ย์สั่งให้กองทหารอัศวินของเขาลดความเร็วลงเหลือลินลี่ย์ที่ยังคงใช้ความเร็วอย่างต่อเนื่องมุ่งตรงไปยังคฤหาสน์ของตระกูลเขาจากระยะไกลเขามองเห็นว่ามีเถาวัลย์ปกคลุมไปทั่วรอยแตกของผนัง ลินลี่ย์นึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์หนึ่งตอนที่เขายังเป็นเด็ก
"ตระกูลบาลุค รากเหง้าของข้า บ้านเกิดของข้า!" เขากำลังแบก 'ดาบศึกล่าสังหาร' ไว้บนหลัง หัวใจของลินลี่ย์เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
ลินลี่ย์ยังคงจำได้อย่างชัดเจน ครั้งแรกที่เขาเดินทางเข้าไปเรียนที่สถาบันเอินส์สิ่งที่พ่อของเขาเคยพูดกับเขา ลินลี่ย์ไม่เคยลืมคำพูดเหล่านั้นที่พ่อของเขากล่าวไว้
"ลินลี่ย์จงจำไว้หลายศตวรรษที่ผ่านมาความหวังอันยาวนานของผู้อาวุโสตระกูลบาลุคทุกรุ่นจงจดจำความอัปยศอดสูของตระกูลบาลุคเอาไว้!"
"หลังจากจบการศึกษา อย่างน้อยเจ้าก็จะเป็นจอมเวทระดับ 6ตราบเท่าที่เจ้าฝึกฝนอย่างหนักการจะเป็นจอมเวทระดับ 7 ไม่น่าจะยากเกินไปนักในอนาคตแน่นอนว่าเจ้าจะมีความสามารถมากพอที่จะฟื้นฟูตระกูลของเราและนำเอามรดกตกทอดของบรรพชนกลับคืนมาหากเจ้าไม่ยอมทำเช่นนั้น ต่อให้ข้าจะตายกลายเป็นผี ข้าก็ไม่ให้อภัยเจ้า"
"ต่อให้ข้าจะตายกลายเป็นผี ข้าก็ไม่ให้อภัยเจ้า!"
…..
เสียงนั้นดังสะท้อนซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในใจของลินลี่ย์ แต่ตอนนี้ ด้วยน้ำหนักของ 'ดาบศึกล่าสังหาร' ที่กดอยู่บนหลังของเขา ความรู้สึกของลินลี่ย์มีแต่คลื่นแห่งความภาคภูมิใจเท่านั้น
"ท่านพ่อ ข้ากลับมาแล้ว!"
"ท่านพ่อ ข้าเอา 'ดาบศึกล่าสังหาร' ของพวกเรากลับมาได้แล้ว!"
ลินลี่ย์ทะยานลงจากหลังม้าของเขาและพุ่งตรงไปยังลานกว้างของตระกูลเขา
"ท่านพ่อ!" ลินลี่ย์ตะโกนเสียงดัง
"ข้ากลับมาแล้ว! ข้าเอา 'ดาบศึกล่าสังหาร' กลับมาได้แล้ว!" ลินลี่ย์ตะโกนออกมาอย่างมีความสุขและตื่นเต้นเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลเขาเหนื่อยยากลำบากมานานนับศตวรรษบิดาของเขาถูกมันตรึงเอาไว้ตลอดชีวิตของเขา และตอนนี้ในที่สุดเขาก็สามารถเติมเต็มความปรารถนาของบิดาได้สำเร็จ!
" 'ดาบศึกล่าสังหาร' ยังงั้นรึ?" เสียงดังออกมา
ลินลี่ย์หันกลับและมองไปด้านหลังของเขา เป็นเสียงฮิลแมนนั่นเอง
"ท่านลุงฮิลแมน ท่านพ่ออยู่ไหน? เร็วเข้า รีบเรียกเขาออกมา ฮ่าๆ ในที่สุดข้าก็เอา 'ดาบศึกล่าสังหาร' กลับมาได้แล้ว! ข้าได้มรดกตกทอดของบรรพชนของตระกูลนักรบเลือดมังกรของเราในที่สุดข้าก็เอามันกลับมาได้แล้ว เร็วเข้าบอกข้าสิ ท่านพ่อของข้าอยู่ที่ไหนหากท่านพ่อรู้เรื่องนี้ เขาจะต้องดีใจมากแน่นอน แล้วคืนนี้เราจะดื่มกันจนเมาท่านลุงฮิลแมนไม่ต้องห่วง คืนนี้ข้าจะไม่ไปทำอะไรที่ไหนทั้งนั้นข้าจะร่วมดื่มไปกับพวกท่าน ไม่เมาไม่เลิก!"
ลินลี่ย์ตื่นเต้นมาก เขาพูดพล่ามต่อไปไม่หยุดแม้เขาจะเอาถุงบนหลังของเขามากอดเอาไว้ขณะที่เขามองไปที่ลุงฮิลแมน
แต่….
ใบหน้าของฮิลแมนไม่มีร่องรอยของความยินดีแม้แต่น้อย กลับมีแต่ร่องรอยแห่งความทุกข์ระทม
"ทะ ...ท่านลุงฮิลแมน" ลินลี่ย์เริ่มขมวดคิ้ว จ้องมองที่ลุงฮิลแมนเขาถามว่า "ท่านลุงฮิลแมน ท่านพ่อของข้าอยู่ที่ไหน?"
เมื่อมองไปที่ลินลี่ย์ ฮิลแมนเค้นรอยยิ้มออกมา "ลินลี่ย์, เจ้าทำได้ เจ้าเอา 'ดาบศึกล่าสังหาร' กลับมาได้จริงๆ ถ้าบิดาของเจ้ารู้ เขาจะต้องมีความสุขอย่างแน่นอน"
"ท่านพ่อของข้าอยู่ที่ไหน?"
"บิดาของเจ้าเขา...เขาตายไปแล้วเมื่อสามเดือนก่อน"ฮิลแมนสูดลมหายใจเข้าไปลึก แล้วในที่สุดก็พูดประโยคนี้ออกมาอย่างช้าๆ ขณะที่เขาพูด ดวงตาของเขาคลอไปด้วยน้ำตา
ลินลี่ย์รู้สึกราวกับถูกอัสนีบาตกรอกหูเขา สมองของเขาขาวโพลน
"เคร้ง!"
ถุงเก็บของอันหนักอึ้งในมือของลินลี่ย์ตกลงกระทบพื้น ปากถุงเปิดออกเผยให้เห็น ดาบศึกขนาดใหญ่ที่ส่งรังสีฆ่าฟันและถูกย้อมด้วยสีเลือดเล็กน้อยออกมาความเย็นเยียบจากรังสีฆ่าฟันและความกระหายเลือดคละคลุ้งไปทั่วห้องโถงทันที
"ท่านพ่อตายแล้ว?"
ลินลี่ย์จ้องมองไปที่ฮิลแมนอย่างไม่อยากเชื่อ
ฮิลแมนพยักหน้าเล็กน้อย
ทันใดนั้น ลินลี่ย์หัวเราะออกมา "ฮ่า ๆ ท่านลุงฮิลแมนท่านอย่ามาหลอกข้าเลย ฮ่า ๆ ข้าเอา 'ดาบศึกล่าสังหาร' กลับมาได้ ดูสิ ท่านลุงฮิลแมน ข้าเอา 'ดาบศึกล่าสังหาร' กลับมาแล้ว ท่านพ่อของข้าจะตายได้อย่างไร? เขาจะได้ดูดาบศึกเล่มนี้เป็นก่อนใคร"
ลินลี่ย์เอื้อมมือไปหยิบ 'ดาบศึกล่าสังหาร' ขึ้นมาด้วยมือเดียว ทันใดนั้น รังสีกระหายเลือดกระจายคลุ้งไปทั่วใจของฮิลแมนเต็มไปด้วยความกลัว
"ท่านลุงฮิลแมน ดูสิ ข้านำเอา 'ดาบศึกล่าสังหาร' กลับมาแล้ว และข้าต้องบอกท่านพ่อว่าตอนนี้ข้าสามารถแปลงร่างเป็นนักรบเลือดมังกรได้แล้ว"เกล็ดเริ่มก่อตัวขึ้นรอบมือของลินลี่ย์และในชั่วระยะเวลาสั้นๆมือของลินลี่ย์ก็แปลงเป็นกรงเล็บมังกร
จับไปบนไหล่ฮิลแมนด้วยกรงเล็บมังกรทั้งสองข้างของเขา ลินลี่ย์จ้องมองเข้าไปในดวงตาของฮิลแมน"ท่านลุงฮิลแมนดูข้าสิ ข้าสามารถแปลงเป็นนักรบเลือดมังกรได้แล้ว ข้านำเอา 'ดาบศึกล่าสังหาร' กลับบ้าน กลับมาสู่ตระกูลเราอีกครั้ง มันเป็นความจริง ท่านพ่ออยู่ที่ไหน? ท่านพ่อของข้าอยู่ไหน!"
"ข้าจะเอา 'ดาบศึกล่าสังหาร' ไปอวดเขา!"
"ข้ายังไม่มีโอกาสบอกเขาเลยว่าข้าได้กลายเป็นนักรบเลือดมังกรแล้ว!"
กรงเล็บมังกรนั้นจับไหล่ฮิลแมนอยู่ แต่เจ้าของกรงเล็บทั้งคู่ ลินลี่ย์กลับจ้องเข้าไปในดวงตาของฮิลแมนด้วยแววตาขอร้อง
"ท่านลุงฮิลแมน ข้าขอร้องล่ะ ท่านช่วยบอกข้าที ท่านพ่อของข้าอยู่ที่ไหน?" ราวกับเด็กกำพร้าน่าสงสาร ลินลี่ย์จ้องฮิลแมนด้วยดวงตาอ้อนวอนของเขา ราวกับคนที่กำลังจมน้ำที่คว้าแม้แต่ฟาง ลินลี่ย์กุมไหล่ฮิลแมนแน่น
ฮิลแมนส่ายหน้าอย่างอ่อนโยน "ลินลี่ย์ บิดาของเจ้า ...ตายแล้ว!"
ลินลี่ย์หัวเราะ หัวเราะอย่างหดหู่ "ไม่...ไม่มีทาง ข้าต้องอวด 'ดาบศึกล่าสังหาร' ให้เขาดู ข้าต้องบอกเขาว่าข้าสามารถแปลงร่างเป็น นักรบเลือดมังกรได้แล้วและคืนนี้ข้าร่ำสุรากับเขาจนเมามาย"
ขณะที่เขาพูด น้ำตาเริ่มนองไปทั่วใบหน้าของลินลี่ย์
เมื่อมองไปที่ลินลี่ย์ฮิลแมนอดที่จะก้มหน้าลงไม่ได้และแล้วน้ำตาสองสายก็เริ่มไหลออกมาราวกับสายน้ำ
"เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้!"
กรงเล็บทั้งสองของเขาจับไปบนไหล่ของฮิลแมนอย่างดุดัน ลินลี่ย์มองไปที่ฮิลแมนด้วยสายตาเหมือนคนตายแววตาของเขาดูราวกับแววตาเย็นเยียบ, สีทองหม่นหมองของมังกรเกราะหนาม ทั่วทั้งห้องโถงเต็มไปด้วยรังสีชั่วร้ายที่น่าสะพรึงกลัวรุนแรงยิ่งกว่ารังสีของ'ดาบศึกล่าสังหาร'
เสียงคำรามแหบต่ำดังออกมาจากลำคอของลินลี่ย์...
"บอกข้ามา....ท่านพ่อของข้าอยู่ที่ไหน?"