บทที่900 ภาคหนี้เลือดตระกูลซือ กบฏภายใน
หัวหน้าวานร ใช้มือกดปลายกระบี่ของอีกฝ่ายลงต่ำ
“หังจาอย่าได้บีบบังคับข้า หากอาคูยาข่าต้องการให้สังหาร ข้าจะปิดชีวิตพวกเขาอย่างไม่ลังเล แต่หากจะขัดขวางตอนนี้ละก็ ข้าไม่ยอมแน่ จะอย่างไรก็ขอให้เจ้าเชื่อในสัญชาตญาณของข้า”
เห็นอีกฝ่ายรับปาก วานรตัวนั้นค่อยๆลดกระบี่ลงและเดินจากไป
ไม่นาน วานรทองคำตัวอื่นๆก็เริ่มจะออกมารวมตัว มองดูมนุษย์ภายนอกด้วยความประหลาดใจ ไม่บ่อยครั้งที่มนุษย์จะสามารถเข้ามาได้ลึกถึงขนาดนี้
ฝูงวานรนับร้อยนับพันยืนออกันอยู่ปากทางเข้า จับจ้องและกดขี่หนิงเทียนและหนี่ฉางเหนียนด้วยสายตา ทว่าทั้งสองคนเห็นเป็นเพียงเรื่องขำขัน เหมือนกับลิงที่แยกเขี้ยวใส่มีแต่ความน่ารักน่าเอ็นดู
ไม่นานวานรทองคำเหล่านั้นก็แหวกทางให้แก่วานรตัวหนึ่ง เดินผ่าน วานรสีทองที่มีลักษณะสูงกว่าตัวอื่น และเป็นตัวที่สวมใส่มงกุฏทองคำอยู่บนศีรษะ
ดวงตาของหนิงเทียนจ้องมองไปที่อีกฝ่าย มันเคยเห็นมงกุฎทองคำและรู้ว่าสิ่งนี้คือตัวแทนของการเป็นผู้นำ วานรที่ได้สวมมันจะถูกเรียกว่า อาคูยาข่า
สายตาของหนิงเทียนและอาคูยาข่ามองประสานซึ่งกันและกัน ราวกับว่าดวงตาคู่นั้นแฝงไว้ด้วยภาพในอดีต
ถึงในวันนี้รูปลักษณ์ของทั้งสองจะเปลี่ยนไปจากเมื่อสามสิบปีก่อน ทว่ากลับมีบางสิ่งบางอย่างทำให้ทั้งสองคนรู้สึกมักคุ้นกันอย่างบอกไม่ถูก
หนิงเทียนจดจำได้มากกว่า ถึงกาลเวลาจะเปลี่ยนไปแต่อีกฝ่ายไม่ได้สับวิญญาณเปลี่ยนชีวิตเหมือนกับมัน เค้าโคงใบหน้าเดิมยังมีให้เห็นอยู่บ้าง
จากนั้นหนิงเทียนใช้มือซ้ายขนานไปกับพื้นแตะไปที่หัวไหลขวา ใบหน้าเอียงซ้ายเล็กน้อย และใช้ปลายคางก้มลงระหว่างหลังมือ
“เกาเก้า”
ได้ยินเช่นนั้นวานรทองคำส่วนใหญ่ล้วนแสดงความไม่พอใจออกมา แม้แต่หัวหน้าวานรทองคำที่ชื่อว่าหั่งแจ๋จะเป็นผู้นำพาหนิงเทียนมาที่นี่ มันยังอดไม่ได้ที่จะแสดงท่าทีไม่พอใจ เมื่อได้ยินอีกฝ่ายเรียกชื่อผู้นำของตัวเองห้วนๆเช่นนี้
“ระวังคำพูดด้วย”
เฉกเช่นตัวของหังจ้า วานรที่เคยใช้กระบี่จ่อลำคอของหนิงเทียน เวลานี้มันเกรี้ยวกราดด้วยโทสะเป็นอย่างยิ่ง จิตสังหารแฝงมากับคำพูด
“ลองเรียกอาคูยาข่าห้วนๆดูอีกครั้งสิ”
แต่ทว่าอาคูยาข่ากลับไม่ได้ใส่ใจ ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยอาการตกใจก่อนจะเอ่ยออกเป็นภาษามนุษย์
“หรือว่าเจ้าคือซือหม่าเฮียบ??”
สายตาของอาคูยาข่าที่มองไปยังหนิงเทียนเปล่งประกาย ทั้งสองหวนคิดถึงเรื่องราวในอดีต
อาคูยาข่ามีนามว่า เกาเก้าเป็นวานรทองคำหนุ่มที่ต้องการเห็นโลกภายนอก เขาได้ออกมาทัศนาเรียนรู้วัฒนธรรมของมนุษย์ด้วยความหวังที่ว่า ครั้งหนึ่งเผ่าวานรทองคำและเผ่าฉีเหรินกู่จะสามารถเป็นมิตรกับคนภายนอกได้
แต่เมื่อเห็นถึงความริษยา โหดเหี้ยมและปลิ้นปล้อนของมนุษย์ เกาเก้ารู้สึกผิดหวังและสิ้นหวังกับธรรมชาติของสันดารของเผ่าพันธุ์ที่มีปอำนาจปกครองดินแดน
ระหว่างการเดินทางทัศนาจบสิ้น รู้เช่นเห็นชาติถึงอุปนิสัยของสิ่งที่อยู่ภายนอก และกำลังทัศนากลับไปยังหุบเขากินคน มันพบเจอกับมนุษย์ที่ชั่วร้ายกลุ่มหนึ่ง
เวลานั้นเกาเก้าถูกมนุษย์จับตัวไป มันถูกนำไปเป็นสัตว์เลี้ยงของหัวหน้าค่ายธงฟ้า มีตำแหน่งถึงปรมาจารย์ยุทธขั้น9
ในเวลาต่อมาค่ายธงฟ้าอันเกรียงไกรถูกกองทัพอสูรทมิฬของซือหม่า หนิงเทียนเข้าทำลายค่ายธงฟ้าและช่วยเหลือเชลยศึกทุกคนออกมา มันปล่อยผู้หญิงและคนแก่
จนสุดท้ายก็เหลือตัวของวานรทองคำที่กำลังนั่งน้ำตาคลอด้วยสีหน้าโศกเศร้า นั้นเป็นครั้งแรกที่ทั้งสองคนพบกัน
หนิงเทียนเห็นลิงน้อยขนสีทองก็บังเกิดความรู้สึกสงสารขึ้นจับใจ ในตอนแรก ทั้งคู่ก็คุยกันไม่รู้เรื่อง ทั้งสองได้แลกเปลี่ยนภาษาและวัฒนธรรมแก่กันและกัน
เกาเก้ามาสามารถพูดภาษามนุษย์ได้ แต่กับหนิงเทียนไม่ว่าอีกฝ่ายจะสอนยังไงภาษาลิงก็เป็นเรื่องยากอยู่ดี
กระทั้งหนิงเทียนได้พาเกาเก้ามาส่งยังหุบเขากินคน หนิงเทียนได้เป็นแขกมนุษย์คนแรกของเผ่าวานรทองคำและมีความสัมพันธ์ดุจมิตรสหาย
เมื่อเกาเก้าได้ขึ้นเป็นอาคูยาข่า เป็นเวลาเดียวกับที่แคว้นฉินประกาศการตายของซือหม่าหนิงเทียน
เกาเก้ารู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง มันคิดว่ามนุษย์ล้วนไม่ใช่คนดี ความคิดที่จะติดต่อและเชื่อมสัมพันธ์จึงถูกปัดตกไป
ถึงเวลานี้ เกาเก้าจะอยู่ในฐานะของอาคูยาข่าแล้ว ทว่าความทรงจำเมื่อครั้งอดีต ราวกับเกิดขึ้นเมื่อวันวาน
พญาวานรแห่งหุบเขากินคนเดินเดินเข้าไปใกล้หนิงเทียน จากนั้นมันทำท่าทางเดียวกับหนิงเทียน คือใช้มือซ้ายขนานไปกับพื้นแตะไปที่หัวไหลขวา ใบหน้าเอียงซ้ายเล็กน้อย และใช้ปลายคางก้มลงระหว่างหลังมือ
ท่าทางนี้ไม่ใช่ธรรมเนียมของเผ่าวานรทองคำ แต่เป็นท่าทางที่เกาเก้าเคยแสดงให้หนิงเทียนดู และหนิงเทียนเห็นว่ามีท่าท่างตลกจึงปรับเปลี่ยนวิธีให้เล็กน้อย กลายเป็นท่าทางแสดงออกที่เกิดจากทั้งคู่
เมื่อเกาเก้ากลับมายังเผ่าจึงได้สอนท่าท่างการแสดงออกให้แก่คนสนิท ซึ่งหั่งแจ๋เองก็เป็นหนึ่งในนั้น เป็นเหตุผลของการนำทางหนิงเทียนมาที่นี่
“ซือหม่าเฮียบ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเจ้า ดูเหมือนว่าใบหน้าจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน และอายุไม่ได้เพิ่มขึ้นเท่าที่ควรจะเป็น”
หนิงเทียนยิ้มตอบ “เกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย ข้าจะเล่าให้เจ้าฟังวันหลัง...ว่าแต่ เกิดอะไรขึ้นกับที่นี่ ข้าจำได้ว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่หมู่บ้านของพวกเจ้าและยิ่งไม่ใช่ตำแหน่งที่ตั้งของเผ่าฉีเหรินกู่”
ระหว่างกล่าวสายตามองหนิงเทียนมองผ่านไปทางด้านหลัง ขณะที่เกาเก้ากำลังจะกล่าวอธิบาย วานรทองคำที่ชื่อ หังจา กล่าวแทรก
“อาคูยาข่า เราไว้ใจพวกเขาได้จริงๆหรือ?”
ได้ยินเช่นนั้น เกาเก้ามองไปยังหังจา “ซือหม่าเฮียบเป็นสหาย เป็นพี่น้องของข้า หากข้าไม่ไว้ใจพี่น้อง ชีวิตนี้คงไม่มีใครให้ไว้ใจได้อีกแล้ว”
จากนั้นเกาเก้าโบกมือสั่งให้วานรทองคำตัวอื่นๆแยกย้ายกระจายตัว
เห็นท่าทางแบบนั้น หนี่ฉางเหนียนกระซิบถาม “เจ้าเป็นใครกันแน่?? กล้าหลอกผู้นำวานรทองคำว่าตัวเองเป็นซือหม่า หนิงเทียนเชียวเรอะ!! หากถูกจับได้ละก็ ต้องใช้กี่ชีวิตถึงจะพอให้พวกมันฆ่าเนี้ย”
หนิงเทียนหัวเราะให้กับความคิดของอีกฝ่ายเบาๆ แต่ก็ไม่ได้กล่าวอธิบายอันใด เรื่องการกลับชาติมาเกิดหรือการย้ายมิติภพ คงจะเป็นเรื่องเหนือจินตนาการของคนทั่วไปนัก
จากนั้นเกาเก้า พาหนิงเทียนเดินชมภายในที่เวลานี้เผ่าฉีเหรินกู่และเผ่าวานรทองคำได้อาศัยอยู่รวมกันอย่างไม่แบกแยกชั่วคราว หนี่ฉางเหนียนเดินตามและได้ฟังความทุกอย่าง
หลังจากเกาเก้าได้ขึ้นเป็นอาคูยาข่า มันมีผู้ติดตามสามคนที่โดดเด่น คนแรกคือหังแจ๋ วานรที่นำพาหนิงเทียนและหนี่ฉางเหนียนมาที่นี่ หังแจ๋เป็นคนสนิทที่สุดของเกาเก้า
หังแจ๋เชี่ยวชาญดาบ มันฝึกฝนวิชายุทธที่นอนอยู่ใต้ธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ได้เกินครึ่ง ความแข็งแกร่งของเขาหากเทียบกับมนุษย์แล้วย่อมติดหนึ่งในสิบ
คนที่สองคือหังจา วานรทองที่ถือกระบี่ไว้กับตัวตลอดเวลา หังจามีนิสัยหุนหัน แต่ความภักดีไม่เป็นรองใคร หังจาฝึกฝนวิชากระบี่ของมนุษย์ได้แตกฉานทุกแขนง ความแข็งแกร่งอยู่ในระดับเดียวกับหังแจ๋
คนสุดท้ายก็คือสิงเจ๋อ อัจฉริยะในหมู่ของวานรทองคำ สิงเจ๋อสามารถเรียนรู้วิชาการต่อสู้ทุกแขนงที่อยู่ในธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ได้ทั้งหมด ความแข็งแกร่งของสิงเจ๋อเป็นหนึ่งในหมู่วานรทองคำด้วยกัน
แม้แต่หังแจ๋และหังจาร่วมมือกันก็ยังไม่อาจเอาชนะเขาได้ สิงเจ๋อเป็นวานรที่มีความทะเยอทะยาน ความฝันของมันคือการบุกลงใต้พิชิตอาณาจักรของมนุษย์
“สิงเจ๋อเสนอแผนการและรบเร้าข้าอยู่หลายครั้ง ทว่าหน้าที่ของชนเผ่าวานรเหลือง คือการปกป้องคนในเผ่าฉีเหรินกู่ให้อยู่อย่างสงบสุข
ความแข็งแกร่งและองค์ความรู้นับพันปี ไม่ได้มีไว้เพื่อสงคราม แต่สิงเจ๋อไม่ได้เข้าใจถึงเรื่องนี้ กระนั้นมันก็ยังไม่มีความกล้ามากพอที่จะคิดการใหญ่ จนกระทั่งคนจากภายนอกเข้ามายังหุบเขากินคน
ตอนนั้นเป็นสิงเจ๋อที่ออกไปขับไล่ และการพบกันระหว่างพวกเขาได้นำพาหายนะมาสู่พวกเราและเผ่าฉีเหรินกู่”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น? ผู้ที่มาเป็นใคร??” หนิงเทียนกล่าวถาม
อีกฝ่ายส่ายศีรษะ “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าผู้ที่มาเป็นใคร เกิดเรื่องอะไรระหว่างพวกเขา รู้เพียงแต่ว่าคนภายนอกถูกสิงเจ๋อสังหาร หลังจากนั้นมาสิงเจ๋อก็ได้รับพลังแปลกๆมา
สิงเจ๋อมีพลังที่สามารถควบคุมจิตใจของผู้คน แม้แต่ตัวตนที่จงรักภักดีต่อข้าก็ย้ายข้างไปสวามิภักดิ์กับเขา สิงเจ๋อที่เพียบพร้อมด้วยความแข็งแกร่งและอำนาจ มันแย่งชิงตำแหน่งอาคูยาข่าและควบคุมหุบเขากินคนอย่างเบ็ดเสร็จ
ข้าทำได้เพียงนำกำลังที่เหลือช่วยกันอพยพชนเผ่าฉีเหรินกู่มาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่ พวกวานรที่ไล่ล่าซือหม่าเฮียบก็คงจะเป็นลูกน้องของสิงเจ๋อนั้นล่ะ”
ได้ยินเรื่องราวทั้งหมด หนิงเทียนเข้าใจแล้วว่าเหตุใด หุบเขากินคนถึงเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละสถานที่??
เหตุใดเผ่าฉีเหรินกู่ถึงมาปรากฏที่นี่แทนที่จะเป็นใจกลางของหุบเขา??
หนิงเทียนก็รู้แล้วว่าแผนการทั้งหมดของมันกำลังมลายหายไปกับสายลม
ไม่ต้องกล่าวถึงความมั่งคั่งที่เขาจะหยิบยืมจากเผ่าฉีเหรินกู่ ไม่ต้องไปกล่าวถึงวิชาแผนภูมิฟ้าดินที่หนิงเทียนจะนำกลับไปมอบให้แต่ทายาทตระกูลลู่ แค่เพียงจะหลบหนีออกจากที่แห่งนี้อย่างปลอดภัยก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอีกแล้ว...