ตอนที่ 5-8 เหล่าผู้มีอำนาจของทวีปยูลาน
บริเวณแผนกต้อนรับแขกระดับสูงของโรงแรมฮัวเดลี่ อัศวินระดับ 7 ของวิหารเจิดจรัส2 คนยืนอยู่สองฝั่งของทางเดินห้องโถงหลัก ขณะเดียวกันลินลี่ย์และพี่น้องทั้งสามของเขากำลังเดินเข้ามายังบริเวณแผนกต้อนรับแขกระดับสูงจากประตูอีกด้านการเดินก้าวแต่ละก้าวของพวกเขาส่งเสียงสะท้อนดังกังวาลสดใสเมื่อมันกระทบกับพื้นซึ่งเรียบเป็นมันเงาดังกระจกที่สร้างจากหินอ่อน
เมื่อลินลี่ย์, เยลและคนอื่นๆก้าวเข้าไปในบริเวณแผนกต้อนรับแขกระดับสูง ทั้ง 7คนที่รออยู่แล้วในบริเวณแผนกต้อนรับแขกระดับสูงก็หันกลับมาทางพวกเขา
"คาร์ดินัล 1 คน, บาทหลวง 3 คน และ อัศวินของวิหารเจิดจรัสอีก 3 คน" ลินลี่ย์สามารถบอกฐานะของแต่ละคนได้ทันทีและยังสัมผัสได้ว่าทั้ง 7 คนล้วนแล้วแต่ความแข็งแกร่งมาก นั่นคือทั้งหมดที่ลินลี่ย์รู้ในตอนนี้...
ในวิหารเจิดจรัสตำแหน่งของคาร์ดินัลเป็นรองก็เพียงจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นผู้ที่จะมาเป็นคาร์ดินัลได้นั้น ไม่เพียงแค่มีชื่อเสียงเท่านั้น แต่ยังต้องเป็นมหาจอมเวทระดับ9 ด้วย
"มหาจอมเวทระดับ 9?" ลินลี่ย์อดไม่ได้ที่จะพินิจพิเคราะห์อย่างระมัดระวัง เมื่ออยู่ต่อหน้าคาร์ดินัล
คาร์ดินัลท่านนี้ดูเหมือนชายวัยกลางคนผมหยักศกสีเงิน จมูกแหลมโด่งริมฝีปากของเขาแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มอารมณ์ดี เขาดูเป็นคนมีอัธยาศัยดี
"สวัสดีลินลี่ย์ และเจ้า หนุ่มน้อยเยล" คาร์ดินัลยิ้มในขณะที่เขาลุกขึ้นยืน"ข้าขอแนะนำให้รู้จัก บาทหลวงทั้งสามท่านนี้เป็นผู้ช่วยของข้า ส่วนอัศวินของวิหารเจิดจรัสทั้งสามตรงนั้นสังกัดหน่วย'รุ่งโรจน์' ข้าจะแนะนำพวกเขาตามลำดับ ผบ.มาร์คัสและรองผบ.ของเขาทั้งสองและตัวข้าเอง...เจ้าสามารถเรียกข้าว่ากิลเยโม"
คาร์ดินัลกิลเยโม
ลินลี่ย์เคยได้ยินมาก่อนหน้านี้ว่าสหภาพศักดิ์สิทธิ์มีกองอัศวินชั้นยอดอยู่ด้วยกัน8 กอง หนึ่งในนั้นคือกองพล 'รุ่งโรจน์' กองกำลังอัศวินแต่ละกองล้วนมีพลังสูงส่งและครอบครองพลังโจมตีอันสุดยอด
"ใต้เท้ากิลเยโม ใต้เท้ามาร์คัส และใต้เท้าทุกท่านข้าขอบังอาจถามได้หรือไม่ว่าพวกท่านมาทำไม?" ลินลี่ย์กล่าวอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน ในขณะเดียวกันลินลี่ย์ก็หันไปให้ความสนใจกับมาร์คัส
มาร์คัสเป็นผู้ชายหัวล้านที่ดูแข็งแกร่งตรงที่เขานั่งนั้นให้ความรู้สึกราวกับว่าภูเขาลูกหนึ่งที่ไม่ว่าจะใช้พลังมากมายเพียงใดก็ไม่อาจขยับเขยื้อนมันได้ในบรรดาคนจากวิหารเจิดจรัสทั้ง 7 คน มาร์คัสและกิลเยโมถือว่ามีระดับสูงที่สุด มาร์คัสมีฐานะเป็นถึง1 ใน 8 ผู้บัญชาการกองอัศวินชั้นยอดย่อมไม่มีทางที่จะมีฝีมือด้อยกว่ากิลเยโมเป็นแน่ไม่แน่ว่าฐานะของทั้งสองจะอยู่ในระดับเดียวกันด้วยซ้ำ
มาร์คัสเปิดปากพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำแต่หนักแน่นออกมา "ข้าได้ฟังกิลเยโมพูดว่ามีสุดยอดอัจฉริยะถือกำเนิดขึ้นในสหภาพศักดิ์สิทธิ์ จอมเวทสองธาตุระดับ 7 อายุ 17ปี ข้าอยากเห็นมากว่าอัจฉริยะคนนั้นหน้าตาเป็นยังไง วันนี้ตอนนี้ข้ามีโอกาสได้เห็นด้วยตาตัวเองแล้ว...ฮ่าฮ่า...และข้าดีใจที่ได้เจอเจ้า"
ด้วยประสบการณ์ของมาร์คัสเพียงกวาดตามองครั้งเดียว เขาก็บอกได้ทันทีว่าลินลี่ย์เป็นนักรบชั้นยอดคนหนึ่ง
"เจ้าหนู เจ้าเป็นนักรบระดับไหนแล้ว?" มาร์คัสถามตรงๆ
กิลเยโมยังคงนั่งอยู่ที่นั่น 'อย่างสบายใจ' ดูไปแล้วเขาไม่ได้รู้สึกขุ่นเคืองที่ถูกมาร์คัสขัดจังหวะ
ลินลี่ย์กล่าวอย่างถ่อมตัวว่า "ข้าเพิ่งจะได้เลื่อนเป็นนักรบระดับ 6ในปีนี้"
"โฮ่" ดวงตาของมาร์คัสเป็นประกาย "นักรบระดับ 6 อายุ 17 ปีน่าประทับใจมาก ตัวข้า มาร์คัส น้อยครั้งนักที่จะชื่นชมใครซักคน แต่ข้าคงต้องยอมรับว่าเจ้าเป็นอัจฉริยะที่แท้จริงเจ้าไม่ได้เป็นแค่จอมเวทพรสวรรค์สูงส่ง เจ้ายังเป็นนักรบชั้นยอดอีกด้วย"
ลินลี่ย์ยิ้มอย่างสุภาพ
อัศวินทั้งสองคนเดินมานั่งประกบซ้ายขวามาร์คัสใบหน้าของทั้งสองฉายแววประหลาดใจด้วยเช่นกัน
กิลเยโมหัวเราะ "พอแล้ว มาร์คัส จริงอยู่ว่าน่าประทับใจที่ลินลี่ย์เป็นนักรบระดับ6 ด้วยอายุเพียง 17 ปี แต่พูดตามตรง เราสมารถจะหาคนแบบนี้ได้ 1 หรือ 2 คนจากทุกๆสถาบันฝึกฝนนักรบพรสวรรค์ที่แท้จริงของลินลี่ย์ยังคงเป็นพรสวรรค์ในด้านเวทมนต์"
การฝึกฝนของนักรบนั้นง่ายกว่าการฝึกฝนของจอมเวทมากนัก
ใครก็ตามหากฝึกฝนอย่างหนักพยายามให้มากพอ (โดยเฉพาะหากพวกเขามาจากครอบครัวที่ดี)และฝึกฝนพลังลมปราณตั้งแต่ยังเด็ก การจะเป็นนักรบระดับ 6 ด้วยวัย 17ปีไม่ใช่เรื่องยากลำบากเลย
"ลินลี่ย์เป็นศิษย์ของสถาบันในสังกัดสหภาพศักดิ์สิทธิ์ผู้ครอบครองพลังอันน่าทึ่ง เจ้าทำให้ข้า คาร์ดินัลแห่งวิหารเจิดจรัสภาคภูมิใจยิ่งนักข้าขอถามเจ้าว่า เจ้าตัดสินใจเข้าร่วมกับสหภาพศักดิ์สิทธิ์หรือไม่? ข้าเชื่อว่าด้วยความสามารถของเจ้าในตอนนี้หากเจ้าเข้าร่วมกับเรา ข้ารับรองได้เลยว่าเจ้าจะได้ดำรงตำแหน่งบาทหลวงแห่งวิหารเจิดจรัสและในอนาคตเจ้าจะได้เป็นคาร์ดินัลอย่างแน่นอน" กิลเยโมยื่นข้อเสนอต่อลินลี่ย์ตรงๆ
สุดยอดอัจฉริยะอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ มีโอกาสมากกว่า 90% ที่ลินลี่ย์จะได้เป็นถึงปรมาจารย์จอมเวทระดับเซียน แม้จะมีโอกาสอีก10%ที่อาจจะประสบกับการล้มเหลวทางจิตบางอย่าง ซึ่งทำให้ลินลี่ย์จะหยุดพัฒนาตัวเองไว้ก็ตามแต่ว่าอย่างน้อยก็เป็นถึงมหาจอมเวทระดับ 9 เลยทีเดียว
นักสู้ที่มีศักยภาพระดับเซียน พรสวรรค์เช่นนี้ย่อมดึงดูดความสนใจจากองค์กรต่างๆมากมาย
"ใต้เท้ากิลเยโมข่าวนี้ออกจะกะทันเกินไปหน่อยสำหรับข้า"คำตอบถ่อมตัวและรอยยิ้มกระดากอายปรากฏอยู่บนใบหน้าของลินลี่ย์"ข้ามีอายุเพียง 17 ปีเท่านั้นข้ายังไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้มากนักระดับหัวแถวและอำนาจอันยิ่งใหญ่เป็นสัญลักษณ์ของความรับผิดชอบอันหนักหน่วงซึ่งตัวข้าในตอนนี้ยังไม่กล้าแบกรับรอข้า...อีกสัก2-3ปีได้หรือไม่? "
ลินลี่ย์กำลังตอบปฏิเสธ
ทำให้กิลเยโมขมวดคิ้ว
สุดยอดอัจฉริยะอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ของทวีปยูลานบุคคลที่มีโอกาสสูงที่จะได้เป็นนักสู้ระดับเซียนในอนาคตถ้าหากว่าเขาไม่เข้าร่วมกับพันธมิตรแห่งแสง ก็ไม่อาจให้เขาไปเข้าร่วมกับศัตรู
"ลินลี่ย์, ข้ารู้ดีว่าเจ้ายังอายุน้อย แต่เจ้าเป็นศิษย์อัจฉริยะของสถาบันในสังกัดสหภาพศักดิ์สิทธิ์จะเป็นการฉลาดกว่าหากว่าเจ้าใช้อัจฉริยภาพของเจ้าตอบรับข้อเสนอและใช้มันเพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายของเจ้ามากกว่าที่จะพยายามปฏิเสธพวกเขา" กิลเยโมกล่าวเตือนเขาอย่างอ่อนโยน
"นอกจากนี้เจ้ายังได้เป็นบาทหลวงของข้าโดยตรงข้าขอรับรองว่าเจ้าจะมีอิสระที่จะทำสิ่งใดก็ตามที่เจ้าต้องการตราบเท่าที่การกระทำของเจ้าไม่ขัดผลประโยชน์ของวิหารเจิดจรัสข้าจะไม่สอดมือเข้าไปยุ่งกับสิ่งที่เจ้าทำ เจ้าจะยินยอมรับข้อเสนอนี้หรือไม่?"
"นอกจากนี้เจ้าจะเข้าร่วมกับกองกำลังของอาณาจักรใดก็ได้ที่อยู่ในสหภาพศักดิ์สิทธิ์และเราขอรับรองว่าเจ้าจะได้รับตำแหน่งดยุคเป็นอย่างน้อย" กิลเยโมกล่าวเขาพยายามรักษาท่าทางที่จริงใจเอาไว้
ลินลี่ย์เงียบไปชั่วขณะนึง
บาทหลวงทั้งสามของกิลเยโมเริ่มขมวดคิ้ว แต่กิลเยโมยังคงยิ้มแย้มอยู่ จับจ้องลินลี่ย์ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งหวัง
ด้วยการมองเพียงอย่างเดียวมันก็ยากแล้วที่จะปฏิเสธคำขอของเขา
นอกจากลินลี่ย์แล้ว แม้แต่ เยล, เรย์โนลด์ และ จอร์จก็เงียบด้วย ในเวลาแบบนี้แม้แต่เยลยังไม่กล้าส่งเสียงใดๆออกมา ตอนนี้พวกเขากำลังเผชิญหน้าอยู่กับคาร์ดินัลของวิหารเจิดจรัส!
สหภาพศักดิ์สิทธิ์มีการแบ่งลำดับชั้นตามรูปแบบปิรามิด ตำแหน่งคาร์ดินัลอยู่ด้านบนของยอดปิรามิดพวกเขามีอำนาจเทียบเท่าราชา และแม้แต่พ่อของเยลก็ไม่ได้มีอำนาจมากพอไปเทียบกับพวกเขาได้แล้วเขาเป็นใคร ก็แค่นายน้อยของสหพันธ์การค้าจะกล้าพูดสอดได้หรือ?
สมองของลินลี่ย์คิดหาทางออกไม่หยุด ขณะที่เดลิน โคเวิร์ทเริ่มให้คำปรึกษากับลินลี่ย์ตั้งแต่พวกเขาเดินเข้าห้องมาแล้ว
จักรวรรดิใหญ่ทั้งสี่และสองสหพันธรัฐหลักพยายามต่อสู้เพิ่มความแข็งแกร่งเพื่อแย่งชิงผลประโยชน์โดยไม่เลือกวิธีการอยู่เสมอ'หากข้าไม่ได้ครอบครองไม่ว่าผู้ใดก็อย่าหวังจะได้ครอบครอง' นี่เป็นหลักการพื้นฐานเลยทีเดียว
"ใต้เท้ากิลเยโม" ลินลี่ย์พูดขึ้นมาในที่สุด
ดวงตาของกิลเยโมส่องประกายวาบขึ้นมา เขายิ้มและพูดกับลินลี่ย์ว่า"เจ้าตัดสินใจได้แล้วหรือ?"
ลินลี่ย์พยักหน้า "ใต้เท้ากิลเยโม ตัวข้านั้นเกิดและเติบโตในอาณาจักรเฟนไลนั่นทำให้ข้าเป็นคนของสหภาพศักดิ์สิทธิ์อยู่แล้ว ข้าขอรับรองว่าตราบเท่าที่สหภาพศักดิ์สิทธิ์ไม่หักหลังข้าข้าจะไม่มีวันทรยศต่อสหภาพศักดิ์สิทธิ์เช่นกันข้าไม่คิดจะไปเข้าร่วมกับกลุ่มอำนาจอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นกองกำลังใดก็ตาม"
"เจ้าหมายความว่าอย่างไร?" กิลเยโมมองลินลี่ย์อย่างฉงน
ลินลี่ย์พูดต่อว่า "ข้าหมายความว่าในตอนนี้นั้นข้ายังไม่รีบตัดสินใจที่จะเข้าร่วมกองกำลังใดๆได้โปรดให้ข้าได้ตัดสินใจเรื่องสำคัญเช่นนี้หลังจากที่ได้ปรึกษากับบิดาของข้าก่อนหลังจากนั้นข้าจะแจ้งให้ท่านทราบว่าข้าเลือกทางใด แต่ข้ารับรองกับท่านได้อย่างหนึ่งนั่นคือ... ข้าจะไม่เข้าร่วมกับจักรวรรดิใหญ่ทั้ง 4 หรือพันธมิตรมืดแน่นอน"
กิลเยโมพยักหน้าอย่างยิ้มแย้ม "ใช่แล้วการตัดสินใจเรื่องสำคัญเช่นนี้ต้องปรึกษากับบิดาของเจ้าก่อนข้าจะรอฟังคำตอบของเจ้า"
หลังจากพูดจบ กิลเยโมยืนขึ้นบาทหลวงทั้งสามอยู่ด้านข้างของเขา เช่นเดียวกับมาร์คัสและรองผบ.ทั้งสองก็ยืนขึ้นด้วย"ตั้่งแต่แรกพวกเรามาที่นี่เพื่อยื่นข้อเสนอเท่านั้นข้าไม่คิดรบกวนเวลาของเจ้ามากไปกว่านี้ นี่คือความจริงใจและความซื่อสัตย์ของวิหารเจิดจรัสและรวมถึงความอดทนของเรา ข้าได้แต่หวังว่าเจ้า ลินลี่ย์จะไม่จบลงที่การให้ข้าต้องรอฟังคำตอบนาน10 ปี หรือ 20 ปี หรอกนะ ฮ่าฮ่า..." กิลเยโมพูดจบแล้วหัวเราะออกมา
ลินลี่ย์และพี่น้องทั้งสามของเขาลุกขึ้นยืนเช่นกันและมองส่งกิลเยโมกับพวกเดินจากไป
หลังจากกลุ่มตัวแทนจากวิหารเจิดจรัสจากไป ลินลี่ย์และพี่น้องของเขารู้สึกราวกับยกภูเขาออกจากอก
"ฟู่ ตอนนั้นข้ากลัวแทบตายข้าไม่กล้าแม้แต่จะหายใจออกมาดังๆด้วยซ้ำ" เรย์โนลด์ถอนหายใจออกมา
จอร์จพยักหน้าเห็นด้วย "แม้ว่าคาร์ดินัลจะพูดคุยกับพวกเราอย่างเป็นกันเองแต่ข้ากลับรู้สึกหนักใจแทน"
เยลเริ่มหัวเราะ "เรื่องธรรมดาน่ะ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นคาร์ดินัลผู้ซึ่งมีอำนาจมากที่สุดคนหนึ่งในสหภาพศักดิ์สิทธิ์ นี่น้องสาม เจ้าคิดว่าอย่างไร? การบอกปัดข้อเสนอของวิหารเจิดจรัสไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกนะไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็อยู่ในเขตปกครองของวิหารเจิดจรัส"
"ไม่ต้องรีบร้อน ไม่ต้องรีบร้อน" ลินลี่ย์หัวเราะ"เมื่อท่านได้เจอกับพลังอำนาจของผู้อื่นท่านต้องไม่ลืมความแข็งแกร่งของท่านเอง อย่างไรก็ตามข้าไม่อาจเทียบกับพวกเขาได้ตราบเท่าที่ข้าไม่เข้าร่วมกับอีก 5 กลุ่มที่เหลือ วิหารเจิดจรัสจะไม่ทำอะไรข้าไม่ว่าอย่างไรข้าได้พูดออกไปแล้วว่าจะตัดสินใจหลังจากปรึกษาท่านพ่อแล้วตราบเท่าที่ข้ายังไม่ไปพบท่านพ่อ ข้าย่อมสามารถถ่วงเวลาได้นานอีกหน่อยไม่ใช่หรือ? "
ในขณะที่พูดเขามองไปที่เยล "พี่ใหญ่เยล ข้ามีเรื่องให้ท่านช่วย"
"ว่ามาเลย" เยลมองดูลินลี่ย์
ลินลี่ย์พูดด้วยเสียงเบา "นี่เป็นเรื่องที่ค่อนข้างพูดลำบากมรดกชิ้นหนึ่งของบรรพบุรุษตระกูลบาลุคอาวุธของผู้นำตระกูลรุ่นแรกของเรา 'ดาบศึกล่าสังหาร' ควรจะอยู่ในมือของตระกูลขุนนางใหญ่สักตระกูลหนึ่งของอาณาจักรเฟนไลข้าหวังว่าท่านจะช่วยข้าสืบหาร่องรอยของ 'ดาบศึกล่าสังหาร' ว่าตอนนี้ตระกูลใดเป็นผู้ครอบครอง"
"มรดกตกทอดจากบรรพบุรุษ? ข้าจะตามหามันให้พบให้จงได้น้องสามเจ้าต้องการให้ข้านำมันมาส่งคืนให้เจ้าโดยตรงหรือไม่?"เยลตอบตกลงทันที
ลินลี่ย์หัวเราะ "พี่ใหญ่เยลแค่ท่านช่วยข้าระบุว่ามันอยู่ที่ใดก็มากเกินพอแล้วตอนนี้เรื่องเงินทองไม่เป็นปัญหาสำหรับข้าอีกต่อไป" ลินลี่ย์ไม่ชอบการเป็นหนี้บุญคุณผู้อื่น
……
สองวันต่อมา เวลาเช้าตรู่.
ส่วนหนึ่งของห้องลินลี่ย์ถูกปกคลุมด้วยชั้นแสงสีพื้นดินแสงสีพื้นดินนี้ไม่ได้ครอบคลุมพื้นที่กว้างมากนักเป็นเพียงวงกลมที่มีเส้นรอบวงประมาณ 2 หรือ 3 เมตรเท่านั้นใครก็ตามที่ก้าวเข้ามาภายในพื้นที่วงกลมจะรู้สึกว่ามีแรงโน้มถ่วงอันหนักหน่วงกดทับลงมา
เวทธาตุดิน – สนามแม่เหล็กพิเศษ!
เมื่อลินลี่ย์เลื่อนขึ้นมาเป็นจอมเวทระดับ 7 พลังของเวทสนามแม่เหล็ก ของลินลี่ย์แข็งแกร่งยิ่งกว่าเมื่อก่อนความเข้มข้นของสนามพลังแรงโน้มถ่วงภายในวงกลมนั้นมากกว่าแรงโน้มถ่วงปกติถึง 4 เท่าภายใต้แรงโน้มถ่วงที่มากกว่าปกติถึง 4 เท่านี้แม้กระทั่งระบบการไหลเวียนโลหิตยังได้รับความเสียหายอย่างหนักไม่ต้องพูดถึงส่วนอื่นๆของร่างกาย
ลินลี่ย์ไม่ได้ร่ายเวทธาตุดินอื่นๆเพื่อรับมือกับสนามแรงโน้มถ่วงนี้เขาใช้เพียงความแข็แกร่งของร่างกายเพื่อต้านแรงโน้มถ่วงอันหนักหน่วงตอนนี้เขากำลังวิดพื้นด้วยนิ้วเดียวอยู่ เพื่อฝึกกำลังนิ้วและข้อมือให้แข็งแกร่ง
“…725. 726.”
"ติ๋ง ติ๋ง" เหงื่อเป็นเม็ดๆผุดขึ้นมาจากบริเวณขมับของลินลี่ย์หยดลงพื้นอย่างต่อเนื่อง
ทันใดนั้นประตูห้องก็กระแทกเปิดออกและเยลก็พุ่งเข้ามาในห้องอย่างตื่นเต้น"น้องสาม น้องสาม ข้าได้ข่าวเกี่ยวกับ 'ดาบศึกล่าสังหาร' ที่เจ้าขอให้ข้าช่วยตามหาแล้ว" ระหว่างกำลังพูดเยลหลุดเข้ามาในพื้นที่สนามแม่เหล็กอย่างไม่ตั้งใจ
"พี่ใหญ่!" ลินลี่ย์ตบพื้นด้วยฝ่ามือของเขาและพลิกตัวเองขึ้นมาพร้อมกับดึงตัวเยลออกจากเขตของสนามแม่เหล็ก
"แฮ่ก ...ฟู่ ... " เยลระบายลมหายใจหนักหน่วงออกมา จ้องมองลินลี่ย์อย่างตกใจเขากล่าวว่า "น้องสามเจ้าร่ายเวทสนามพลังแม่เหล็ก ในห้องนอนทำไมกัน? เมื่อกี้ข้าถูกมันดูดเข้าไปความรู้สึกภายในนั้นมันช่างน่ากลัวจริงๆมันให้ความรู้สึกราวกับว่าหัวใจข้าสมารถจะหยุดเต้นได้ในทันที"
โชคดีที่เขาเข้าไปในสนามพลังเพียงครู่เดียวอย่างไรก็ตามร่างกายของเยลก็ยังได้รับบาดเจ็บจากมันอยู่ดี
"ใช่ พี่ใหญ่เยล ท่านพูดถึงข่าวเกี่ยวกับ 'ดาบศึกล่าสังหาร'ไม่ใช่หรือ?" ความสนใจทั้งหมดของลินลี่ย์มุ่งตรงไปที่ข่าวมรดกของบรรพบุรุษของเขานี่เป็นความปรารถนาชั่วชีวิตของบิดาเขาซึ่งก็คือเก็บกู้มรดกของบรรพบุรุษทั้งหมดกลับคืนมาจากการสูญหายตลอดห้าพันปีที่ผ่านมา
เยลพยักหน้าเล็กน้อย "อ้อใช่แล้ว ข้าเพิ่งได้รับรายงานมาว่า 'ดาบศึกล่าสังหาร' ตกอยู่ในมือของตระกูลใหญ่ในเมืองเฟนไลนี่เอง ตระกูลนั้นก็คือ... เอ่อ..." เยลอดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้ขณะที่เขากำลังพยายามนึกชื่อตระกูลที่ครอบครอง 'ดาบศึกล่าสังหาร'"เฮ้น้องสาม พี่ใหญ่เยล ผอ.ไมอามาขอพบพวกท่านอีกครั้งแล้ว"เสียงเรย์โนลด์ดังมาจากข้างนอกประตู