ตอนที่ 5-6 ยื่นเรื่องขอจบการศึกษา
ลินลี่ย์,จอร์จ,เยล และเรย์โนลด์ นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารพร้อมด้วยจานอาหารตรงหน้าพวกเขาที่มีมากกว่าสิบชนิดข้างๆจานยังมี ไวน์ผลไม้, สุรา และเครื่องดื่มอีกมากมายตอนนี้พี่น้องทั้งสี่ดื่มไวน์พร้อมทั้งผลัดกันเล่าเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
"ลินลี่ย์ปีก่อนเจ้าน่าจะเข้าร่วมการทดสอบวัดระดับก่อนจะเดินทางไปเทือกเขาอสูรเวทปีก่อนระหว่างการสอบ ดิ๊กซี่แสดงให้เห็นว่าเขามีพลังเวทถึงระดับ 6 แล้วแต่เจ้ากลับไม่สนใจการสอบเลย บางคนพูดว่าเจ้ากระจอกกว่าดิ๊กซี่ บัดซบเอ๊ยมีแค่พวกเราสี่คนเท่านั้นที่รู้ว่าพลังของเจ้านั้นผ่านระดับ 6 ไปนานแล้ว"เรย์โนลด์อดไม่ได้ที่จะพ่นคำหยาบออกมา
ลินลี่ย์ดื่มไวน์จนหมดแก้วแล้วหัวเราะหึๆ
จอมเวทระดับ 6?
นับตั้งแต่เขาเข้าสู่สภาวะเอกภาพและแกะสลักรูปแกะสลัก 'ตื่นจากฝัน' ผ่านเวลา 10 วัน 10 คืนพลังจิตของเขาเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมถึง 10 เท่าช่วยให้ลินลี่ย์ก้าวกระโดดผ่านจากระดับ 6 ไปสู่ระดับ 7 ทันที
ความจริงแล้ว หากมองเพียงแค่พลังจิตอย่างเดียว ลินลี่ย์ก็เป็นจอมเวทที่มีพลังสูงกว่าเกณฑ์ของระดับ7 แล้ว
"น้องสี่ เจ้าเองก็รู้ดีว่าน้องสามไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้สักเท่าไหร่ถ้าเขาสนใจละก็คงจะลงแข่งงานแข่งขันประจำปีทุกปีไปแล้ว" เยลหัวเราะ"อ้อใช่แล้ว น้องสามตอนเริ่มภาคเรียนใหม่ลุงฮิลแมนของเจ้าแวะมาถามหาเจ้า"
ลินลี่ย์สะดุ้งหันไปมองเยล และถามขึ้นทันทีว่า "ท่านลุงฮิลแมนต้องการอะไร?"
ก่อนหน้านี้ลินลี่ย์จะกลับบ้านทุกปี ปีที่แล้วเป็นครั้งแรกและปีเดียวที่ลินลี่ย์ใช้เวลาตลอดฤดูหนาวจนถึงต้นฤดูใบไม้ผลิในเทือกเขาอสูรเวท
"ไม่มีอะไรมากหรอกส่วนใหญ่เขาสงสัยว่าทำไมเจ้าถึงไม่กลับบ้านตอนปีใหม่และเป็นห่วงว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเจ้าหรือเปล่า"เยลพูดอย่างสบายอารมณ์แล้วเล่าเพิ่มว่า "มีคนอื่นมาหาเจ้าอีกนะวันเดียวกันกับที่ท่านลุงฮิลแมนมาเยี่ยมเจ้า ผอ.ของหอศิลป์พรูกซ์ก็มาด้วยจุดประสงค์การมาเยือนของเขาก็เพื่อมาดูรูปแกะสลัก'ตื่นจากฝัน'ของเจ้าโดยเฉพาะ"
ลินลี่ย์ตะลึงเมื่อได้ฟังแล้วกระแอมไอออกมาแล้วถามว่า "ผอ.ของหอศิลป์พรูกซ์? เขารู้เรื่องเกี่ยวกับรูปแกะสลัก 'ตื่นจากฝัน' ได้อย่างไร? "
เรย์โนลด์พูดด้วยความรูสึกละอายใจว่า "ข้าผิดเองตอนที่เยลสั่งให้คนนำเอารูปแกะสลักของเจ้าออกมาจาภูเขานั่นข้าคิดว่าไม่มีใครทราบมูลค่าของมันดังนั้นข้าจึงบอกให้พวกเขานำมันมาวางไว้ในหอพักของเราพวกเราเหล่าพี่น้องจะได้ชื่นชมรูปแกะสลักนี้บ้างเป็นครั้งคราว แต่ข้าไม่คิดเลยว่าออสโทนี่จะมาเยี่ยมเจ้าถึงหอพักของพวกเราจนทำให้เขาได้เห็นรูปแกะสลัก 'ตื่นจากฝัน' แม้เพียงแวบเดียวพวกข้าไม่คิดว่าเขาจะส่งข้อมูลเกี่ยวกับรูปแกะสลักนี่ไปให้ผอ.ของหอศิลป์พรูกซ์"
ลินลี่ย์พยักหน้าช้าๆ
"ลินลี่ย์ ผอ.ของหอศิลป์พรูกซ์อยากรู้ว่าเจ้าสนใจจะปล่อยรูปแกะสลักนี่เข้าร่วมการประมูลในนามของหอศิลป์พรูกซ์หรือไม่? หรือหากเจ้าไม่ต้องการปล่อยขายรูปแกะสลักนี่เขาก็ยังหวังว่าอย่างน้อยเจ้าจะยินดีให้ทางหอศิลป์พรูกซ์ได้จัดแสดงรูปแกะสลักนี้เจ้าคิดว่ายังไง?" เยลถามลินลี่ย์
ลินลี่ย์ส่ายหน้าและตอบกลับมาทันที
"ตอนนี้ข้ายังไม่ต้องการเปิดเผยการมีอยู่ของรูปแกะสลัก 'ตื่นจากฝัน' และยังไม่มีความจำเป็นอันใดที่ต้องใช้เงินอย่างเร่งด่วน"
สำหรับลินลี่ย์รูปแกะสลัก 'ตื่นจากฝัน' เป็นเหมือนที่ระลึกจากช่วงเวลาอันแสนโรแมนติคและการสูญเสียจากความรักของเขาเองแต่ว่าสภาพจิตใจของลินลี่ย์ได้กลับคืนเป็นปกติอีกครั้งหลังจากที่เขาได้แกะสลักรูปแกะสลักนี้จนเสร็จสมบูรณ์
โดยเฉพาะประสบการณ์ที่เขาได้รับในช่วงเวลาที่ผ่านมาในเทือกเขาอสูรเวททั้งเรื่องที่เขาถูกล้อมไว้ด้วยฝูงมังกรบินกว่าร้อยตัวต่อด้วยได้เห็นการต่อสู้จนถึงตายของอสูรเวทที่ทรงพลังถึงสองตัวยังมีเรื่องที่เขาเกือบตายจากการดื่มเลือดมังกรก่อนจะกลายเป็นนักรบเลือดมังกรได้สำเร็จอีก
หลังจากผ่านเรื่องราวมากมายเรื่องราวระหว่างเขากับอลิซไม่มีอะไรมากไปกว่าความทรงจำในอดีตที่ผ่านมาเนิ่นนาน
ลินลี่ย์ได้เรียนรู้ที่จะถนอมปัจจุบันเอาไว้
"หากท่านพ่อรู้ว่าตอนนี้ข้าได้ครอบครองพลังของนักรบเลือดมังกรท่านจะรู้สึกตื่นเต้นขนาดไหนกัน?" ลินลี่ย์คิดถึงบิดาของเขา
ความปรารถนาชั่วชีวิตของฮ็อกคือการได้เห็นลูกชายคนใดคนหนึ่งของเขาได้เป็นนักรบเลือดมังกรความเข้มข้นของสายเลือดมังกรของวอร์ตันนั้นอยู่ในระดับสูงก็จริง แต่ลินลี่ย์ในร่างมังกรเองก็มีพลังสูงเทียบเท่านักรบระดับ8 เลยทีเดียว
หากว่าฮ็อกได้รู้ว่าลูกชายของเขาได้กลายเป็นนักรบเลือดมังกร เขาจะภาคภูมิใจเต็มเปี่ยมอย่างไม่ต้องสงสัย
…….
ลินลี่ย์ย่อมทราบดีว่ารูปแกะสลัก 'ตื่นจากฝัน' มีมูลค่ามากเพียงใดเขายังทราบอีกด้วยว่าการขนย้ายมันไปเก็บที่อู่ซันนั้นไม่ปลอดภัยนี่เองเป็นเหตุผลที่เขาขอร้องให้เยลช่วยเก็บรักษารูปแกะสลักนี้เอาไว้ให้ปลอดภัย
สำหรับหอการค้าดอว์สันอันมั่งคั่งแล้ว นี่นับเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
หลังจากงานเลี้ยงต้อนรับในโรงแรม ขณะที่พี่น้องทั้งสี่กำลังเดินอยู่ในถนนชาดี้โกรฟ
"พี่ใหญ่, พี่รอง, น้องสี่ มีบางเรื่องที่ข้าต้องบอกพวกท่าน" ลินลี่ย์พูดขึ้นหลังจากเงียบมานาน
ดูจากท่าทางจริงจังของลินลี่ย์ เยล, จอร์จ และเรย์โนลด์ต่างก็ตั้งใจฟังสิ่งที่ลินลี่ย์จะบอก
"อีกไม่กี่วันข้างหน้าข้าจะยื่นเรื่องขอจบการศึกษา" ลินลี่ย์กัดฟันพูดออกมาอย่างยากเย็น
จบการศึกษาย่อมหมายถึงการออกจากสถาบันเอินส์และทิ้งพี่น้องทั้งสามของเขาไว้ข้างหลังลินลี่ย์เข้าเรียนที่สถาบันเอินส์ตอนอายุ 9 ขวบ ตอนนี้เขาอายุ 17 แล้ว เขาใช้ชีวิต8 ปีอยู่ที่นี่ มีเพื่อนแท้อยู่ที่นี่ เพื่อนซึ่งไม่หวังสิ่งใด ไม่มีความลับต่อกันจริงใจต่อกันเป็นเพื่อนแท้
ลินลี่ย์ไม่อาจทนรับความรู้สึกการอำลาจากพี่น้องของเขาได้
แต่นี่คือชีวิต หากใครก็ตามต้องการประสบความสำเร็จการจบการศึกษาเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของโอกาสในการสร้างชื่อเสียง เป็นขุนนางมีอำนาจมีอิสระ และบางทีอาจมีกองกำลังเป็นของตัวเองเขาสามารถข้ามผ่านไปยังขอบเขตที่สูงขึ้น
"จบการศึกษา?"
เยล, จอร์จ และเรย์โนลด์พากันตกตะลึง เยลเป็นคนแรกที่ตั้งสติได้ "น้องสามทำไมเจ้าถึงได้รีบร้อนที่จะจบการศึกษาเล่า? มีอะไรสำคัญขนาดที่เจ้าต้องรีบจบการศึกษาเร็วขนาดนี้กัน? มันไม่ดีหรอกหรือที่พวกเราสี่พี่น้องอยู่ด้วยกันที่นี่? และที่สำคัญสถาบันเอินส์ปลอดภัยกว่าโลกภายนอกเป็นอย่างยิ่ง"
จอร์จกับเรย์โนลด์ เองก็รีบช่วยกันพยายามเกลี้ยกล่อมลินลี่ย์ด้วย
ลินลี่ย์ส่ายหน้า "ไม่หรอก..พวกเราย่อมไม่สามารถหลบอยู่ในกำแพงของสถาบันเอินส์และไม่สนใจสิ่งต่างๆภายนอกกำแพงได้ตลอดไป"
"แต่ว่าน้องสาม ตอนนี้เจ้าเองก็ยังเป็นเพียงจอมเวทระดับ 6 เท่านั้นถึงแม้ว่าจอมเวทระดับ 6 นั้นจะแข็งแกร่งมากก็ตาม แต่ก็ยังมีนักรบและจอมเวทมากมายที่ยังแข็งแกร่งกว่าเจ้านะเจ้า.....ควรจะรอจนพลังของเจ้าบรรลุถึงระดับ 7 เสียก่อนแล้วจากนั้นค่อยยื่นคำร้องขอจบไม่ดีกว่าหรอกหรือ" จอร์จพยายามแนะนำ
จอร์จทราบดีว่าสำหรับการฟันฝ่าอุปสรรคในการฝึกฝนของจอมเวทนั้นมีอุปสรรคใหญ่อยู่สองช่วงอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุด แน่นอนว่าคือการข้ามระดับจากระดับ 9 ไปยังระดับเซียนส่วนอุปสรรคอีกช่วงหนึ่งนั้นคือการข้ามผ่านระดับ 6 ไปยังระดับ 7 นั่นเอง
จากระดับ 9 ไปยังระดับเซียนนั้น แม้แต่ผู้ที่มีพลังจิตและพลังเวทสำรองมากมายคนผู้นั้นยังต้องใช้เวลานานจนไม่อาจนับจำนวนปีได้ทลายกำแพงนั้นเพื่อที่จะผ่านอุปสรรคสุดท้ายจำเป็นต้องอาศัยทั้งจังหวะและโชคโชคชะตาที่จะอนุญาตให้ใครบางคนเข้าถึงวิถีทางที่จะข้ามผ่านอุปสรรคอันยิ่งใหญ่นั้น
และการเลื่อนจากระดับ 6 ไปยังระดับ 7 แม้แต่อัจฉริยะยังจำเป็นต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า10 ปีหรือมากกว่านั้น
"ตอนนี้ข้าเป็นจอมเวทระดับ 7 แล้ว" ลินลี่ย์บอกพวกเขาไปตามตรง
"จอมเวทระดับ 7 เหรอ?"
พี่น้องทั้งสามของลินลี่ย์ต่างมองมาที่เขาเป็นตาเดียวกันรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่ากลางแสกหน้า แม้แต่อัจฉริยะอย่างดิ๊กซี่ซึ่งได้เป็นจอมเวทระดับ6 ตั้งแต่อายุ 16 หากว่าเขาฝึกฝนอย่างหนักมากพอ บางทีเมื่อเขาอายุประมาณ 30เขาอาจจะไปถึงระดับ 7 ได้
แต่ลินลี่ย์ ...
ลินลี่ย์อายุเพียง 17 ปีเท่านั้น!
"น้องสาม เมื่อกี้เจ้าเพิ่งพูดว่าเจ้าบรรลุเป็นจอมเวทระดับ 7 แล้วใช่มั้ย?" เยลเอ่ยถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ
"น้องสาม เจ้าคงไม่ได้แกล้งพูดล้อเล่นกับพวกเราใช่มั้ย?" จอร์จเองก็เอ่ยถามอย่างไม่อยากเชื่อเช่นกัน
เรย์โนลด์ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว สิ่งที่เขาทำก็แค่เอาแต่จ้องลินลี่ย์เท่านั้น
"จี๊ด จี๊ด!" บีบีบนไหล่ของลินลี่ย์ร้องเสียงแหลมเล็กออกมาอย่างตื่นเต้นไปยังพี่น้องทั้งสามของลินลี่ย์พร้อมกับแยกเขี้ยวของมันลินลี่ย์ได้ยินเสียงบีบีในหัวของเขา "นายท่าน เจ้าอ่อนหัดสามคนนี่คิดว่าท่านกำลังโกหก!นายท่านร่ายเวทระดับ 7 ใส่พวกมันเลย พวกมันจะได้รู้ซะที!"
ลินลี่ย์เหลือบไปมองที่บีบี "บีบี พอแล้ว"
บีบีเงียบทันทีเมื่อปรายตามองไปที่ลินลี่ย์ความรู้สึกผิดปรากฏบนใบหน้าของมัน
"บีบีแสดงละครได้ยอดเยี่ยมจริงๆ"ลินลี่ย์แอบหัวเราะจากนั้นเขามองไปยังเพื่อนสนิททั้งสามของเขา "พี่ใหญ่เยลท่านทั้งสามคนไม่เชื่อข้า พรุ่งนี้เมื่อข้าไปยื่นคำร้องขอจบการศึกษาพวกท่านจะได้เห็น"
เยล, จอร์จและ เรย์โนลด์ทราบดีว่าคนอย่างลินลี่ย์เป็นอย่างไร ลินลี่ย์ไม่ใช่คนโกหก
"น้องสาม เจ้าสำเร็จถึงระดับ 7 แล้วจริงๆ เหรอ?"
ลินลี่ย์พยักหน้าช้าๆ"เอาอย่างนี้ ข้าจะแสดงวิชาทะยานฟ้าให้พวกท่านดู"ลินลี่ย์เริ่มพึมพัมร่ายคาถา เยลและคนอื่นๆมองอย่างเงียบๆพลังเวทธาตุลมเริ่มหมุนวนรอบตัวเขา ร่างกายของลินลี่ย์ลอยขึ้นไปในอากาศ
ลินลี่ย์เคลื่อนที่ช้าๆ เขาลอยสูงจากพื้นเพียง 20 ซม.เท่านั้นคนทั่วไปที่มองมาจากที่ไกลๆย่อมไม่สามารถบอกได้ว่าเขาลอยอยู่กลางอากาศ
"นี่มันวิชาลอยตัว!" เรย์โนลด์กล่าว
วิชาลอยตัวนั้นช่วยให้คนผู้หนึ่งสามารถลอยขึ้นและลงได้
"เข้ามาดูใกล้ๆ" อยู่ๆลินลี่ย์ก็บินเอียงๆขึ้นไปในอากาศเมื่อไปถึงความสูงหลายสิบเมตร เขาก็บินลงมาอีกครั้งด้วยความเร็วสูงแต่เมื่อลงมาที่ระดับความสูง 20ซม.อีกครั้งเขาก็หยุดและรักษาระดับความสูงนี้เอาไว้
ลินลี่ย์ลงสู่พื้นหลังจากรักษาระดับความสูงนี้ไว้ครู่หนึ่ง
"วิชาทะยานฟ้า?" เยลและคนอื่นๆ รู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง
แม้ว่าการสาธิตของลินลี่ย์จะดูเหมือนง่าย แต่ก็แสดงให้เห็นสิ่งหนึ่งอย่างชัดเจนการที่สามารถลอยเอียงๆขึ้นไปได้นั้นเป็นสิ่งที่มีเพียงวิชาทะยานฟ้าเท่านั้นที่ทำได้
"เฮ้ ไม่เจอกันนานเลยนะ! ลินลี่ย์! ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอเจ้ากำลังแสดงทักษะการกระโดดของเจ้าอยู่"เสียงหัวเราะของชายหนุ่มดังมาจากที่ไกลๆขณะที่เขากำลังเดินมา การเคลื่อนที่ของลินลี่ย์ดูราวกับกำลังกระโดดขึ้นไปในอากาศจริงๆ
สำหรับนักรบที่ทรงพลังส่วนใหญ่ การกระโดดสูงหลายสิบเมตรไม่ใช่เรื่องยากเย็น
และคนส่วนใหญ่ในสถาบันเอินส์ต่างก็ทราบดีว่าลินลี่ย์อัจฉริยะคนนี้นั้นไม่ได้เป็นเพียงจอมเวท เขายังเป็นนักรบที่ทรงพลังอีกด้วยคนมากมายได้เห็นเขาแบกก้อนหินหนักสองพันกิโลได้อย่างง่ายดายในหอพักของเขา
ลินลี่ย์ เยล และคนอื่นๆมักจะหยอกล้อกับคนที่อยู่ข้างๆห้องอยู่เสมอคนที่กำลังเดินมาก็เป็นหนึ่งในนั้น
"น้องสาม เจ้าได้เป็นจอมเวทระดับ 7 แล้วจริงๆไม่...นี่มันไม่น่าเป็นไปได้ แต่ว่าตอนนี้ข้าเพียง..."จอร์จเป็นคนแรกที่จะพูดจาสับสนออกมาหลังจากเพื่อนข้างห้องพวกเขาจากไป
"จอมเวทระดับ 7 ที่มีอายุเพียง 17 ปี สวรรค์ข้าไม่รู้ว่าเคยมีอัจฉริยะเช่นนี้ในประวัติศาสตร์ของทวีปยูลานมาก่อนหรือไม่?" เรย์โนลด์ตื่นเต้นและสับสนมาก
ดวงตาของเยลเปล่งประกายเมื่อมองไปที่ลินลี่ย์"แม้แต่ข้าก็เริ่มมองเห็นพิธีจบการศึกษาของน้องสามอยู่รำไรแล้วข้าชักอยากจะเห็นแล้วสิว่าพวกผู้ทดสอบจะทำหน้าอย่างไร..."
….
เช้าวันต่อมา ลานว่างสำหรับทดสอบความสามารถทางด้านเวทของสถาบันเอินส์ คณาจารย์30 คนยืนเรียงแถวกันอยู่ ความจริงแล้วอาจารย์สี่คนก็เพียงพอแล้วสำหรับการทดสอบเพื่อขอจบการศึกษาแต่อาจารย์ในสถาบันเอินส์ส่วนใหญ่ล้วนมีเวลาว่างเหลือเฟือ เมื่อได้ยินว่าลินลี่ย์กำลังยื่นคำร้องขอจบการศึกษาด้วยแล้วพวกเขาทั้งหมดล้วนมาเพื่อชมดูความสนุกสนานที่กำลังจะเกิดขึ้น
พูดโดยทั่วไปแล้ว นักเรียนส่วนใหญ่จะยื่นคำร้องขอจบการศึกษาหลังจากที่ได้รับการยืนยันแล้วว่าได้เป็นจอมเวทระดับ6 หลังจากที่อยู่ในระดับ 6 ระยะเวลาหนึ่งแล้วบางครั้งเท่านั้นที่พวกเขาจะยื่นคำร้องขอจบการศึกษา ในสถานการณ์แบบนั้นไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะต้องทำการทดสอบเพื่อจบการศึกษา ด้วยเหตุนี้เองการทดสอบเพื่อขอจบการศึกษาเป็นเหตุการณ์ที่ยากจะพบเจอ
คณาจารย์ 30 คนกับนักเรียนอีก 3 - เยล, จอร์จ และเรย์โนลด์
ในบรรดาคณาจารย์ทั้ง 30 คน รวมถึงรองอธิการบดีดีแลนด์ซึ่งมาที่นี่อย่างเอิกเกริกด้วยฐานะของดีแลนด์ "หากหนึ่งในสองอัจฉริยะที่ยอดเยี่ยมที่สุดของสถาบันยื่นคำร้องขอจบการศึกษาข้าต้องได้เป็นหนึ่งในสักขีพยานเรื่องนั้น"
"ลินลี่ย์ เจ้าจงร่ายเวทธาตุดิน 'พยุหะหอกดิน' เราจะประเมินระดับของเจ้าโดยใช้ขนาดและความเร็วของมันเป็นพื้นฐานในการตัดสิน"ผู้ทำการทดสอบคนหนึ่งพูดขึ้น
หากเวทมนต์ที่เขาร่ายมีพลังถึงระดับ 6เขาย่อมสามารถจบการศึกษาได้อย่างไม่ต้องสงสัย
ลินลี่ย์ส่ายหน้าช้าๆ
ผู้ร่วมสังเกตุการณ์ทั้งหมดอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัย รองอธิการบดีดีแลนด์พูดออกมาว่า"เกิดอะไรขึ้นลินลี่ย์? เจ้ายื่นเรื่องขอจบการศึกษาไม่ใช่รึ?"
"ข้าอยากจะขอใช้เวทธาตุลม" ลินลี่ย์กล่าวพร้อมรอยยิ้ม
รองอธิการบดีดีแลนด์และผู้ร่วมสังเกตุการณ์ทุกคนหัวเราะออกมา พวกเขารู้ว่าลินลี่ย์เป็นจอมเวทสองสายธาตุดินและลม แต่การทดสอบความแข็งแกร่งของเวทนั้นทดสอบพลังจิตเป็นหลักดังนั้นไม่ว่าจะทดสอบด้วยธาตุใดโดยพื้นฐานความแข็งแกร่งของพลังจิตไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย
"เอาเลย!" รองอธิการบดีดีแลนด์และคณาจารย์ทั้ง 30 คนยิ้มให้ลินลี่ย์
ลินลี่ย์เริ่มพึมพำร่ายเวทธาตุลมระดับ 7 'วิชาทะยานฟ้า' ทันที หลังจากนั้นไม่นานเริ่มมีลมพัดหมุนรอบตัวของลินลี่ย์ ร่างของลินลี่ย์ลอยขึ้นไปในอากาศแล้วเขาก็เริ่มบินไปมาในอากาศอย่างคล่องแคล่ว บ้างครั้งก็เลี้ยว บางทีก็พุ่งลงบินครั้งก็บินไปตรงๆด้วยความเร็วสูง
“วะ..วิชาทะยานฟ้า?”
คณาจารย์จอมเวททั้ง 30 คนพากันตกตะลึงทุกคนต่างทราบดีว่าสิ่งที่เห็นนั้นคือการใช้วิชาทะยานฟ้า"จอมเวทสองสายธาตุระดับ7 อายุ 17 ปี นี่..." รองอธิการบดีดีแลนด์เข้าใจได้ในทันทีว่าเรื่องนี้จะเป็นที่โจษขานไปอีกนานเท่านานในสถาบันเอินส์