ตอนที่ 5-10 ศักดิ์ฐานะ
ลินลี่ย์หันกลับไปมองกลุ่มคนผู้มาช่วยเหลือเขา ผู้นำกลุ่ม ชายชราชุดดำ และ 'โยคี' ยืนคู่กัน ทั้งคู่ล้วนแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ไม่อย่างนั้นผู้คุมกฏของพันธมิตรมืดย่อมไม่หลบหนีไปโดยไม่ต่อสู้เป็นแน่
ชายชราชุดดำปล่อยรังสีอันน่าหวาดหวั่นออกมา
"รองผู้ผู้คุมกฏ? หลายปีที่ผ่านมานี้ ดูท่าวิหารเจิดจรัสไม่ได้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายในเลยสินะรองผู้ผู้คุมกฏคนนี้น่าจะสังกัดอยู่กับ 'ตุลาการของวิหารเจิดจรัส' " เดลิน โคเวิร์ทพูดขึ้นในใจของลินลี่ย์ "หากเทียบกันแล้ว 'โยคี' ที่มาด้วยแข็งแกร่งกว่า"
โยคี?
ลินลี่ย์อดจ้องมองไปยัง 'โยคี' ไม่ได้
เขาสวมใส่ชุดที่ทำจากป่านหยาบ ไม่สวมรองเท้าเป็นชายชราที่มีผมยาวดูท่าทางเรียบง่ายและมีกลิ่นอายโบราณ
เมื่อ 'โยคี' มองมาที่ลินลี่ย์, ลินลี่ย์มีความรู้สึกเหมือนมีสายลมอันอบอุ่นของฤดูใบไม้ผลิพัดผ่าน
"แข็งแกร่งจริงๆ" ลินลี่ย์คิดในใจ
มองไปที่ลินลี่ย์, ใบหน้าของชายชราชุดดำปรากฏรอยยิ้มที่หาได้ยากยิ่งขึ้นมา "ลินลี่ย์, ทำไมเจ้าไม่กลับไปพร้อมกับพวกเราที่นครศักดิ์สิทธิ์เมื่อเจ้าอยู่ในนครศักดิ์สิทธิ์องค์กรเหล่านั้นย่อมไม่กล้ามายุ่งวุ่นวายกับเจ้าแน่นอน"
เมืองเฟนไลเป็นเมืองหลวงศักสิทธิ์ของสหภาพศักดิ์สิทธิ์ วิหารเจิดจรัสฝังรากลึกอยู่ในเมืองเฟนไลมีกองกำลังแข็งแกร่งประจำอยู่ทั้งในที่แจ้งและที่ลับ ไม่ว่าจะพันธมิตรมืดหรือจักรวรรดิใหญ่ทั้งสี่มีหรือจะกล้าก่อปัญหาในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์
….
แถบตะวันออกของเมืองเฟนไล ภายในคฤหาสน์บนถนนกรีนลีฟ ลินลี่ย์กับเยลกำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นปรึกษาเรื่องของ'ดาบศึกล่าสังหาร' กันอยู่
"น้องสาม ข้าได้ส่งคนไปสอบถามข้อมูลมาแล้วพบว่าผู้นำตระกูลของตระกูลลูคัสไม่สนใจข้อเสนอขอซื้อ 'ดาบศึกล่าสังหาร' เขาพูดว่าตระกูลของเขาไม่ได้ขัดสนเงินทอง" เยลขมวดคิ้ว"ข้าคิดว่าอาจจะมีโอกาสมากกว่าถ้าเจ้าไปเยือนด้วยตัวเองแต่อย่างแรกต้องทำให้เขารู้ฐานะของเจ้าก่อน"
สุดยอดจอมเวทอัจฉริยะอันดับสองในประวัติศาสตร์ของทวีปยูลานคนที่มีโอกาสสูงมากที่ในอนาคตจะกลายมาเป็นปรมาจารย์จอมเวทระดับเซียนเป็นคนที่แม้แต่ผู้นำตระกูลของตระกูลลูคัสซึ่งไม่ว่าดื้อรั้นเพียงใดก็ตามย่อมต้องไว้หน้าอยู่บ้างเป็นแน่
"งั้นคืนนี้ข้าจะลองไปเยี่ยมเยือนผู้นำของตระกูลลูคัสดูสักครา" ลินลี่ย์มองว่า'ดาบศึกล่าสังหาร' เป็นของสำคัญที่จะต้องนำกลับมาครอบครองให้ได้
สมบัติของบรรพชนตระกูลตัวเองจะปล่อยให้อยู่นอกตระกูลได้อย่างไรกัน? จะมีอะไรสำคัญไปกว่าการทำความปรารถนาของบิดาเขาและบรรพชนเขาให้สำเร็จได้เล่า
คำพูดที่บิดาของเขาพูดเอาไว้ตอนที่ลินลี่ย์เดินทางออกจากบ้านไปยังสถาบันเอินส์ยังคงดังก้องอยู่ในใจของลินลี่ย์
"จำไว้ให้ดีนะลินลี่ย์ นี่เป็นความปรารถนาอันยาวนานนับศตวรรษของตระกูลบาลุคทุกรุ่นจดจำความอัปยศนี้ของตระกูลบาลุคเอาไว้!"
"หลังจากที่เจ้าจบการศึกษา อย่างน้อยเจ้าก็จะเป็นจอมเวทระดับ 6ตราบเท่าที่เจ้าฝึกฝนอย่างหนักการเลื่อนขึ้นไปเป็นจอมเวทระดับ 7 ย่อมไม่ยากจนเกินไปนี่ยังไม่นับที่เจ้าเป็นสองสายธาตุอีกนะ! จอมเวทสองธาตุระดับ 7นั้นย่อมต้องได้เป็นใหญ่เป็นโตในอาณาจักรเฟนไลแน่ๆในอนาคตเจ้าจะต้องมีศักยภาพมากพอที่จะนำมรดกของบรรพชนเรากลับมาได้แน่นอนหากเจ้าละเลยที่จะนำมันกลับคืนมา แม้จะตายกลายเป็นผีข้าก็จะไม่ให้อภัยเจ้า"
…..
"แม้จะตายกลายเป็นผีข้าก็จะไม่ให้อภัยเจ้า"คำพูดของบิดาเขาราวกับค้อนที่ทุบเข้าใส่จิตใจของลินลี่ย์
ลินลี่ย์ไม่อาจลืมคำพูดเหล่านี้แม้แต่คำเดียวตราบเท่าที่เขามีความสามารถพอที่จะทำมันให้สำเร็จได้เขาจะต้องนำ 'ดาบศึกล่าสังหาร' กลับคืนมาให้ได้ ไม่ว่าต้องแลกด้วยสิ่งใดก็ตาม เป้าหมายนี้ไม่ใช่ทำเพื่อตระกูลเท่านั้นยังเป็นการทำเพื่อบิดาของเขาอีกด้วย
"ไม่ว่าต้องแลกด้วยอะไร ข้าจะต้องนำมันกลับมาให้ได้" ลินลี่ย์มุ่งมั่นอย่างเต็มที่
หากใช้ไม้อ่อนไม่สำเร็จ เขาก็เตรียมจะใช้ไม้แข็งอย่างไม่ลังเล
แน่นอนว่าย่อมดีกว่าหากว่าเขาสามารถนำมรดกของบรรพชนเขาคืนมาอย่างเปิดเผยและไม่ก่อให้เกิดความบาดหมางเขาจะทำให้ดีที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้เพื่อจะนำมันกลับคืนมาจากผู้ถือครองในปัจจุบัน
"นายท่านทำไมไม่ลองให้ข้าจัดการเรื่องนี้และนำมันกลับมาแทนท่านเล่า" อยู่ๆบีบีก็สื่อสารทางจิตกับลินลี่ย์
ลินลี่ย์มองไปที่บีบี ซึ่งงีบอยู่บนขาของลินลี่ย์เขาอดที่จะลูบหัวเล็กๆของบีบีไม่ได้ "ไม่สร้างปัญหาจะดีที่สุด"บีบีได้แต่ย่นจมูกของมันพร้อมส่งเสียงไม่พอใจออกมาเบาๆแล้ววางหัวเล็กๆของมันลงบนขาของลินลี่ย์แล้วนอนหลับต่อ
ขณะนั้นเอง มีเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านนอก ชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมสีฟ้าเดินเข้ามาและทำความเคารพ"คุณชายเยล ท่านรัฐมนตรีของอาณาจักรเฟนไลใต้เท้าคาลวินรอพบอยู่ข้างนอกเขามาขอเข้าพบคุณชายลินลี่ย์"
"คาลวิน? เขาเป็นใครกัน? "เยลขมวดคิ้ว
โดยทั่วไปแล้วเยลไม่ได้รู้สึกอะไรกับการพบปะพูดคุยกับรัฐมนตรีธรรมดาของอาณาจักร
"คุณชายเยลเมื่อเร็ว ๆนี้ท่านไม่ได้พุ่งความสนใจไปที่ตระกูลลูคัสหรอกหรือ? คาลวินคนนี้ก็เป็นสมาชิกของตระกูลลูคัสเช่นกัน"ชายชุดคลุมฟ้าหัวเราะ"ผู้นำของตระกูลลูคัสคนปัจจุบันจริงๆแล้วเป็นลุงของเขา"
ดวงตาของเยลเป็นประกาย "เร็วเข้า! รีบให้เขาเข้ามา"
"น้องสาม ดูเหมือนว่าโอกาสของเจ้าในการนำมรดกของบรรพชนของตระกูลเจ้าจะเพิ่มมากขึ้นแล้ว"เยลหัวเราะกับลินลี่ย์
หัวใจของลินลี่ย์พองโตด้วยความยินดีที่ได้รับโอกาสไม่คาดฝัน
ลินลี่ย์มองตรงไปที่ประตูอย่างตื่นเต้น เพียงไม่นานหลังจากนั้นมีชายผมสีทองเดินยิ้มแย้มก้าวเข้ามาในห้องเมื่อเห็นลินลี่ย์และเยล เขาก็คารวะอย่างสุภาพในทันที" ข้าน้อยคาลวิน ขอคารวะคุณชายลินลี่ย์, คุณชายเยล"
"คาลวิน ท่านมามีธุระอันใดกับพี่น้องของข้า?" เยลถามตรงๆ
คาลวินไม่สนใจคำถามอันอุกอาจของเยลแม้แต่น้อย เขายิ้มพลางกล่าวว่า "ข้าทำตามประสงค์ของพระราชามาเยี่ยมเยือนคุณชายลินลี่ย์แทนพระองค์คุณชายลินลี่ย์ท่านสนใจเข้ารับตำแหน่งในกระทรวงเวทมนต์ของอาณาจักรเฟนไลหรือไม่? พระราชาของเราจะแต่งตั้งท่านให้อยู่ในตำแหน่งมาร์ควิสพร้อมทั้งมอบที่ดินให้สมกับตำแหน่งของท่านอีกด้วย"
ลินลี่ย์หัวเราะ
เขายังจำเงื่อนไขที่ะคาร์ดินัลของวิหารเจิดจรัสเสนอให้กับเขาได้เป็นอย่างดีนั่นคือเขาสามารถเลือกรับใช้อาณาจักรใดก็ได้ที่อยู่ในสังกัดของสหภาพศักดิ์สิทธิ์และยังได้รับยศสูงถึงระดับดยุค เขายังไม่ได้แสดงอาการใดๆตอบสนองเพียงแค่สนุกกับการใช้ชีวิตต่อไป
"คาลวิน ข้าต้องบอกท่านก่อนว่า ตอนที่ข้าอยู่ที่สถาบันเอินส์คาร์ดินัลของวิหารเจิดจรัสได้มาเชิญพี่น้องของข้าด้วยตัวเอง เพื่อโน้มน้าวให้พี่น้องของข้าเข้าร่วมกับวิหารเจิดจรัสและข้อเสนอของเขานั้นสูงกว่าที่ท่านเสนอมามากกว่านี้มากมายยิ่ง!" เยลเยาะเย้ย
คาลวินหัวเราะและกล่าวต่อว่า "ข้อเสนอยังสามารถเจรจาต่อรองได้ราชาของเราเพียงหวังว่า ลินลี่ย์จะเลือกรับใช้อาณาจักรเฟนไลของเราเป็นสำคัญ"
อันที่จริงแล้ว ในแต่ละอาณาจักรในสังกัดสหภาพศักดิ์สิทธิ์ล้วนมีแสนยานุภาพแตกต่างกันหากอาณาจักรเฟนไลได้ลินลี่ย์ไปเสริมกำลังแล้ว ในอนาคตฐานะของอาณาจักรเฟนไลในสหภาพศักดิ์สิทธิ์ย่อมมั่นคงอย่างแน่นอน
อันที่จริงแล้ว…
วิหารเจิดจรัสมีอำนาจแต่งตั้งราชาของอาณาจักรที่อยู่ภายใต้สังกัดสหภาพศักดิ์สิทธิ์มีอำนาจแม้กระทั่งกำจัดราชวงค์ใดๆแบบถอนรากถอนโคน! วิหารเจิดจรัสมีอำนาจอยู่เหนือราชวงค์ทั้งหมดโดยสิ้นเชิง
ดังนั้นการมีผู้แข็งแกร่งคอยสนับสนุนจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งสำหรับราชวงค์
"คาลวิน"
ในที่สุดลินลี่ย์ก็เอ่ยปาก
คาลวินโค้งคำนับเล็กน้อยทันที พร้อมทั้งตั้งใจฟังทุกคำที่ลินลี่ย์กำลังจะเอ่ย
"ท่านเป็นคนของตระกูลลูคัสใช่หรือไม่" ลินลี่ย์พูดเข้าเรื่องสำคัญของเขาทันที
คาลวินพยักหน้า ใบหน้าของเขาปรากฏความภาคภูมิใจและกล่าวว่า "ใช่แล้วท่านผู้นำตระกูลเป็นท่านลุงของข้าเอง"
"ข้าเป็นคนของตระกูลบาลุค"ลินลี่ย์มองตรงไปทีคาลวิน"อันที่จริงมรดกของบรรพชนตระกูลบาลุคของข้านามว่า 'ดาบศึกล่าสังหาร' หลุดลอยไปจากตระกูลข้านานหลายศตวรรษแล้ว ตอนนี้ข้าหวังว่าจะสามารถนำ 'ดาบศึกล่าสังหาร' เล่มนี้กลับคืนสู่ตระกูล เท่าที่ข้ารู้ตอนนี้ดาบเล่มนี้อยู่ในมือตระกูลลูคัสของท่าน"
หลังจากพูดจบ ลินลี่ย์ก็หยุดพูดต่อ
คาลวินอดขมวดคิ้วไม่ได้
" ใช่ 'ดาบศึกล่าสังหาร' ซึ่งเป็นอาวุธของนักรบเลือดมังกรคนแรกใช่หรือไม่" คาลวินมองดูลินลี่ย์
คาลวินเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า "คุณชายลินลี่ย์ขอเรียนตามตรงท่านลุงของข้าเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในตระกูลแต่ท่านลุงของข้าได้วางมือไปแล้วเมื่อปีก่อนท่านลุงไม่ได้รับผิดชอบดูแลกิจการของตระกูล แล้วเหลือเพียงงานอดิเรกหลักของท่านคือการเป็นนักสะสม และ 'ดาบศึกล่าสังหาร' เป็นหนึ่งในของสะสมที่ท่านมักจะนำมาอวดให้ผู้คนที่มาเยี่ยมท่านดูอยู่บ่อยๆสมบัติชิ้นนี้มีมูลค่าเกือบล้านเหรียญทองเป็นหนึ่งในสมบัติที่มีมูลค่าสูงสุดชิ้นหนึ่งซึ่งตระกูลเราได้เก็บสะสมเอาไว้พูดให้ถูกท่านลุงของข้ารักสมบัติชิ้นนี้เท่าชีวิตของเขาเลยทีเดียวจะให้ท่านลุงยอมปล่อยมือจากมันแล้วขายให้กับท่านข้าเกรงว่านี่...ออกจะยากเอาการเลยทีเดียว "
ลินลี่ย์ขมวดคิ้ว
เดิมที 'ดาบศึกล่าสังหาร' ถูกขายไปเพียง 180,000 เหรียญทอง แม้ว่าตอนนี้จะอยู่ในภาวะเงินเฟ้อมูลค่าทองของศตวรรษที่ผ่านมาได้มากขึ้นกว่าในอดีตราคาของมันในตอนนี้ก็ไม่น่าจะเกินไปกว่า 400,000 เหรียญทอง แต่ราคาที่คาลวินเพิ่งกล่าวออกมาเมื่อครู่คือเกือบหนึ่งล้านเหรียญทอง
ดูเหมือนว่า...
ผู้ที่ขายดาบศึกเล่มนี้ในราคาที่ต่ำเกินจริงเช่นนี้นับเป็น 'ความอัปยศของตระกูล' ชัดๆ
"ท่านคาลวิน 'ดาบศึกล่าสังหาร' เล่มนี้เป็นมรดกของบรรพชนเพียงชิ้นเดียวที่ผ่านกาลเวลามานานกว่า 5,000 ปีท่านคงจินตนการได้ว่ามันมีความสำคัญต่อตระกูลของข้ามากมายเพียงใดสำหรับคนนอกมันคงเป็นเพียงของสะสม แต่สำหรับตระกูลของข้า การสูญเสียมรดกชิ้นนี้คือความอัปยศอดสู" ใบหน้าของลินลี่ย์เปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำและน่ากลัวระหว่างที่เขาพูด
"ข้าจะต้องล้างความอัปยศนี่ออกไปเพื่อกอบกู้เกียรติของตระกูลกลับมาอีกครั้งเพื่อที่จะนำ 'ดาบศึกล่าสังหาร' เล่มนี้กลับมา ข้าพร้อมสู้ราคาไม่ว่าเท่าไหร่ก็ตามท่านเข้าใจที่ข้ากล่าวใช่หรือไม่?" ลินลี่ย์มองตรงไปคาลวิน
คาลวินรู้สึกได้ว่าการสนทนาครั้งนี้ผิดทิศผิดทางไปมาก
เขาเองก็เคยได้ยินประวัติของตระกูลบาลุค จะว่าไปแล้วตระกูลของเขาเองก็มีสิ่งของหลายชิ้นที่เกี่ยวข้องกับตระกูลบาลุค
สำหรับตระกูลหนึ่งที่เคยครองพื้นที่ในทวีปยูลาน ความสำคัญของมรดกตกทอดของพวกเขาพอจะนึกภาพได้ ในอดีต ตระกูลบาลุคอ่อนแอเกินไปและอาจถูกมองข้ามโดยทำอะไรไม่ได้ แต่ตอนนี้ลินลี่ย์ผู้นี้ไม่ทราบว่าโผล่มาจากที่ใด อย่าว่าแต่อนาคตของลินลี่ย์เลยแม้แต่ลินลี่ย์ในปัจจุบันนี้ก็ยากจะจัดการได้
หากลินลี่ย์บอกกับวิหารเจิดจรัสว่าต้องการนำ 'ดาบศึกล่าสังหาร' กลับมาเพื่อล้างความอัปยศให้แก่ตระกูลเป็นไปได้มากว่าตระกูลลูคัสจะต้องยอมมอบมันออกมาอย่างว่าง่าย
แต่หากให้วิหารเจิดจรัสเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้เรื่องราวจะซับซ้อนมากขึ้นต่อทุกคนที่เกี่ยวข้อง
"ข้าเข้าใจความหมายของท่าน คุณชายลินลี่ย์" คาลวินเริ่มเครียดเล็กน้อย
ลินลี่ย์ยิ้มและมองไปที่คาลวิน"ข้าหวังว่าตระกูลลูคัสจะเข้าใจว่าข้าอยู่ในภาวะที่วางตัวลำบากในฐานะที่เป็นผู้สืบทอดตระกูล ข้าไม่มีทางเลือกอื่น คาลวินทำไมท่านไม่ลองกลับไปปรึกษากับท่านลุงของท่านก่อนคืนนี้ข้าจะไปเยือนตระกูลของท่านเป็นการส่วนตัว"
"ตระกูลลูคัสของเรายินดีต้อนรับการมาเยือนของคุณชายลินลี่ย์" คาลวินได้เริ่มต้นวางแผนการที่จะกล่อมท่านลุงหัวรั้นของเขาเอาไว้ในใจแล้ว
ขณะที่มองคาลวินเดินจากไป ลินลี่ย์รู้สึกถึงความได้เปรียบเล็กน้อยหลังการพบปะจบลง
แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้รับตำแหน่งใดๆอย่างเป็นทางการ ลำพังแค่ชื่อเสียงกับคำพูดไม่กี่คำ เขาก็สามารถกดดันจิตใจรัฐมนตรีของอาณาจักรได้อย่างง่ายดายนี่ล้วนเป็นผลจากฐานะของเขา และฐานะของเขานั้นได้มาด้วยพลังของเขาเอง
….
กลางดึกคืนนั้น
ห้องรับรองของตระกูลลูคัสเต็มไปด้วยของประดับอย่างมีรสนิยมและมีผู้คนสิบคนอยู่ภายในห้องไม่ต้องสงสัยเลยว่าทั้งสิบคนล้วนเป็นคนสำคัญของอาณาจักรเฟนไล ตำแหน่งต่ำสุดในบรรดาพวกเขามียศเป็นถึงท่านเคาท์และเหตุที่ทำให้พวกเขาทั้งหมดมาอยู่รวมกันในที่แห่งนี้ก็เพื่อมาพบลินลี่ย์
ลินลี่ย์ดาวจรัสแสงดวงใหม่แห่งอาณาจักรเฟนไล
แม้ว่าลินลี่ย์จะมีอายุเพียง 17 ปี และแม้ว่าลินลี่ย์จะไม่ได้มีตำแหน่งขุนนางแม้แต่ดยุคของอาณาจักรก็ไม่กล้ารับรองเขาอย่างง่ายๆ
จริงๆแล้วไม่สำคัญว่าจะมีตำแหน่งสูงเพียงใดพวกเขาเพียงวางอำนาจได้เพียงภายในอาณาเขตของอาณาจักรเฟนไลเท่านั้น แต่ลินลี่ย์นั้นต่างออกไปเขาเป็นบุคคลากรล้ำค่าที่ไม่ว่าจะเป็นจักรวรรดิใหญ่ทั้งสี่หรือกระทั่งสองพันธมิตรใหญ่ล้วนจับจ้องตาเป็นมันบางทีอีกไม่กี่สิบปีให้หลังจากนี้ ลินลี่ย์อาจกลายมาเป็นคาดินัลของวิหารเจิดจรัสซึ่งมีฐานะเหนือกว่าราชาของพวกเขาเสียอีก
จะดีที่สุดสำหรับพวกเขาหากสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลินลี่ย์เอาไว้เสียตั้งแต่ตอนนี้ตอนที่ลินลี่ย์ยังมียศต่ำกว่าพวกเขาและโดยปกติแล้วการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลินลี่ย์เอาไว้ถือเป็นเรื่องสำคัญอยู่แล้ว
ในบรรดาคนกว่าสิบคนในห้องมีเพียงผู้นำตระกูลลูคัสมาร์ควิสเจบส์รู้สึกค่อนข้างอึดอัดใจ เขาเพิ่งจะขึ้นรับตำแหน่งปีนี้และเขาไม่ได้มีงานอดิเรกอื่นนอกเหนือจากการสะสมอาวุธและหนึ่งในอาวุธที่เขารักมากที่สุดคืออาวุธของนักรบเลือดมังกรคนแรกนั่นเองมันเป็นความภาคภูมิใจและความสุขของเขา
แต่ทว่า...ทายาทของนักรบเลือดมังกรคนแรกซึ่งเป็นเจ้าของอาวุธชิ้นนี้กำลังมาเยือนเพื่อทวงสมบัติชิ้นนี้กลับคืนสู่ตระกูลของเขาอีกครั้ง
"ท่านลินลี่ย์เชิญด้านใน"
"ท่านเยลเชิญด้านใน"
เสียงของคนรับใช้ด้านนอกได้ยินเข้ามาถึงด้านในผู้คนสิบกว่าคนด้านในยิ้มแย้มและหันหน้าไปยังประตูทางเข้าในทันทีแม้ว่าไม่ได้มีความสุขมาร์ควิสเจบส์ก็ยังเค้นรอยยิ้มออกมาบนใบหน้าของเขาได้
นี่เป็นครั้งแรกที่ลินลี่ย์ได้ใช้คำนำหน้าว่า 'ท่าน' นำหน้าชื่อเขา เขาไม่ค่อยได้ใช้มันเขามองไปยังชายชราผมสีเงินสะท้อนแสงวูบวาบเดินเข้ามาหาเขาพร้อมกับกล่าวอย่างสุภาพด้วยรอยยิ้มพรายบนใบหน้า"ขอต้อนรับสู่บ้านของตระกูลข้าด้วยความยินดียิ่งลินลี่ย์และเยล ในฐานะผู้นำตระกูลนี้ตัวข้า เจบส์รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง"
ลินลี่ย์อดเผยรอยยิ้มออกมาบนใบหน้าของเขาไม่ได้ ดูเหมือนเขาโชคดีแล้ว!