ตอนที่ 115 – ตอนที่ 112 ก้าวหน้าระหว่างสู้
เย่ว์หลิ่งรักและปกป้องบุตรชายของเขามาก เขาสั่งคนของตนเองล่วงหน้าไว้ให้รอช่วยเหลือบุตรชายของเขา
เมื่อเห็นว่าโล่ป้องกันเย่ว์เยี่ยนหายไป พวกเขารีบขึ้นมาช่วยเหลือพวกเขาทันที
โคเงาไม่สนใจว่าใครจะขึ้นมา นางระดมกำปั้นยักษ์ใส่พวกเขา ที่อยู่รอบๆ ตัวนางราวห่าฝน ผู้คุ้มกันของตระกูลคนหนึ่งที่ขึ้นไปก่อนและพยายามจะช่วยเย่ว์เยี่ยน ไม่สามารถหลบได้พ้นเนื่องจากมีคนขวางอยู่ด้านหลัง ส่งผลให้เขาโดนหมัดจนปลิว เขาร้องอย่างน่าสงสารขณะที่กระเด็นไปด้านหลังอย่างน้อย 10 เมตร ยามอีกคนพอมีฝีมือเขาใช้อสูรที่บินได้มาช่วย เขารีบกระโดดไปคว้าตัวเย่ว์เยี่ยนอย่างเร็ว อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะรู้สึกยินดีกับตนเอง เขาก็ต้องตะลึงเมื่อนางพญากระหายเลือดบินเข้ามาถึงด้วยความเร็วปานสายฟ้า เพื่อขวางเขาไว้กลางอากาศ
ดาบจันทร์เสี้ยวในมือของนางพญากระหายเลือดหมุนเร็วราวสายลม
ไม่ว่าตรงไหนที่ดาบจันทร์เสี้ยวผ่านไป ไม่สนว่าจะเป็นอินทรีศึกที่กำลังบินหรือเจ้าหน้าที่คุ้มกันของตระกูล ที่กำลังพาเย่ว์เยี่ยนหนีพวกเขาต่างได้รับบาดเจ็บจนเลือดพุ่งกระจายในอากาศ
ในที่สุด เย่ว์หลิ่งต้องออกหน้าเองและใช้แขนเหล็กป้องกันดาบจันทร์เสี้ยวเพื่อช่วยบุตรชายของตน
เขาแค่นเสียงเย็นชาและประกายแสงสีดำแล่บออกมาจากแขนขวาของเขา
อันตราย
นางพญากระหายเลือดกระพือปีกนางและบินถอยไปทันที นางปราดเปรียวเหลือเชื่อ บินอยู่อยู่ในท้องฟ้ารักษาระยะห่างจากเย่ว์หลิ่ง
เย่ว์หลิ่งพบว่าบุตรชายของเขามีอาการบาดเจ็บก็รู้สึกโกรธเหลือประมาณ เขาจ้องมองเย่ว์หยาง แต่เจ้าเด็กตัวแสบทำแต่เพียงท่าทางเหมือนกับว่า “ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น” มองดูเหมือนเด็กไร้เดียงสา จนแทบจะทำให้เขาระเบิดอารมณ์โกรธ
ต่อหน้าต่อตาสาธารณชนที่ให้ความสนใจอยู่ เย่ว์หลิ่งไม่สามารถทำร้ายเย่ว์หยางอย่างเปิดเผยได้ เขาได้แต่กล้ำกลืนความโกรธเกลียดเอาไว้และอุ้มเย่ว์เยี่ยนลงจากเวทีกลับเข้าไปรวมกลุ่มกับคนในตระกูล
ขณะที่ลุงใหญ่เย่ว์ซานยังต้องการรักษาตำแหน่งของตัวเองและปฏิเสธที่จะเข้าไปช่วยบุตรชายของตน ก็ยังมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าของเขา เป็นเหมือนกับว่าไม่ว่าบุตรชายของเขาจะเป็นหรือตายก็ไม่มีอะไรที่เขาทำได้
ขณะที่พวกเจ้าหน้าที่ประจำตระกูลเอาร่างเย่ว์เทียนที่ยังหมดสติอยู่มาอย่างเร็วเท่าที่จะทำได้ โคเงาก็ยังไล่ตามพวกเขาและระดมหมัดไล่ตามหลัง พวกเจ้าหน้าที่ของตระกูลได้รับบาดเจ็บหนักและหลังของเขาแทบจะหักเสียให้ได้ เย่ว์เทียนที่ยังหมดสติอยู่ก็ได้รับแรงกระแทกหนักจากการโจมตีนั้นด้วยถึงกับกระอักเลือดและอาจได้รับบาดเจ็บหนักก็ได้ ยังโชคดีที่หน่วยรักษาความปลอดภัยตระกูลมีคนที่ใช้อสูรสายเสริมพลัง ได้สละตนเองเข้าปกป้องเขา ถ้าไม่อย่างนั้น ชีวิตของเย่ว์เทียนอาจจบลงตรงนั้นแน่นอน ยามรักษาการณ์ของตระกูลได้รับบาดเจ็บตกลงจากเวที ขณะที่เขาหนีเอาชีวิตรอด และทิ้งจรเข้หางเหล็กของเขาเอาไว้คอยต่อสู้ขัดขวาง
จรเข้หางเหล็กยกหางที่ยาวของมันฟาดใส่โคเงาอย่างสุดกำลัง มันต้องการดึงความสนใจเพื่อหยุดการไล่ล่าของนาง
ใครจะรู้ได้ว่า สถานะของเย่ว์หยางยิ่งสูงส่งขึ้นทุกวัน
โคเงาหายใจฟึดฟัดเป็นประกายไฟออกทางปากและจมูก และลำแสงสีแดงในดวงตาก็ฉายประกายอีกครั้ง จรเข้หางเหล็กที่มีชื่อในเรื่องฟาดหางเหล็กและกัดถูกสังหารทันทีเหมือนอสูรตัวอื่นๆ
“บึ้ม! บึ้ม!”
ศึกใหญ่ระหว่างเย่ว์ถิงและเย่ว์ปิงปะทุขึ้นอีกด้านหนึ่ง
เย่ว์ถิงต้องการมาช่วยพี่ชายของเขา แต่เย่ว์ปิงระวังเขามาตลอด นางก็ต้องการช่วยพี่ชายของนางเหมือนกัน แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี ดังนั้น ทันทีที่เย่ว์ถิงขยับนางสั่งนักรบพฤกษาร้อยปีของนางจู่โจมใส่เขาทันที
ญาติพี่น้องทั้งสองคนได้พบคู่ต่อสู้ของพวกเขาเองและทั้งคู่มีฝีมือก้ำกึ่งกัน
เย่ว์ถิงครอบครองอสูรสายเสริมพลัง หมีหฤโหด มีผิวหนังเลือดเนื้อหนาทำให้ไม่กลัวถูกทุบตี มนุษย์พฤกษาร้อยปีก็เช่นเดียวกันเป็นอสูรที่สามารถกวาดล้างสนามรบได้ และอย่างน้อยมันไม่กลัวการสู้แบบตัวต่อตัว ยิ่งไปกว่านั้นมันยังใช้ขนดรากและพุ่มหนามคอยช่วยได้ เย่ว์ปิงเห็นว่า นางไม่สามารถปราบพี่ห้า เย่ว์ถิงได้จึงเรียกนักรบพฤกษาร้อยปีอีกตนหนึ่งออกมาร่วมสู้ด้วย เปลี่ยนสถานการณ์ต่อสู้ให้ได้เปรียบขึ้นมาบ้าง
เหล่าผู้ชมมองดูขณะที่นักรบพฤกษาร้อยปีใช้พุ่มหนามและขดรากขัดขวางหมีแปลงของเย่ว์ถิง จากนั้นพวกมันใช้รากและกิ่งฟาดใส่อย่างดุเดือด
แม้ว่าหมีที่รวมร่างกับเย่ว์ถิงจะรู้สึกเจ็บ แต่เขาไม่ได้รับบาดเจ็บ เขายังตะปบโต้ตอบอย่างคลุ้มคลั่ง
ในที่สุด การต่อสู้ครั้งนี้กลายเป็นมวยปล้ำประลองความแข็งแรง
ขณะที่พี่ชายที่ห้า เย่ว์ถิงใช้พลังของตนสู้เอง ในทางตรงกันข้ามน้องสาวที่เจ็ด เย่ว์ปิงต่อสู้โดยควบคุมผ่านนักรบพฤกษาร้อยปี ทั้งสองต่างเผชิญหน้ากันและกันตั้งใจแน่วแน่ว่าจะเอาชนะกันให้ได้
พลังของทั้งสองพี่น้อง ทั้งเย่ว์ถิงและเย่ว์ปิงต่างกันเพียงเล็กน้อยยากที่จะตัดสินได้ในระยะเวลาสั้นๆ ขณะนั้นเองเย่ว์ปิงได้เปรียบเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม หากต้องการจะเอาชนะหมีแปลงที่เย่ว์ถิงครอบครองอยู่และมีเรี่ยวแรงไม่จำกัดในเวลารวดเร็วนับว่าเป็นเรื่องยาก
“เรามาร่วมสู้กัน”
เสวี่ยทันหลางได้สะสมพลังของเขาไว้เป็นเวลานานแล้วและได้เรียกยักษ์วายุ อสูรเงินระดับ 4 ออกมา
ร่างครึ่งท่อนบนของยักษ์วายุเป็นเหมือนสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง ขณะที่กายท่อนล่างเป็นพายุหมุนทอร์นาโดที่หมุนด้วยความเร็วสูง พื้นผิวหินของเวทีถูกแรงลมหมุนจากกายท่อนล่างตัดจนขาด เป็นริ้วรอยลึกลงไปเหมือนกับว่าถูกของมีคมตัด ปรากฏอยู่บนพื้นผิวหิน
เสวี่ยทันหลางเป็นคนที่เย่ว์หยางไม่ต้องการสู้ด้วยมากที่สุด เว้นแต่เย่ว์หยางจะใช้พลังเต็มพิกัด มันยากที่จะฆ่าเขาได้
ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าเด็กนี่ในอนาคตจะได้เป็นผู้นำตระกูลเสวี่ยได้แน่นอน ถ้าเขาถูกฆ่า ตระกูลเสวี่ยทั้งตระกูลอาจจะไล่ล่าเอาชีวิตเขา สู้กับเขาไม่ได้ประโยชน์อะไร มีแต่หาปัญหามาให้ตัวเอง
เย่ว์หยางเตรียมใช้วิธีที่หน้าด้านบางอย่าง เมื่อยักษ์วายุมาอยู่ต่อหน้าเขาแล้ว เขาก็แค่โดดลงจากเวที ขอยอมแพ้โดยตรง อย่างไรก็ตามคนที่เขาอยากจะข่มขี่ไม่ใช่เสวี่ยทันหลาง แต่เป็นเย่ว์เทียนกับเย่ว์เยี่ยน เนื่องจากอสูรของพวกเขาถูกทำลายไปแล้ว และพวกเขาก็โดนทุบตีจนบาดเจ็บหนักถึงขนาดกระอักเลือดไปแล้ว ไม่มีอะไรอื่นที่จะต้องทำกันจนถึงขั้นนี้อีก ตอนนี้งดเว้นไปก่อน ในอนาคตค่อยๆ กดดันกันใหม่ก็ได้ วันข้างหน้ายังมีโอกาสอีกมากมาย และเย่ว์เทียนกับเย่ว์เยี่ยนจะกระอักโลหิตจนตายในที่สุด สำหรับเสวี่ยทันหลางต้องสนใจอะไรในตัวเขาด้วย? เย่ว์หยางคร้านเกินไปที่จะสู้กับเจ้าคนคลั่งการต่อสู้ผู้นี้ ทำไมเขาจะต้องสู้กันด้วยเล่า ในเมื่อเขาควรจะเก็บเรี่ยวแรงเอาไว้ฝึกอบรมนางพญากระหายเลือดไม่ดีกว่าหรือ?
แค่เมื่อเย่ว์หยางเตรียมพร้อมจะยอมแพ้ ก็มีประกายแสงทองพุ่งวาบมาที่เวที
มีเสียงดังสนั่นและทำให้พื้นที่นั้นสั่นไหวไปทั้งหมด
เย่ว์หยางสงบใจตนเองและมองดู แต่เขาแทบจะระงับความตกใจไม่ได้
คนที่มาถึงคือมือกระบี่หญิงในชุดเกราะ นางชักกระบี่ใหญ่สีทองออกมาจากหลัง และตะโกนใส่เย่ว์หยางอย่างห้าวหาญว่า “ข้าเพิ่งได้ยินว่าเจ้า เจ้าเด็กโกหกมีฝีมือดีอยู่บ้าง เมื่อตอนนั้นข้าไม่ทันได้สังเกต ตอนนี้เรามาสู้กันเถอะ”
“….” เมื่อเย่ว์หยางได้ยิน เขาเหลือกตา นึกในใจตัวเองว่าเจ๊มือกระบี่ผู้นี้ถ้าไม่มีอะไรทำ ก็น่าจะชวนเขาไปค้นคว้าลีลาบนเตียงน่าจะดีกว่า ทำไมต้องมาท้าสู้ด้วยเล่า?
มือกระบี่หญิงยังคงส่งเสียงท้าเจื้อยแจ้ว
ดาบใหญ่สั่นไหวและแสงสีทองฉายโชนออกมาราวแสงอาทิตย์
ยักษ์วายุของเสวี่ยทันหลางได้แช่แข็งเวทีไว้ทั้งหมดก่อนแล้ว อย่างไรก็ตาม เปลวไฟจากกระบี่ของมือกระบี่หญิง ได้ละลายน้ำแข็งไปครึ่งเวที
หิมะรอบๆ ตัวมือกระบี่หญิง เริ่มละลายและกลายเป็นไอน้ำ
กระบี่ขนาดใหญ่เป็นเหมือนพระอาทิตย์ที่กำลังแผดเผา ฉายรัศมีเจิดจ้าจนผู้ชมไม่สามารถลืมตาดูได้ อีกด้านหนึ่ง ยักษ์วายุของเสวี่ยทันหลางก็ไม่ยอมแสดงท่าทีที่อ่อนแอเช่นกัน มันปั่นลมหมุนกวาดหิมะอย่างต่อเนื่อง พอร่วมกับกระบี่ยักษ์ของมือกระบี่วังหลวงทำให้เวทีทั้งหมดปรากฏเป็นภาพประหลาดตา โดยที่เวทีครึ่งหนึ่งร้อน อีกครึ่งหนึ่งเย็น มีเพียงพื้นที่เล็กๆ รอบตัวเย่ว์หยางที่แตกต่างออกไป
“เจ้าเด็กโกหก ยังจะรออะไรอยู่อีก? ข้าจะใช้พลังที่แท้จริงทั้งหมดทันทีที่เริ่มและจะไม่มีการออมมือให้เจ้าด้วย” พอพูดจบแล้ว นางไม่สนใจแล้วว่าเย่ว์หยางจะเห็นด้วยหรือไม่ แล้วเริ่มใช้พลังกดดันไปข้างหน้า
“ข้าไม่เคยวุ่นวายกับพวกเจ้าทั้งคู่เลย แต่พวกเจ้ากลับต้องการยั่วให้ข้าโกรธ” เย่ว์หยางชักจะเริ่มโกรธแล้ว ขณะที่เพลิงอำมหิตเริ่มก่อตัวขึ้น
เขายกดาบวิเศษฮุยจินในมือขึ้น ภายใต้การชักนำปราณก่อกำเนิด พลังของผลึกมังกรปีศาจและแก่นหลอมเหลวเริ่มควบแน่นกลายเป็นเปลวสีทอง พลังนั้นได้จุดประกายบนดาบวิเศษจนขยายออกมาเกินกว่าเมตร
เปลวไฟนั้นกวาดไปทั่วเวที ตัดแผ่นพื้นเวทีจนขาดเหมือนใช้มีดตัดเต้าหู้
มีเสียงซี่ซี่พร้อมกับปรากฏควันดำ
นอกจากปรากฏเป็นรอยมีดแล้ว ยังมีรอยกัดกร่อนของการเผาไหม้
นักรบธรรมดาไม่สามารถมองเห็นมันได้ แต่นักสู้อย่างจุนอู๋โหย่วฮ่องเต้และผู้เฒ่าเย่ว์ไห่กลับเห็นได้อย่างชัดเจน
ท่านทั้งสองอดตื่นเต้นไม่ได้ ดาบวิเศษของเจ้าเด็กนี่เป็นสมบัติมีค่าและนอกจากนี้ พลังของมันสามารถเพิ่มขึ้นได้ทันทีได้อีกหลายเท่าภายใต้การควบคุมของเขา ดูเหมือนเจ้าเด็กนี่จะควบคุมปราณได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ใช่เป็นสวะที่รังแกตระกูลของเขาเพราะเหตุเพียงครอบครองเจ้าอสูรทอง เขายังปกปิดวิชาฝีมือ ซ่อนความเป็นอัจฉริยะแอบฝึกฝนอย่างลับๆ มามากกว่าสิบปี ถ้าไม่มีการฝึกที่เหมาะสมมาเป็นสิบปี คงเป็นไปไม่ได้ที่จะควบคุมปราณได้ขนาดนี้ อาจเป็นได้ว่าเจ้าเด็กนี่คงมีนักสู้คอยแอบสอนเขามาตั้งแต่เด็กกระมัง?
หรือว่าเย่ว์ชิวบิดาของเขาจะยังไม่ตายจริงๆ?
ทั้งสองคนต่างเหลียวมองกันและเกิดข้อสงสัยอย่างเดียวกันในใจของเขา
ไม่ใช่แค่เพียงจุนอู๋โหย่วฮ่องเตและผู้เฒ่าเย่ว์ไห่เท่านั้นที่มีความคิดเช่นนี้ แม้แต่เย่ว์ซาน, เย่ว์หลิ่ง, เฟิงเสี่ยวหยุนและเฟิงขวง ก็เช่นเดียวกันกับคนอื่นที่มีความสงสัยคล้ายๆ กัน
หากปราศจากนักสู้คอยแอบสอนและช่วยเหลือเขา เจ้าสวะนี่ไม่มีทางประสบความสำเร็จได้ด้วยตัวเองเด็ดขาด ยิ่งไปกว่านั้น เคล็ดการควบคุมพลังไม่ใช่สิ่งที่เจ้าสวะที่เพิ่งจะทำสัญญากับคัมภีร์จะมีได้อย่างแน่นอน นี่ก็หมายความว่าเจ้าเด็กนี่แอบฝึกฝนอยู่เสมอ เขาเป็นนักสู้มานานแล้ว แต่แกล้งทำเป็นโง่ น่าสงสารให้คนอื่นรังแก แม้ในขณะที่ชาวโลกเยาะเย้ยถากถางแต่เขาก็ยังปกปิดความสามารถมาอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่เย่ว์ซานและเย่ว์หลิ่งคิดว่าหลานชายของพวกเขามีความเข้มแข็งอดทนและมีภูมิปัญญาดี ก็ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่สั่นอยู่อย่างเดียว
เป็นไปได้ไหมว่าเขารู้ความจริงที่อยู่เบื้องหลังบางอย่าง?
อย่างนั้นเจ้าเด็กนี่เก็บซ่อนความแข็งแกร่งนี้ไว้เป็นความลับ รอโอกาสล้างแค้นใช่ไหม?
เพื่อป้องกันการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ขอเชิญทุกท่านออกจากลานฝึกซ้อมไปอยู่ในที่ปลอดภัยก่อน” ผู้เฒ่าเย่ว์ไห่เห็นสถานการณ์จริงๆ แต่เขาไม่ได้ป้องกัน เขาแค่ตะโกนบอกคนในตระกูลสั่งให้พวกเขาถอยห่างออกไป ความจริงแม้ก่อนที่ท่านจะสั่ง คนในตระกูลและตัวแทนตระกูลอื่นก็เริ่มกระจัดกระจายถอยห่างออกไปด้วยความตกใจแล้ว พวกเขาไม่กล้าอยู่ใกล้พื้นที่ๆ น่าสะพรึงกลัวนานเกินไป
“ไม่เลวเลย, ข้าไม่ได้เห็นการต่อสู้ที่ตื่นเต้นมาตั้งนานแล้ว” จุนอู๋โหย่วฮ่องเต้ยังทรงพอพระทัยประทับนั่งอยู่ในที่เดิม
นอกจากจุนอู๋โหย่วฮ่องเต้, ผู้เฒ่าเย่ว์ไห่, เย่ว์ซาน, เย่ว์หลิ่ง, เฟิงเซี่ยวหยุน, เฟิงขวง, บิดาของหยานโพ่จุน หยานเชี่ยนจง, ผู้อาวุโสจากนิกายภูเขาหมอกแดนใต้ที่เป็นคนฝึกให้เย่ว์เฟิง ตัวแทนจากตระกูลเสวี่ยเวิ่นเต้าและนักสู้อื่นที่อยู่ในระดับ 6 หรือสูงกว่า ไม่มีใครสามารถนั่งอยู่ได้อย่างปลอดภัย
แม้แต่นักสู้ระดับ 5 ได้แต่ยืนกันทั้งหมดและคอยระวังป้องกันตัวไว้ เพื่อป้องการไม่ให้ถูก 3 คนทำร้ายจากอุบัติเหตุ การต่อสู้ของพวกเขาพร้อมปะทุได้ทุกเวลา
ฝั่งด้านตะวันตก เสวี่ยทันหลางแช่แข็งเวทีด้านทิศตะวันตกจนเป็นนรกน้ำแข็งไปครึ่งเวที
ทางด้านตะวันออก มือกระบี่หญิงเปลี่ยนเวทีทางด้านของนางจนตกอยู่ในเปลวเพลิง นางกับกระบี่ขนาดใหญ่อยู่ในเปลวเพลิงลุกไหม้รุนแรงดุจดวงอาทิตย์ ทุกอย่างที่ผ่านเข้าไปจะมอดไหม้เป็นจุล ญาติผู้พี่ผู้น้อง เย่ว์ถิงและเย่ว์ปิงเห็นว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดีจึงพร้อมใจกันหยุดมือและลงไปจากเวที จะได้ไม่มีผลต่อเย่ว์หยาง ในใจกลางเวที ภายใต้ความกดดันจากทั้งสองข้าง เย่ว์หยางเข้าใจและหลับตาทันที เขาใช้ดาบวิเศษฮุยจินตัดสภาพแรงดันที่ล้อมรอบเขาทันที ในตอนแรกเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว แต่แล้วก็ค่อยๆ หมุนช้าลงและเคลื่อนเป็นวงกลมมากขึ้น
ทุกครั้งที่เขาหมุนตัว การเคลื่อนไหวของเขาก็ยิ่งสมบูรณ์แบบลงตัวมากขึ้น
ความรู้สึกแรกที่เขาทำก็คือ การหมุนตัวของเขากระทำอย่างมีสติและรอบคอบ
อย่างไรก็ตาม จุนอู๋ฮ่องเต้และผู้เฒ่าเย่ว์ไห่พบว่า เจ้าเด็กนี่มีความรุดหน้าในการต่อสู้ ดูเหมือนเขาจะเข้าใจบางอย่างทำให้เกิดความก้าวหน้าได้ การโต้ตอบของเขาทำได้นุ่มนวลและช้าลงมาก มันดีเกินกว่าจะบรรยายได้ ให้ความรู้สึกว่าเหมือนเป็นการหลอมรวมกับสวรรค์
เป็นการหมุนที่คล้อยตามทั้งฟ้าและดิน
มันเหมือนกับลมในอากาศหรือเมฆที่ลอยบนท้องฟ้า ธรรมชาติที่งดงามไม่มีรูปแบบแน่นอน ขณะที่ไม่มีแรงขับเคลื่อนหรือความตั้งใจ
เย่ว์หยางรู้สึกว่าเขาสามารถเข้าใจถึงแก่นแท้ในไม่ช้า แต่ยังคงขาดอีกเพียงนิดเดียว ความรู้สึกนั้นเป็นเหมือนกับได้เห็นสาวน้อยเปลือยกายวิ่งตรงเข้ามาหาเขา และเขาก็เกือบจะจับนางได้ แต่นางกลับหลบออกไปได้อย่างคล่องแคล่ว เย่ว์หยางรู้สึกว่าเขาต้องสู้ในศึกนี้เพื่อความเข้าใจที่ถ่องแท้ เขาจำเป็นต้องก้าวหน้าในการรบ จึงตัดสินใจทำศึกใหญ่กับมือกระบี่หญิงและเสวี่ยทันหลาง ในเมื่อศึกครั้งนี้ ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แล้วทำไมเขาไม่ถือโอกาสใช้การต่อสู้ครั้งนี้ฝึกตัวเองเล่า
บุรุษผู้ข้ามมาจากมิติอื่นระงับโทสะได้แล้ว ควบคุมดาบวิเศษด้วยความอดทนมากขึ้น ด้วยพลังปราณก่อกำเนิดของเขา เขาสร้างบอลไฟและบอลแก๊สสีดำและให้มันหมุนผสานกันเองอย่างสวยงาม ลูกบอลทั้งสองก่อรูปครึ่งวงกลมที่สวยงาม 2 ส่วนพันกันไปมา ปรากฏเหมือนกับปลาเพลิงกับปลาปีศาจว่ายอยู่ด้วยกัน เปลวเพลิงทั้งหมดและอากาศเยือกแข็งโดยรอบถูกกลืนกินโดยปลาแฝดในวงกลมนี้
สิ่งที่ทำให้เย่ว์หยางแปลกใจหนักก็คือ ความเข้าใจลุ่มลึกที่เพิ่งจะผ่านมา
ยักษ์วายุและมือกระบี่หญิงวังหลวงรุมโจมตีกระหนาบ การโจมตีกะทันหันของทั้งคู่ทำให้เกิดวงกลมปลาแฝด (วงกลมหยิน-หยาง) ซึ่งเคลื่อนไหวช้าและงดงามเกินบรรยายคอยสร้างสมดุลการโจมตีจากทั้งสองด้าน ทันใดนั้นก็ยิงออกมาในทุกตำแหน่งโดยไม่มีการเตือนใดๆ ทั้งสิ้น
องค์หญิงมือกระบี่ตีลังกามากกว่า 10 ตลบก่อนที่จะลงมายืนบนพื้นอย่างง่ายดาย
นางมีสีหน้าตกใจ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตนางที่โดนต้อนจนต้องบินหลบก่อนที่จะได้ประอาวุธกับฝ่ายตรงข้าม
ยักษ์วายุถึงกับอยู่ในสภาพทุลักทุเล พลังของมันถูกเบี่ยงเบนจนสูญเสียสมดุล ล้มลงบนพื้นเวทีเสียงดังสนั่นหวั่นไหว มันหอบเอาโคลน อิฐและโต๊ะ เก้าอี้นับไม่ถ้วนติดไปกับพายุหมุน แล้วปล่อยให้ร่วงห่างออกไป 10 เมตร..
เสวี่ยทันหลางรู้สึกกลัว
เขาคิดว่ามันคงจะสมเหตุผลถ้าแรงสะท้อนนี้จะใช้จัดการพวกนักรบธรรมดาได้
แต่ยักษ์วายุนี้สร้างพลังจากธาตุเฉพาะไม่มีรูปให้จับต้อง แล้วมันโดนสะท้อนกลับมาได้อย่างไร? แล้วยังสะท้อนได้รุนแรงขนาดนั้นได้อย่างไรกัน?
“เก่งมาก เจ้าเด็กน้อย ใครจะรู้ว่าทักษะนี้เป็นความเข้าใจของเขาเองหรือได้ผู้เชี่ยวชาญสอนสั่ง แต่ปลาหยินและหยางสุดยอดจริงๆ” จุนอู๋โหย่วฮ่องเต้ทรงตบโต๊ะชมเชย
“นี่คือวิธีน่าอัศจรรย์โดยแท้ที่สามารถต่อต้านพลังที่กล้าแข็งของคู่ต่อสู้ได้ ยอดเยี่ยมจริงๆ” ผู้เฒ่ากู้หมิงที่ไม่เคยลืมตา ไม่เคยเอ่ยปากตลอดการต่อสู้ จู่ๆ ก็ลืมตาที่เป็นประกาย ผงกหัวยกย่อง เขาเป็นผู้สอนของเย่ว์เฟิงจากนิกายภูเขาหมอกแดนใต้ และตัวท่านเองยังเป็นนักสู้ระดับ 6
“แม้แต่ตัวข้าเองยังไม่สามารถคลี่คลายได้อย่างนี้ด้วยซ้ำ” หัวหน้าราชองครักษ์เฟิงขวง ก็เพิ่งพูดเป็นครั้งแรก นอกจากนี้เขายังรู้สึกว่า เขาไม่เข้าใจสถานการณ์การต่อสู้เหมือนกับว่ามันซับซ้อนเกินไป
“นี่ไม่ใช่วิชาของเย่ว์ชิวแน่นอน…” ตัวแทนของตระกูลหยานและประมุขตระกูล หยานเชี่ยนจง, เสวี่ยเวิ่นเต้าและเฟิงเสี่ยวหยุนต่างมองดูกัน พร้อมกับแววริษยาปรากฏอยู่ในดวงตาพวกเขา อัจฉริยะในตระกูลเย่ว์ช่างมีมากเหลือเกิน ด้วยวิชาที่ไม่มีผู้ใดรู้จักเหล่านี้ ไม่ว่าพวกเขาจะได้รับจากเย่ว์ชิวหรือว่าค้นคิดด้วยตนเองโดยเจ้าเด็กเพี้ยนนี่ เด็กคนนี้เป็นอัจฉริยะที่น่าตื่นตะลึงที่รู้จักกันทั่วแล้ว ดูเหมือนนอกจากเย่ว์ชิวแล้ว ยังมีอัจฉริยะยอดฝีมืออื่นปรากฏอีก ไม่ต้องรอกันนานหลายปีเกินไป เย่ว์ชิวคนที่สองก็ปรากฏตัวในตระกูลเย่ว์เสียแล้ว
เย่ว์หยางไม่ได้ด้อยกว่าเย่ว์ชิวเลย
สวะอย่างคุณชายสามที่ชาวโลกพากันเย้ยหยันเป็นอัจฉริยะที่แท้จริง อาจเหนือกว่าบิดาของเขาด้วยซ้ำ
“น่าสนใจดีนี่ ดูเหมือนว่าข้าต้องใช้อสูรของข้าบ้างเสียแล้ว” องค์หญิงมือกระกระบี่ชูกระบี่ขนาดใหญ่ของนาง ตะโกนขึ้นด้วยความตั้งใจอย่างสูงที่จะต่อสู้
“เชี่ยนเชี่ยน อย่าทำอะไรโง่ๆน่า” จุนอู๋โหย่วฮ่องเต้ถึงพ่นน้ำชาเมื่อได้ยินเสียงนาง
“องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน โปรดอย่าเรียกอสูรของท่านมาที่นี่เลย พวกเจ้าทั้งสามหยุดสู้กันไว้เพียงเท่านี้แหละ มิฉะนั้นบ้านตระกูลเย่ว์คงพังพินาศเพราะพวกเจ้าทั้งสามแน่” แทบจะทันทีที่ผู้เฒ่าเย่ว์ไห่ได้ยินว่าองค์หญิงมือกระบี่ต้องการจะเรียกอสูรของนาง เขาลุกขึ้นยืนและตะโกนห้ามทั้งสามคนทันที เขาต้องการให้ทั้งสามคนไปสู้กันนอกปราสาทตระกูลเย่ว์ ไม่ใช่พื้นที่ภายในตระกูลเย่ว์
“เอ๋?” เย่ว์หยางรู้สึกสงสัย อสูรแบบไหนที่องค์หญิงมือกระบี่นี้มี มันร้ายแรงถึงขนาดทำให้ฮ่องเต้กับผู้เฒ่าเย่ว์ไห่ต้องกังวลนักหรือ?
**********************