ตอนที่ 5-5 ฝึกฝนกระบี่
ไม่มีเสียงใดเล็ดรอดออกมาระหว่างที่ผอ.ไมอากำลังตรวจสอบทุกตารางนิ้วบนรูปแกะสลัก'ตื่นจากฝัน'ราวกับว่าเขากำลังถูกสิง
"พี่ใหญ่เยลนี่ก็ผ่านไป 2 ชม.แล้วนะ" เรย์โนลด์มองดูเยลอย่างกระวนกระวาย
เยลพยักหน้าและพูดอย่างนุ่มนวลว่า"ไม่ต้องรีบร้อน ปล่อยให้ท่านลุงไมอาตรวจสอบตามสบาย ด้วยฐานะผอ.ของหอศิลป์พรูกซ์ตัวเขาต้องเป็นหนึ่งในทายาทของอาจารย์พรูกซ์ข้าเชื่อว่าความสามารถในการตัดสินงานแกะสลักของเขาต้องสูงส่งยิ่งนักข้าสงสัยนักว่ารูปแกะสลักของน้องสามอยู่ในระดับใดกัน"
เรย์โนลด์พยักหน้าเล็กน้อย
หลังจากผ่านไปมากกว่า3 ชม. ผอ.ไมอายืดเอวขึ้นพร้อมกับปล่อยลมหายใจออกมายาวนาน
"ข้าได้ยินว่ารูปแกะสลักนี้มีนามว่า'ตื่นจากฝัน' ใช่หรือไม่?"ผอ.ไมอาเอ่ยปากถาม
เยลพยักหน้า"ถูกต้องแล้ว,น้องสามเป็นผู้ตั้งชื่อนี้ด้วยตัวของเขาเอง"
ผอ.ไมอาถอนหายใจเบาๆหลังจากได้ชื่นชมรูปแกะสลักอื่นมามากมาย เขากล่าวชื่นชมว่า "ข้าต้องบอกว่า ลินลี่ย์น้องชายของเจ้าเป็นนักแกะสลักอัจฉริยะอย่างไม่ต้องสงสัย เป็นผู้มีอัจฉริยภาพเทียบเท่าท่านอาจารย์พรูกซ์เลยทีเดียว"
"แม้ว่าระดับความเชี่ยวชาญการแกะสลักของเขาจะด้อยกว่าท่านอาจารย์พรูกซ์อยู่เล็กน้อยแต่ในด้านจิตวิญญาณหรือกลิ่นอายแล้วรูปแกะสลักนี้ ลินลี่ย์อยู่ในระดับเดียวกับท่านอาจารย์พรูกซ์อย่างแน่นอน"ผอ.ไมอากล่าวคำชื่นชมและอดถอนหายใจออกมาไม่ได้
"ระดับความเชี่ยวชาญ?" เยลเอ่ยถามอย่างสงสัย
ผอ.ไมอาพยักหน้า"ใช่ แม้ว่ารูปแกะสลักนี้จะมีตำหนิเล็กน้อย แต่ในเวลาเดียวกัน มันเองก็มีจุดเด่นที่น่าทึ่งยิ่งนัก"
"ตำหนิเล็กน้อยบางส่วนของรอยแกะสลักและส่วนโค้งส่วนเว้าไม่ได้ถูกจัดการอย่างเชี่ยวชาญแต่รูปแกะสลักของลินลี่ย์นี้ราบลื่นและลื่นไหล ให้ความรู้สึกถูกดึงดูดเหมือนกับรูปแกะสลักที่ยอดเยี่ยมหลายๆรูปของท่านอาจารย์พรูกซ์และที่สำคัญที่สุดรูปแกะสลักรูปนี้มีขนาดใหญ่"
ผอ.ไมอาถอนหายใจอย่างชื่นชม"กับรูปแกะสลักส่วนใหญ่ที่ผ่านกาลเวลามา ในทุกๆรูปลักษณ์ต้องใช้ความพยายามมหาศาล ตำหนิเพียงรอยเดียวอาจทำลายรูปแกะสลักทั้งรูปเพียงรูปแกะสลักรูปมนุษย์รูปเดียวจะแกะออกมาให้สำเร็จก็ยากแล้ว แต่ลินลี่ย์สามารถแกะออกมาได้ถึงห้าคน!ที่น่ายกย่องกว่านั้นคือทั้งห้าคนมีกลิ่นอายเป็นของตัวเองแถมทุกคนยังเชื่อมต่อกันเป็นเรื่องราวอีกด้วย หากข้าเดาไม่ผิดน้องชายของเจ้าคงประสบกับเรื่องราวความรักอันแสนโรแมนติกและถูกหักอกมาใช่หรือไม่?"
ด้วยเชาว์ปัญญาของผอ.ไมอาเพียงมองครั้งเดียวเขาก็สามารถบอกได้อย่างชัดเจนถึงเรื่องราวที่ให้กำเนิดรูปแกะสลักทั้งห้านี้
"การที่ลินลี่ย์สามารถสร้างรูปแกะสลักตื่นจากฝันอันน่ามหัศจรรย์นี้ขึ้นมาได้น่าทึ่งจริงๆ" ผอ.ไมอาเอาแต่พูดยกย่องสรรเสริญไม่ยอมหยุด
"ผอ.ไมอาบอกข้าหน่อย รูปแกะสลักนี้ของน้องข้าจริงๆแล้วอยู่ระดับใดกัน? มันเทียบเท่ารูปแกะสลักของท่านอาจารย์พรูกซ์ได้หรือไม่?"เรย์โนลด์เอ่ยถาม
ผอ.ไมอาขมวดคิ้วกล่าวว่า"พูดตรงๆ ข้าเองก็ยังไม่แน่ใจ ให้ข้าบอกเจ้าเช่นนี้ก็แล้วกันในด้านของฝีมือรูปแกะสลักนี้ถือว่าอยู่ในระดับสูงของการแกะสลักแม้ว่าในด้านของอารมณ์และการเล่าเรื่องราวจะอยู่ในระดับเดียวกันกับท่านอาจารย์พรูกซ์ก็ตามแต่จุดที่เป็นเอกลักษณ์ของมันนั้น... "
"ตั้งแต่เริ่มการแกะสลักรูปแกะสลักนี้ถูกแกะสลักอย่างต่อเนื่องและคล่องแคล่วจนเสร็จบอกได้เลยว่ารูปแกะสลักทั้งห้านี้ทุกส่วนไร้ซึ่งตำหนิข้ารู้สึกถึงความแตกต่างบางอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนจากมัน"ผอ.ไมอากล่าวอย่างชื่นชม
เยลเร่งรัดคำตอบ"ท่านลุงไมอา แล้วรูปแกะสลักนี้อยู่ระดับใดเล่า?"
ผอ.ไมอาจนปัญญาจึงตอบ"ข้าไม่แน่ใจ ตามหลักเกณฑ์การประเมินค่าแล้วรูปแกะสลักนี้สมควรอยู่ในระดับอาจารย์ อย่างไรก็ตาม มันมีกลิ่นอายอันเป็นเอกลักษณ์และคุณภาพของงานแกะสลักชิ้นนี้ส่องประกายความงามออกมาอย่างชัดเจน"
"ตามหลักเกณฑ์การประเมินค่า?" ทั้งเยลและเรย์โนลด์มองดูผอ.ไมอาอย่างงุนงง
ผอ.ไมอาพยักหน้า"หลักเกณฑ์การประเมินค่าเป็นกระบวนการที่ใช้กันอย่างแพร่หลายและได้รับการยอมรับว่ายุติธรรมซึ่งเป็นกลไกในการตีราคาอย่างยุติธรรมมาอย่างยาวนานแต่ข้ากลับรู้สึกว่า...ขณะที่กำลังมองดูรูปแกะสลักของลินลี่ย์ มันกลับดูสมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่ติ"
"รูปแกะสลักจะมีจุดสังเกตทั่วไปเวลามองพวกมันซึ่งเป็นแก่นแท้ของการดูเพื่อตัดสินทุกสิ่ง ปล่อยให้ข้าจัดการกับมันตามวิธีของข้าแม้ว่าลินลี่ย์ขาดเงื่อนไขในการเป็นปรมาจารย์นักแกะสลัก แต่มูลค่าของรูปแกะสลักของเขายังคงสูงจนน่าทึ่งเกือบเทียบได้กับผลงานแกะสลักชิ้นเอกทั้งสิบเลยทีเดียว"ผอ.ไมอากล่าวอย่างอารมณ์ดี
รูปแกะสลักที่ไม่ได้ถูกแกะโดยปรมาจารย์ทั้งสิบแต่กลับมีมูลค่าระดับเดียวกับผลงานแกะสลักชิ้นเอกทั้งสิบนี่นับเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน
ผอ.ไมอารู้สึกช่วยไม่ได้เขาได้แต่ยอมรับว่าเรื่องเช่นนี้ได้เกิดขึ้นมาแล้ว
"โอ"เยลกับเรย์โนลด์ได้แต่พยักหน้า
นี่เป็นข้อด้อยเพียงหนึ่งเดียวของโรงเรียนเหล็กสกัดพูดตรงๆก็คือเมื่อใช้เครื่องมือเพียงอย่างเดียวเช่นเหล็กสกัดตรง ในด้านความละเอียดเมื่อต้องแกะสลักส่วนโค้งซึ่งเหมาะกับเครื่องมือเฉพาะเท่านั้น ผลงานชั้นเยี่ยมของลินลี่ย์ที่ใช้เพียงเหล็กตรงก็มีฝีมือเทียบเคียงได้กับนักแกะสลักธรรมดาระดับผู้เชี่ยวชาญแล้ว
แต่เมื่อเปรียบเทียบกับผลงานมาตรฐานของนักแกะสลักระดับอาจารย์แล้วจุดอ่อนนี้ก็ปรากฏออกมาให้เห็นเด่นชัดขึ้น
แต่ว่าโรงเรียนเหล็กสกัดเองก็มีจุดแข็งเช่นกันอย่างเช่นความต่อเนื่องของการแกะสลัก และ...นักแกะสลักคนอื่นนั้นขณะที่กำลังแกะสลักต้องเปลี่ยนเครื่องมืออย่างต่อเนื่อง แต่โรงเรียนเหล็กสกัดต้องการเพียงจอมเวทธาตุดินที่เป็นหนึ่งเดียวกับธาตุดินเมื่อแกะสลักซึ่งความเร็วจะเพิ่มขึ้นเมื่อเขายกระดับพลังจิตของเขา
"แล้วนี่ลินลี่ย์อยู่ที่ไหนล่ะ?" ผอ.ไมอาเอ่ยถาม
เยลส่ายหัว"น้องสามเป็นจอมเวทฝึกหัด นั่นหมายถึงเขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกฝนตอนนี้นั้นเขาติดอกติดใจกับการฝึกที่เทือกเขาอสูรเวทแม้แต่พวกข้าเองก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะกลับมาเมื่อไหร่"
"เช่นนั้นเยล, เจ้าสามารถอนุญาตให้ทางหอศิลป์พรูกซ์เปิดประมูลรูปแกะสลักนี้แทนลินลี่ย์ได้หรือไม่?"ผอ.ไมอายื่นข้อเสนอ
"นี่ไม่อาจทำได้"เยลตอบทันที "แม้แต่ตัวข้าเองก็ไม่สะดวกที่จะตัดสินใจเรื่องนี้หากไม่ได้รับอนุญาตจากน้องสาม"
ผอ.ไมอาขมวดคิ้วและพูดต่อว่า"เช่นนั้นหาเพียงนำมันไปตั้งแสดงเล่า? นั่นไม่น่าจะมีปัญหามากนักหากเพียงอนุญาตให้หอศิลป์พรูกซ์ของเราได้จัดแสดงมันเจ้าคิดว่ายังไง? ผลงานก่อนหน้านี้ของลินลี่ย์ล้วนถูกจัดแสดงที่หอศิลป์พรูกซ์ของเราล้วนถูกประมูลออกไปทั้งหมด"
เยลรู้ดีว่ารูปแกะสลักนี้สำคัญต่อลินลี่ย์มากแค่ไหน
มันคือสิ่งที่แสดงถึงช่วงเวลาที่ลินลี่ย์อกหัก เป็นช่วงเวลาที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของเขา แม้ลินลี่ย์จะอยู่ที่นี่ก็ไม่อาจบอกได้ว่าเขาจะอนุญาตให้นำมันไปจัดแสดงหรือไม่เขาไม่อยากทำให้ลินลี่ย์รู้สึกอึดอัด
"ยังคงไม่ได้ข้าทำได้เพียงปกป้องมันเอาไว้เท่านั้น การนำมันออกจัดแสดงหรือขายมันเราได้แต่รอให้น้องสามกลับมาก่อนเท่านั้น" เยลตอบด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว
…..
ภายในเทือกเขาอสูรเวท
ตลอดช่วงเวลาสองเดือนที่ผ่านมานี้ลินลี่ย์เอาแต่ศึกษากระบี่เลือดม่วง กระบี่เลือดม่วงนับเป็นกระบี่ที่ยอดที่สุดเท่าที่ลินลี่ย์เคยพบมาแค่ความคมเพียงอย่างเดียวอสูรเวทระดับ 6 ส่วนมากก็ไม่อาจรับมือมันได้แล้วแต่ความคมของกระบี่เลือดม่วงเป็นความพิเศษเพียงเศษเสี้ยวเดียวของมันเท่านั้น
จุดเด่นของกระบี่เลือดม่วงมีทั้ง- การเคลื่อนไหวที่ไม่อาจคาดเดาได้, ความรวดเร็ว, รวมไปถึงรังสีสังหาร
ถูกต้อง! รังสีสังหาร
ลินลี่ย์ค้นพบรังสีสังหารนี้หลังจากฆ่าอสูรเวทไปเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้นวัตถุดิบที่ใช้สร้างกระบี่เลือดม่วงมีพลังงานพิเศษบรรจุอยู่ทุกๆการฟันแต่ละครั้งตัวกระบี่จะปล่อยรังสีสังหารออกมา
รังสีสังหารนี้คล้ายกับรังสีอันน่าสะพรึงกลัวที่ถูกปล่อยออกมาจากมังกรโดยทั่วไปแล้วมันไม่ได้ใกล้เคียงกับความน่าสะพรึงกลัวเลยแต่ในการต่อสู้รังสีสังหารสามารถใช้งานได้ดีมาก
ในเทือกเขาอสูรเวทเวลากลางคืนรายล้อมไปด้วยฝูงของหมาป่าวายุนับร้อยตัว จ่าฝูงหมาป่าวายุจ้องมองมาที่ลินลี่ย์ด้วยดวงตาสีเขียวอมเหลืองทั้งคู่ของมันมันกู่เสียงหอนอันป่าเถื่อนออกมา หมาป่าวายุตัวหนึ่งเริ่มกระโจนเข้าใส่ลินลี่ย์พร้อมกับตัวอื่นๆแต่ด้วยการเคลื่อนที่อย่างคล่องแคล่วราวกับสายลม ลินลี่ย์หลบหลีกการโจมตีของฝูงหมาป่าวายุได้กระบี่ในมือเขาเรืองแสงสีน้ำเงิน
หลังจากถูกกระตุ้นด้วยพลังเวทธาตุลมความเร็วของกระบี่เทพเลือดม่วงเร็วขึ้นกว่าเดิมกระบี่เทพเคลื่อนที่ปราดเปรียวราวกับประกายแสงวูบวาบโดยไม่ได้รับผลจากแรงต้านของอากาศแม้แต่น้อย
"วูบ!"
ประกายแสงสีม่วงผสมกับสีน้ำเงินส่องแสงแปลบปลาบท่ามกลางความมืดทุกๆครั้งที่มันส่องประกายแปลบปลาบทิศทางของมันนั้นไม่มีรูปแบบให้คาดเดาได้เลยหมาป่าวายุถูกผ่าเป็นสองส่วน หมาป่าวายุในฝูงนี้ที่สุดแล้วก็เป็นเพียงอสูรเวทระดับ4 เท่านั้น ตัวที่แข็งแกร่งกว่าตัวอื่นๆก็อยู่ในระดับ 5 และมีเพียงจ่าฝูงสองตัวเท่านั้นที่เป็นอสูรเวทระดับ 6
ตอนนี้ลินลี่ย์ยังคงอยู่ร่างมนุษย์ซึ่งพลังของเขาอยู่ในระดับ 6
พูดกันแบบไม่อ้อมค้อมแม้จะเป็นนักรบระดับ 7 ยังไม่กล้าเผชิญหน้ากับฝูงหมาป่าวายุนับร้อยตัวเช่นนี้ตรงๆนับประสาอะไรกับนักรบระดับ 6ที่สุดแล้วแม้แต่วีรบุรุษก็ยังถูกโค่นลงได้ด้วยจำนวนที่มากกว่าและหมาป่าวายุยังมีกรงเล็บอันคมกริบ แม้ร่างกายของลินลี่ย์จะแข็งแกร่งเมื่อถูกสะกิดโดยกรงเล็บของหมาป่าวายุก็ได้รับบาดแผลนอกเสียจากว่าเขาจะใช้ร่างมังกร
"ฮู้วววววว!"หมาป่าวายุพุ่งเข้าใส่เขาด้วยความเร็วสูง ก่อให้เกิดบาดแผลเลือดขนาดใหญ่
"ควับ!"
กระบี่เทพเลือดม่วงส่งประกายแสงสีน้ำเงินวาบขึ้นมาหมาป่าวายุถูกผ่าออกเป็นสองส่วนจากหัวถึงหางในทันที
"แม้ว่ากระบี่เทพเลือดม่วงของข้ามีปัญหาในการเจาะผ่านเกราะของมังกรลมกรดอยู่บ้างแต่กับพวกเจ้า?"กระบี่เทพเลือดม่วงในมือลินลี่ย์เริ่มฟาดฟันเร็วขึ้นและคล่องแคล่วมากขึ้น
สาเหตุที่ทำให้ฝูงหมาป่าวายุน่าสะพรึงกลัวนั่นก็เพราะความเร็วและจำนวนของพวกมันนั่นเองถ้าเจ้าต้องเผชิญหน้ากับหมาป่าวายุมากกว่าสิบตัวแล้ว แม้แต่นักรบระดับ 7เองก็ไม่อาจรับการโจมตีพร้อมกันจากพวกมันได้ทางเลือกเดียวของเขามีเพียงระเบิดพลังลมปราณออกมาเพื่อสร้างเกราะป้องกันเท่านั้น
แต่ลินลี่ย์นั้นแตกต่าง
"ควับ!"กระบี่เทพเลือดม่วงส่งประกายแสงสีน้ำเงินวาบขึ้นมาอีกครั้งและเป็นอีกครั้งที่หมาป่าวายุถูกผ่าออกเป็นสองส่วน
กระบี่เทพเลือดม่วงรวดเร็วเกินไปเร็วจนเหล่าหมาป่าวายุมองเห็นเพียงภาพเบลอๆ หลังจากหมาป่าวายุถูกลินลี่ย์ฆ่าไปมากกว่าร้อยตัวโดยที่ตัวเขาไม่ได้รับบาดเจ็บหนักเลยในที่สุดฝูงหมาป่าวายุก็เริ่มเต็มไปด้วยความกลัว
พวกมันไม่ได้กลัวตายเพียงแต่พวกมันแต่ละตัวล้วนไม่เต็มใจที่จะตายอย่างไร้สติเช่นนี้
"ฮู้ววววว!"หมาป่าวายุขนาดใหญ่ทั้งสองตัวที่หลบอยู่ข้างหลังฝูงเริ่มต้นหอนอย่างโกรธเกรี้ยวหมาป่าวายุทั้งฝูงที่เหลืออยู่คอตกหูลู่ หันหลังกลับและถอยหนีอย่างรวดเร็วเสียงหอนของพวกมันแสดงออกถึงความโกรธและเศร้าสร้อยได้ยินห่างออกไปเรื่อยๆชัดเจนว่ามันเป็นเพราะพวกมันสูญเสียเพื่อนร่วมฝูงจำนวนมากแต่กลับไม่ได้ผลตอบแทนใดกลับมาแม้แต่น้อย
ลินลี่ย์สะบัดข้อมือด้วยความเร็วสูงกระบี่เทพเลือดม่วงพันรอบเอวของลินลี่ย์ราวกับเข็มขัดอีกครั้ง
"เผชิญหน้ากับพวกมันไม่จำเป็นต้องใช้พลังทั้งหมดของเลือดม่วง" รอยเลือดมากมายบนเสื้อคลุมของลินลี่ย์ทั้งหมดมาจากหมาป่าวายุทั้งสิ้น
ตั้งแต่ต้นจนจบกระบี่เทพเลือดม่วงเหยียดตรงตลอดระหว่างการต่อสู้ กับคู่ต่อสู้เช่นฝูงหมาป่าวายุอาศัยเพียงความคมของกระบี่เทพก็เพียงพอแล้ว แต่เมื่อใดที่กระบี่เทพเลือดม่วงเริ่มสลับไปมาระหว่างแข็งและอ่อนพลังโจมตีของมันจะเพิ่มเป็นทวีคูณ
"นายท่านท่านเริ่มที่จะทรงพลังมากขึ้นและมากขึ้น" บีบีพูดขณะที่อยู่บนไหล่ของลินลี่ย์
ลินลี่ย์หัวเราะ"เจ้าเองก็ไม่ได้อ่อนแอนี่"
ลินลี่ย์พักหายใจชั่วครู่แล้วกวาดสายตามองไปรอบๆตัว แล้วหยิบเอากระเป๋าทั้งสามใบบนหลังมาเปิดดูในช่วงเวลาสองเดือนที่ผ่านมา เขาได้วิเคราะห์และฝึกฝนด้วยกระบี่เทพเลือดม่วงกระเป๋าทั้งสามใบของลินลี่ย์ถูกเติมด้วยแก่นเวทจนเต็มกระเป๋า
"หลังจากใช้เวลากับการฝึกฝนไปถึงสองเดือนข้าได้ผ่านส่วนที่ยากที่สุดของทักษะในการใช้กระบี่เลือดม่วงแล้วหากข้าต้องการแข็งแกร่งกว่าตอนนี้ข้าจำเป็นต้องเพิ่มพลังแขนและข้อมือให้แข็งแกร่งขึ้น"
ในช่วงเวลาสองเดือนนี้ลินลี่ย์ได้ฝึกกระบวนท่าของกระบี่ อันได้แก่ การฟัน,การตัด,การแทง,การสับ และทักษะทุกประเภทเป้าหมายในการฝึกฝนของลินลี่ย์คือการเพิ่มความเร็วให้มีระดับสูงที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ยิ่งกว่านั้น ด้วยเวทวายุของลินลี่ย์เสริมพลังเข้าไปทำให้ใช้กระบี่ได้อย่างสบายๆ
ตอนนี้เมื่อเจอกับฝูงหมาป่าวายุมากกว่าร้อยตัวลินลี่ย์กลับไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย นี่คือผลสำเร็จในการฝึกฝนของเขา
หากเป็นเมื่อก่อน ลินลี่ย์ย่อมไม่กล้าแม้แต่จะฝันว่าเขาจะมาได้ไกลถึงระดับที่เป็นอยู่นี้
"ตอนนี้ข้าถึงทางตันของการฝึกนี้แล้วไม่มีเหตุผลอะไรให้ข้าต้องรั้งอยู่ที่เทือกเขาอสูรเวทอีกแล้วได้เวลากลับซะที"
…..
แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องลงมาบนผืนโลกกระบี่เลือดม่วงคาดอยู่รอบเอวของเขา ลินลี่ย์ถือกระเป๋าบรรจุเต็มไปด้วยแก่นเวทและสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินเปื้อนเลือดเล็กน้อยเดินทางมาถึงประตูหลักของสถาบันเอินส์ บีบีอยู่บนไหล่ของเขา
"กลับมาถึงเสียที"มองเห็นประตูหลักของสถาบันเอินส์ ลินลี่ย์รู้สึกจิตใจสงบ
สถาบันเอินส์และเทือกเขาอสูรเวทเป็นสถานที่ตรงข้ามกันอย่างสุดขั้วที่นี่ไม่มีใครกล้าคิดที่จะฆ่าอีกฝ่ายให้จงได้ และทุกคนล้วนมีอัธยาศัยดีแตกต่างกับเทือกเขาอสูรเวทซึ่งผู้แข็งแกร่งกลืนกินผู้อ่อนแอมีการฆ่าเกิดขึ้นตลอดเวลา
"นั่นลินลี่ย์"ยามเฝ้าประตูหลักของสถาบันเอินส์ทุกคนล้วนรู้จักลินลี่ย์ ผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วพวกเขาย่อมไม่เข้าไปขัดขวางลินลี่ย์
ลินลี่ย์พยักหน้าเล็กน้อยให้เหล่ายามแล้วเดินต่อเข้าไปในสถาบันเอินส์ ถนนในสถาบันมีนักเรียนค่อนข้างน้อยพวกเขาเดินผ่านไปยังห้องเรียนพร้อมกับพูดคุยกันเองระหว่างพวกเขาด้วยเสียงกระซิบเมื่อพวกเขาเห็นลินลี่ย์
"ดูสิ นั่นลินลี่ย์ตัวเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด เขาน่าจะเพิ่งกลับมาจากเทือกเขาอสูรเวทข้าได้ยินมาว่าปีก่อน เขาเดินทางไปยังเทือกเขาอสูรเวทและข้ามการประเมินปีก่อนไปนี่ก็ผ่านมา 4 เดือนแล้ว เขาช่างน่าทึ่งยิ่งนักสามารถเอาตัวรอดจากเทือกเขาอสูรเวทได้ถึง 4 เดือนเต็มเชียวนะ"
"ดิกซี่ผ่านการประเมินเป็นจอมเวทระดับ6 เมื่อปลายปีที่แล้ว แต่ลินลี่ย์กลับไม่ได้ไปรับการประเมินใดๆเลย"
…..
ได้ยินเสียงพึมพำเหล่านี้ลินลี่ย์ทำได้แต่ยิ้มขณะที่เขามุ่งหน้าไปยังหอพักของเขา ในขณะที่เวลานี้ เยล, จอร์จและเรย์โนลด์ กำลังเตรียมอาหารเช้ากันอยู่
"โอ้ พี่สามเจ้ากลับมาแล้ว" เรย์โนลด์ทักเขาเป็นคนแรกทั้งเยล,จอร์จ และ เรย์โนลด์ วิ่งเข้าไปหาเขาอย่างตื่นเต้น ลินลี่ย์อดยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อพบกับพี่น้องทั้งสามของเขาอีกครั้ง