ตอนที่ 104 ทฤษฎีที่โจรชอบใช้
เมื่อเย่ว์หยางร่ายรำดาบทั้งสองที่กำลังส่องแสงสว่างจ้าราวกับดวงอาทิตย์ สี่ผู้อาวุโสที่มีฝีมือดีที่สุดรีบถอยโดยเร็วเท่าที่จะทำได้
อย่างไรก็ตาม พวกเขาคือจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์กันทุกคนที่พร้อมจะทิ้งถิ่นหนีไปได้เสมอ
สองคนก่อนนั้นที่เย่ว์หยางสยบไว้ไม่ได้รับอันตรายถึงชีวิต พวกเขากลิ้งอยู่บนพื้นเหมือนกับลูกมะระ
อย่างไรก็ตาม คนที่โชคร้ายที่สุดก็คือบุรุษชุดดำที่ยังบุกเข้ามาอย่างโง่ๆ เพื่อเตรียมลอบสังหารเย่ว์หยาง เขาไม่รู้ตัวว่าผู้อาวุโสอีกสี่คนถอนตัวไปนานแล้ว เขากระชับหอกของเขาไว้แน่นและโถมเข้าหาเย่ว์หยางเต็มกำลัง ขณะที่เขาตระหนักว่ามีแสงส่องนัยน์ตาเขาจนพร่า มันสายเกินกว่าจะถอนตัวเสียแล้ว หอกเหล็กในมือของเขาหลุดร่วงกลายเป็นเศษโลหะอย่างเงียบเมื่อมันกระทบกันอย่างรุนแรงจนเกิดแรงระเบิด เมื่อพระอาทิตย์ดวงแรกไหม้บนตัวเขา บุรุษชุดดำรู้สึกว่าร่างของเขากำลังละลายจากความร้อนที่รุนแรงของดวงอาทิตย์ เมื่อดวงอาทิตย์ดวงที่ 2 ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าแต่แข็งแกร่งกว่า 10 เท่า เขารู้สึกว่าตนเองกำลังถูกทำลายสลายไปในความว่างเปล่าทันที
เงาร่างทั้งสองที่ยืนอยู่บนปราสาทกำลังดูพลังดาบคู่ของเย่ว์หยาง
หนึ่งในสองนั้นส่ายศีรษะ ขณะพูดด้วยเสียงเคร่งขรึมว่า “นี่ไม่ใช่ดาบแรก ดาบผ่าปฐพี มันเป็นแค่การฟันดาบธรรมดา ดูเหมือนเป็นท่าที่เขาทำความเข้าใจด้วยตนเองแล้วถึงนำมาใช้
“อย่างนั้นท่านกำลังบอกว่าเขาเหมือนบิดาของเขา อัจฉริยะผู้สามารถบัญญัติวิชาด้วยตนเองได้หรือ?” อีกคนถามขึ้น
“เป็นไปได้ว่าคงมีคนสอนเคล็ดวิชาให้เขา” คนที่สูงอายุตอบด้วยน้ำเสียงแคลงใจ
สถานการณ์การต่อสู้เปลี่ยนไป
บุรุษชุดดำไม่มีร่องรอยบาดแผลปรากฏให้เห็น แม้แต่ชุดของเขาก็ยังคงดูเรียบร้อย อย่างไรก็ตาม นัยน์ตาของเขาเบิกโพลง แม้ว่าเขาจะดูผิวเผินว่าเหมือนไม่โดนแตะต้องก็ตาม แต่เขาถูกสังหารในทันที
ส่วน ผู้อาวุโส 4 คนที่เหลืออาการน่าอนาถกว่า มีรอยแผลอยู่บนร่างกายของแต่ละคนไม่มากก็น้อย
แม้ว่าพวกเขาจะมีความเจ้าเล่ห์พอที่จะถอนตัวออกจากสนามต่อสู้เพื่อให้ตัวเองปลอดภัย แต่วิชาดาบอำมหิตของเย่ว์หยางได้ทิ้งรอยแผลไว้และทำให้ชื่อเสียงของพวกเขาด่างพร้อย
ประตูปราสาทที่ปิดแน่น ค่อยๆ เปิด สะพานชักค่อยๆ ถูกลดลง
บุรุษที่ดูเหมือนบัณฑิตคงแก่เรียนอยู่ในชุดขาวราวหิมะเดินออกมาจากด้านในตรงมาหาเย่ว์หยาง เขามีใบหน้าที่ดูอวบอิ่มอย่างดีเป็นผู้ใหญ่และยังดูสุภาพอ่อนโยนอย่างมาก ยามเผยอยิ้มให้ความรู้สึกอบอุ่นสดชื่นเหมือนฤดูใบไม้ผลิ เขาพยักหน้าอย่างสุภาพ “ซานเอ๋อ! เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย, เมื่อข้าได้ฟังรายงานจากบ่าวรับใช้ ข้ายังไม่เชื่อหูตัวเอง ข้าประหลาดใจปนยินดีมากกว่า จึงได้แจ้งให้ท่านพ่อทราบถึงการมาถึงของเจ้า ข้าหวังว่าเขาคงจะได้รับข่าวที่น่ายินดีมีความสุขนี้โดยเร็ว เขาไม่ได้พบเรื่องน่าทึ่งที่นำความพอใจมาให้เป็นเวลานานแล้ว เป็นเรื่องน่ายินดีจริงๆ ตอนนี้น้องสาม (บิดาเย่ว์หยาง) มีทายาทที่ประสบความสำเร็จแล้ว”
เมื่อเย่ว์หยางได้ยินเขาพูดแล้ว เขาทำอะไรไม่ถูก ได้แต่หวั่นไหวใจ
ท่านผู้นี้ดูเหมือนจะเป็นรักษาการประมุขตระกูลเย่ว์, เย่ว์ซาน ใบหน้าของเขาดูบริสุทธิ์เกินไป ทำให้ดูเหมือนว่าเขากำลังวางแผนผลักภาระทั้งหมดไปให้พ้นจากตัวของเขาเอง
ถ้าเย่ว์หยางไม่รู้มาแต่ต้นว่าเย่ว์ซานเป็นตัวบัดซบจอมเหี้ยมอำมหิต ที่เก็บซ่อนความปรารถนาร้ายไว้ในใจภายใต้รอยยิ้มสดใสของเขาแล้ว บางทีเขาอาจเข้าใจผิดหลงเชื่อว่าเย่ว์ซานเป็นลุงที่แสนดีที่ดูแลความเป็นอยู่ของหลานชายของเขาเป็นอย่างดี พอเห็นเย่ว์ซานแสร้งยิ้มจริงใจให้กับเขา เย่ว์หยางคิดว่า แม้แต่รางวัลออสการ์สำหรับนักแสดงชายก็ยังไม่เพียงพอกับความสามารถในการแสดงของเขา
น่าทุเรศ เขามีชื่อเสียงคู่ควรแก่การเป็นเจ้าหน้าที่ทางการของอาณาจักรต้าเซี่ยจริงๆ เขาก็แค่แตกต่างจากคนร้ายธรรมดาในแง่ที่มีภูมิปัญญาเจ้าเล่ห์แบบนักการเมือง แต่อีคิวของเขาโดดเด่นมาก
แค่มองดูครั้งเดียว เย่ว์หยางรู้แล้วว่าเย่ว์ซานไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่จะรับมือได้ง่ายๆ
เจ้าผู้นี้ไม่ใช่เพียงแค่มีความสามารถที่พิเศษเท่านั้น แต่ยังเป็นคนอดทนมากอีกด้วย
มองจากภายนอก เขาจะทำตัวเป็นสุภาพบุรุษที่เจียมตัวที่อบรมตัวเองเสมอ ก็เหมือนกับเย่ว์ปู้ฉุนในโลกนี้มิใช่หรือ? (เย่ว์ปู้ฉุน—งักปุ๊กคุ้ง ฉายากระบี่สุภาพบุรุษจากเรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักร)
เผชิญหน้ากับคนแบบนั้น ถ้าเย่ว์หยางต้องการเล่นเกมอย่างฉลาด เขาควรจะท้าสู้กับเย่ว์ซานเป็นการเฉพาะ ถ้าเรื่องนั่นเกิดขึ้นจริงๆ บางทีเย่ว์ซานคงจะมีความสุขมากที่เขาจะกินรวบให้อิ่มได้เช่นกัน วิธีที่ดีที่สุดในการรับมือกับคนประเภทนี้ก็คือใช้วิธีรุนแรงไปเลย โหดสุดๆ ท้าลุยกันแบบตรงไปตรงมา เย่ว์หยางต้องการเอาชนะเขาแบบไม่ปราณี โค่นเขาให้ได้เหยียบหน้าและเย้ยหยันอย่างสะใจ นั่นคือวิธีปฏิบัติที่ดีที่สุดต่อเย่ว์ซาน
อย่างไรก็ตาม เย่ว์หยางอยากเอาดาบจันทร์เสี้ยวของเขาฟันใบหน้าเปื้อนยิ้มของเย่ว์ซานมากเพียงใด แต่เขาก็ทำแบบนั้นไม่ได้ ทั้งนี้เป็นเพราะเย่ว์ซานเป็นคนที่มีความน่ากลัวซ่อนอยู่ในเบื้องหลังรอยยิ้มของเขา เขายังเป็นนักสู้ระดับ 6 ขั้นกลางอีกด้วย
ระดับ 6 ขั้นกลางคู่ต่อสู้ที่เป็นมนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดที่เย่ว์หยางเคยเผชิญมา
“ซานเอ๋อ! เราทุกคนต่างก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ถ้าพวกเราทั้งหมดอยู่ร่วมกันอย่างสามัคคี ความพยายามของพวกเราทุกคนก็จะประสบความสำเร็จ วางอาวุธของเจ้าลงเร็วๆ ถ้ามีความเข้าใจผิดใดๆ เราสามารถคุยกันและตกลงกันได้ ทุกคนที่อยู่ที่นี่พร้อมจะทำความเข้าใจกันอยู่แล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ฟังคำอธิบายของเจ้า อาเซียน! เจ้าก็ไม่ควรกลัวเช่นกัน ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าจะปกป้องครอบครัวที่สี่ของเจ้าให้ได้รับความปลอดภัย” นอกเหนือไปจากการให้คำแนะนำเย่ว์หยางแล้ว เย่ว์ซานยังหันไปน้อมตัวพูดกับหญิงงามที่ยังนั่งอยู่ภายในรถม้า
ใครจะเคยคิดว่าคนที่พูดแบบนี้มาตลอดจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในการวางแผนอยู่เบื้องหลังทุกเรื่องที่เกิดขึ้น
เย่ว์หยางคิดกับตัวเขาเองว่า ถ้าไอคิวของตัวเขาต่ำลงอีกนิด บางทีเขาคงโดนขายเป็นทาสช่วยให้เย่ว์ซานได้ทำเงินจากการขายเขาออกไปแน่
เย่ว์หยางรู้สึกว่าถ้าเขาพยายามพูดกับเจ้าบัดซบเย่ว์ซานผู้นี้ บางทีเขาอาจถูกเอาเปรียบด้วยสถานะผู้รักษาการประมุขตระกูลก็ได้ ในฐานะที่เขาเป็นผู้เยาว์ สถานะของเขาเสียเปรียบอย่างแน่นอน มีทางเดียวที่ใช้รับมือก็คือ ทำเป็นบ้าระห่ำและใช้วิธีรุนแรงของเขา
ท่านก็เป็นคนเสแสร้งที่ทำเป็นว่าที่ห่วงใยหลานเสียเต็มประดามิใช่หรือ? ข้าจะช่วยให้ท่านสำเร็จความปรารถนา
วิธีที่ชาญฉลาดต้องเอาไว้ใช้จัดการกับคนโง่
ในทางตรงกันข้าม, ใช้วิธีโง่ๆ จัดการกับคนฉลาด บางครั้งก็ใช้ได้ผลเหมือนกัน
บุรุษผู้มาจากมิติอื่นทำเต๊ะท่าเลิกคิ้วมองอย่างกล้าหาญ ปรากฏแววเยาะเย้ยที่มุมปากเขาเล็กน้อย ขณะที่เขาพยายามใช้น้ำเสียงที่ฟังดูจริงใจที่สุด “เมื่อเร็วๆ นี้ ผู้หลานพบเจอปัญหาในการฝึกวิชาและยากจะทำให้วิชาฝีมือของตนก้าวหน้าได้ ถ้าเป็นไปได้ ผู้หลานอยากให้ลุงใหญ่ช่วยชี้แนะหลานผู้นี้จะได้ไหม?”
เขาไม่ได้ทำเพียงสักแต่ว่าพูด แต่กลับเกร็งพลังปราณก่อกำเนิดไว้ในดาบจันทร์เสี้ยวไว้แล้ว
เขาไม่จำเป็นต้องได้รับคำตอบจากเย่ว์ซานเลย ตราบใดที่มีโอกาส ดาบจันทร์เสี้ยวอาจฟันใส่ศีรษะของเย่ว์ซานทันที เขาจะมีแผนใดหรือไม่..ใครจะสนกันเล่า
เย่ว์หยางเยาะเย้ยในใจและรู้ว่าเขาสามารถวางแผนสู้กับบุรุษผู้นี้ได้ นอกจากนี้ก็ยังใช้พลังถึกเถื่อนของเขาได้ อีกทั้งยังใช้เล่ห์เหลี่ยมได้ เขาต้องการดูว่าเย่ว์ซานจะรักษารอยยิ้มบนใบหน้าได้นานแค่ไหน
4 ผู้อาวุโสมีอยู่ 2 คนถึงกับตกตะลึงเมื่อได้ยินสิ่งที่เย่ว์หยางพูด
พวกเขาไม่กล้าเชื่อสิ่งที่พวกเขาได้ยิน
พวกเขามองหน้ากันและกันพลางคิดว่าเย่ว์หยางเสียสติไปแล้ว
ในตระกูลเย่ว์ ว่ากันเรื่องความแข็งแกร่ง ประมุขตระกูลเย่ว์ไห่บรรลุจุดสุดยอดของนักสู้ระดับ 6 ขั้นผู้แก่กล้าขั้นสูง เป็นผู้มีพลังที่แข็งแกร่งที่สุด รองจากเขาก็เป็นผู้อาวุหลัก 3 คนและบุตรชายคนโตของเขาเย่ว์ซาน 3 ผู้อาวุโสหลักสูงวัยมากแล้วและไม่ยุ่งเกี่ยวกับกิจการของตระกูล เนื่องจากพวกท่านเพียงแต่มุ่งค้นคว้าฝีมือที่ตกทอดมาจากตระกูล พวกท่านจึงได้รับการยกเว้นจากการจัดอันดับ ดังนั้น ตลอดทั้งตระกูลเย่ว์ ในแง่ผู้มีความแข็งแกร่งรองลงมาอย่างเป็นทางการก็คือบุตรชายคนโต เย่ว์ซาน ผู้เป็นนักสู้ระดับ 6 ผู้แก่กล้าขั้นกลาง
ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าเขามีความแข็งแกร่งระดับนั้น เย่ว์ซานจะสามารถโน้มน้าวตระกูลทั้งหมดและรับหน้าที่เป็นรักษาการประมุขตระกูลได้อย่างไร?
ตอนนี้ นี่เป็นเรื่องที่แปลก เจ้าเด็กที่ไม่มีอะไรดี ไม่สามารถจะทำสัญญากับอสูรที่คุณภาพแย่ที่สุด กลับบังอาจท้าทายรักษาการประมุขตระกูลหรือนี่?
อาจเป็นได้ว่าเย่ว์หยางคิดว่าระดับ 6 ของเย่ว์ซาน เป็นเพียงข้ออ้างกระมัง?
หรืออาจเป็นได้ว่า เขาได้เรียนรู้เคล็ดวิชาบางอย่างจากบิดาของเขา เย่ว์หยางคิดว่าเขาสามารถโบยบินขึ้นสวรรค์ได้หรือ
แม้แต่เย่ว์ชิวตอนนั้นก็ยังไม่กล้าพูดว่าเขาสามารถเอาชนะพี่ชายอย่างเย่ว์ซานได้ง่าย ป่วยการที่จะพูดถึงเย่ว์หยางที่เป็นเพียงเด็กจากผู้เยาว์รุ่นหลัง
หลังจากเป็นถึงนักสู้ระดับ 6 แล้วไม่ว่าจะทำสัญญากับอสูรรูปแบบไหน พลังของนักรบจะเพิ่มสูงขึ้นมากกว่านักสู้ระดับ 5 (ยอดฝีมือ) อย่างน้อย 10 เท่า..บางคนที่อยู่เหนือขอบเขตของนักสู้ระดับ 6 จะมีคุณสมบัติพอเลื่อนระดับได้ในอนาคตอีก เขายังได้รับการยอมรับเป็นทางการจากประเทศ ในสายตาของนักสู้ที่จะขึ้นสู่จุดสูงสุดในอนาคต จะมองนักสู้ระดับ 6 หรือต่ำกว่าเป็นเหมือนมดที่ไร้พลัง
ไม่ใช่แค่ความจริงที่ว่าเจ้าสวะผอมแห้งแรงน้อยอย่างคุณชายสามนี้บังอาจทำร้ายผู้อาวุโสที่เป็นนักสู้ระดับ 5 เท่านั้น เขายังกล้าท้าทายเย่ว์ซาน ที่เป็นนักสู้ระดับ 6 ด้วยหรือ?
“ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของลุงใหญ่ของเจ้าเอง ข้ามัวแต่วุ่นกับกิจการของอาณาจักรไม่หยุดหย่อน จนปล่อยปละละเลยหลานชายข้า ซานเอ๋อ! ถ้ามีบางอย่างที่เจ้ายังไม่เข้าใจ ข้าจะพยายามช่วยเจ้าอย่างดีที่สุด” แม้ว่าเย่ว์ซานกำลังยิ้ม เย่ว์หยางสามารถเห็นรังสีอำมหิตที่ปรากฏอยู่ในแววตาเขาวูบหนึ่ง
เย่ว์ซานไม่ปิดบังตัวเอง เขารู้ดีว่าเจ้าเด็กตัวแสบเย่ว์หยางนั้นฉลาด ในหมู่คนฉลาดไม่จำเป็นต้องปิดบังมากเกินไป
คำพูดระหว่างคนทั้งสองแค่พูดกลบเกลื่อนให้คนอื่นฟัง
ในขณะนี้ ทั้งสองต่างมีความรู้สึกอยากจะฆ่ากันและกัน มองผิวเผิน เหมือนหลานชายผู้ถ่อมตนกำลังขอคำชี้แนะ ขณะที่อีกฝ่ายต้องทำตัวเป็นท่านลุงใจดีสอนสั่งหลานชาย
ชั่วขณะนั้น เย่ว์หยางรวบรวมพลังไว้ที่ดาบจันทร์เสี้ยว เย่ว์ซานเรียกคัมภีร์ทองออกมาขณะที่ยังยิ้มเต็มใบหน้า จากนั้นเขารีบเรียกอสูรชั้นเงินออกมาเพื่อรวมร่างกับเขา และค่อยๆ ดึงดาบยาวที่ผูกติดอยู่ข้างเอวของเขาออกมา เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนผิดปกติ “ซานเอ๋อ! ระวังให้ดีนะ ดาบไม่มีนัยน์ตา ดังนั้นระวังอย่าทำอะไรเกินตัว และอย่างพยายามแสดงมากเกินไปจนทำร้ายตัวเองในที่สุด”
“อย่างนั้นข้าก็จะขอแนะนำลุงใหญ่ คนแก่มักหลงๆ ลืมๆ ระมัดระวังไว้เป็นสิ่งที่ดีเช่นกัน” เย่ว์หยางร่ายรำดาบจันทร์เสี้ยวและบุกไปข้างหน้า
เย่ว์หยางฟันด้วยพลังที่สามารถตัดแผ่นดินและฟ้าได้ขาด เป็นพลังที่เขาใช้สังหารบุรุษชุดดำที่เป็นนักสู้ระดับ 4 ขั้นกลาง
อย่างไรก็ตาม เย่ว์ซานแค่ใช้มือข้างหนึ่งต้านรับพลังกระแทกได้โดยง่าย
เย่ว์หยางขมวดคิ้ว ขณะที่เขาตระหนักได้ว่าอสูรอัญเชิญของเย่ว์ซานค่อนข้างแข็งแกร่ง ไม่ใช่อสูรสายเสริมพลังธรรมดา ความเป็นมันเป็นอสูรปลาหมึกรูปแบบพิเศษ แขนของเย่ว์ซานเปลี่ยนไปเป็นแขนปลาหมึกที่สามารถต้านรับพลังแข็งแกร่งด้วยความอ่อนหยุ่น หลุมดูดนับไม่ถ้วนปรากฏอยู่บนแขนของเขาและมันพุ่งเข้าหาดาบจันทร์เสี้ยวของเขา อีกด้านหนึ่ง ดาบยาวในมือของเย่ว์ซานแปรเปลี่ยนเป็นเหมือนเงาลูกศรนับพันดอก เงาศรนับไม่ถ้วนพุ่งตรงมาที่ตัวของเย่ว์หยาง ญาณทิพย์ระดับ 2 ของเย่ว์หยางสามารถเห็นได้ว่าไม่เพียงแต่อสูรปลาหมึกของเย่ว์ซานสามารถเปลี่ยนแขนของเขาให้เป็นแขนปลาหมึกได้เท่านั้น มันยังถูกประยุกต์ใช้ร่วมกับอาวุธอาบยาพิษของเย่ว์ซานด้วย เขาไม่สามารถหลบหลีกการจู่โจมของเย่ว์ซานได้แน่นอน เพราะถ้าเขาทำเช่นนั้น แม่สี่และเด็กหญิงที่อยู่เบื้องหลังจะตายแน่นอน ถ้าลูกศรถูกปล่อยออกมา
เขาเป็นจอมอำมหิต ความเคลื่อนไหวโจมตีของเขาโหดเหี้ยมและอันตราย
“ดาบที่สอง : ฟ้าถล่มแผ่นดินทลาย” ในตอนแรก เย่ว์หยางไม่รู้จักวิชาดาบของเย่ว์ชิว อย่างไรก็ตาม เพื่อปกปิดความจริงที่ว่าเขามีปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ขั้นก่อกำเนิด เขาจะหลอกล่อทุกคนให้เข้าใจว่าเป็นวิชาดาบของเย่ว์ชิว
เมื่อเขาปล่อยพลังออกไป เขาพยายามจะเลียนแบบท่าดาบแบบนั้น
ประกายตาดุร้ายปรากฏผ่านสีหน้าของเย่ว์ซานวูบหนึ่ง “ไม่เลว, แต่พลังอ่อนไปนิด”
ดูเหมือนว่าเย่ว์ซานมีความคิดจะทำลายท่าดาบที่สอง ฟ้าถล่มแผ่นดินทลายให้ได้ แขนของเขาที่เดิมทีเปลี่ยนรูปเป็นแขนปลาหมึกไปแล้ว ก็รีบเปลี่ยนรูปโดยเร็ว ความมืดปกคลุมตัวเขา เขาเกือบจะลอบเข้ามาทำร้ายเย่ว์หยาง
ทันใดนั้น เย่ว์ซานยืดตัวตรง ผ่านไปชั่ววินาที เขากลับมาปรากฏตัวเป็นรูปลักษณ์บัณฑิตคงแก่เรียนเหมือนก่อนหน้านั้น
เขาไม่ได้เคลื่อนไหว ยอมให้เย่ว์หยางฟันหน้าผากของเขาด้วยดาบวิเศษฮุยจิน
อย่างไรก็ตาม เงาร่างสูงใหญ่ปรากฏอยู่ตรงกลางระหว่างเย่ว์หยางและเย่ว์ซาน เย่ว์หยางไม่สนว่าเป็นใคร ขณะที่เขาคาดว่าฝ่ายตรงข้ามตั้งใจใช้พลังจึงสายเกินไปที่จะสลายแรงที่ฟันใส่ร่างนั้น ร่างนั้นไม่ถอยและไม่ได้หายไป แต่ใช้ร่างที่แข็งแกร่งรับแรงฟันหนักหน่วงจากดาบฮุยจินของเย่ว์หยาง มีเสียงระเบิดดังบึ้ม เมื่อร่างนั้นปะทะกับดาบฮุยจิน ในชั่วเวลาต่อมาเย่ว์หยางก็ต้องแปลกใจ ดาบฮุยจินของเขาสะท้อนกลับ ร่างนั้นมีมือข้างหนึ่งที่ดูเหมือนรูปหล่อเหล็ก เขาไม่ได้ขยับจากแรงปะทะเลย และไม่ได้รับความเสียหายจากแรงโจมตีของเขาด้วย
“พลังของเจ้ารุนแรงมากนะ ตอนนี้ข้าชักรู้สึกเจ็บบ้างแล้ว”ร่างสูงนั้นใช้มือปัดเกราะที่แตกเป็นเสี่ยงออกไป
“อ๋า?” เย่ว์หยางคิดว่าคนผู้นี้มีพลังมากจริงๆ พลังป้องกันของท่านผู้นี้มีประสิทธิภาพมากจริงๆ มิใช่หรือ?
เมื่อเขาสังเกตได้อย่างชัดเจน เขาเห็นชายชราผมขาวโพลนมีแขนและขาอย่างละข้าง อย่างไรก็ตาม ปราณของเขารุนแรงเหมือนราชสีห์ เขามีร่างสูงใหญ่เหมือนภูเขา เป็นเพียงคนเดียวที่ยืนเหมือนเกียจคร้านอยู่ต่อหน้าเขา เขายังให้ความรู้สึกว่าต่อให้มีกองทหารและม้าเป็นพันๆ ก็ไม่สามารถผ่านเขาเข้าไปได้
เย่ว์หยางไม่เคยพบเขา แต่เขาอกได้ว่าชายชราผู้นี้แค่มองครั้งเดียวก็ทราบแล้วว่าคือประมุขของตระกูลเย่ว์
แน่นอน เขายังเป็นผู้บัญชาการกองทัพจักรวรรดิต้าเซี่ยที่เพิ่งจะเกษียณอีกด้วย เขาคือปู่ของสหายผู้น่าสงสารและมีฉายาว่าเทพยุทธแขนเดียว เย่ว์ไห่
เขามีพลังปราณที่น่ากลัวซึ่งสะสมมาจากประสบการณ์ในสนามรบ ไม่มีใครสามารถปลอมพลังปราณที่รุนแรงได้
เย่ว์หยางตระหนักว่าเทียบกับบุตรชายของเขาเย่ว์ซาน เย่ว์ไห่ผู้นี้มีความสามารถมากขนาดที่เย่ว์หยางไม่สามารถใช้ทักษะญาณทิพย์ระดับ 2 ตรวจดูได้ อย่างไรก็ตาม แม้ด้วยความสามารถที่เย่ว์หยางสามารถมองเห็นด้วยญาณทิพย์ของเขา ความสามารถเหล่านั้นทำให้หัวใจของเย่ว์หยางสั่นไหวตื่นตัวทันที
ปู่ของสหายผู้น่าสงสาร ผู้เฒ่าเย่ว์ไห่นี้ มีจ้าวอสูรทองที่แข็งแกร่งอยู่ในคลังอาวุธของเขา
มันเป็นอสูรพิทักษ์สายเสริมพลังที่รวมร่างกับชายชราเย่ว์ไห่และใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันกับเจ้านายของมัน
อย่างไรก็ตาม เย่ว์หยางแน่ใจจริงๆ ว่าจ้าวอสูรทองนี้ไม่ใช่อสูรผู้พิทักษ์
นั่นเป็นเพราะอสูรผู้พิทักษ์จะไม่มีทางตาย และมันมักรักษาตัวกลับคืนสู่สภาพเดิมเมื่อมันบาดเจ็บ อย่างไรก็ตาม เจ้าอสูรทองในตัวของชายชราเย่ว์ไห่ แข็งแกร่งไม่มีอะไรเทียบ แต่มันเหมือนเจ้านาย คือไม่สามารถใช้แขนและขาอย่างละข้าง สำหรับประเภทของมัน เย่ว์หยางไม่สามารถมองเห็นได้รวดเดียว อย่างไรก็ตามเขาคิดว่าคงเป็นหมีจ้าวภูผา อสูรในตำนาน
ไม่ใช่แค่ว่าผู้เฒ่าเย่ว์ไห่จะเป็นนักสู้ระดับ 6 ขั้นสูงเท่านั้น แต่เขายังมีประสบการณ์ในการรบ รังสีฆ่าฟันของเขาแหลมคมเหมือนดาบ เขาแข็งแกร่งอย่างที่ร่ำลือแน่นอน
แม้ว่าเย่ว์ซานจะเป็นนักสู้ระดับ 6 ขั้นกลาง เขาก็เป็นเหมือนเด็กหนุ่มเมื่อเทียบกับนักรบอย่างเย่ว์ไห่ ความแตกต่างไม่ใช่เพียงเล็กน้อย แต่ใหญ่หลวงมากๆ
เมื่อเย่ว์หยางมองดูชายชราเย่ว์ไห่ เขารู้สึกเหมือนตอนเผชิญหน้ากับไคเมรา 3 หัวในวิหารราศีเมษ เขาถูกความโกรธแผดเผา จนรู้สึกกระตือรือร้นหวังจะได้ต่อสู้กับนักสู้ที่แข็งแกร่งระดับนี้ด้วยพลังทั้งหมดของเขา อย่างไรก็ตาม ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่สามารถใช้พลังทั้งมวลของเขาได้ เย่ว์หยางไม่มั่นใจเต็มร้อยว่าจะเอาชนะเขาได้
ถ้าเขาไม่ใช่ปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ขั้นก่อกำเนิด เสี่ยวเหวินหลี, และอสูรทองน้อย และใช้แค่ฮุยไท่หลางกับโคเงา เขาคงไม่สามารถเอาชนะผู้อาวุโสเย่ว์ไห่ได้
เขาเกรงว่าแม้แต่นางพญากระหายเลือดก็ยังไม่พอที่จะเผชิญหน้ากับเย่ว์ไห่
ในที่สุดแล้ว เย่ว์ไห่ก็คือนักสู้ที่แข็งแกร่งที่ฝึกฝีมือมาหลายสิบปีแล้ว เกือบจะร้อยปีด้วยซ้ำ ทักษะและฝีมือของเขาทรงพลังมากแน่นอน
เย่ว์หยางค่อยถอนหายใจช้าๆ แม้ว่าเขาจะอยู่ในระดับนักสู้ปราณก่อกำเนิดซึ่งเป็นระดับที่เหนือกว่าชายชราเย่ว์ไห่ แต่ช่วงเวลาที่เขาฝึกฝีมือมายังสั้นเกินไป ยังไม่ถึงครึ่งปีตั้งแต่เขาเดินทางมาโลกนี้ ถ้าเขาสามารถฝึกเพิ่มได้อีก 2-3 เดือน แน่นอนว่า แม้ว่าพวกเขาจะร่วมมือกันเย่ว์หยางคิดว่าเขาก็คงไม่พ่ายแพ้ชายชราเย่ว์ไห่เป็นแน่
ทั้งนี้เป็นเพราะผู้เฒ่าเย่ว์ไห่มีความแข็งแกร่งด้วยทักษะและวิชาต่อสู้ ปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ขั้นก่อกำเนิดเป็นวิชาที่แข็งแกร่งทวนตระกูลเย่ว์ถึง 100 เท่า
“พวกเจ้าก่อเรื่องไร้สาระอะไรกัน? คนในครอบครัวมารวมตัวกันที่หน้าบ้านและสู้กันจนถึงขั้นนี้ พวกเจ้ายังจะสร้างปัญหาอะไรต่อไปอีก?” ผู้เฒ่าเย่ว์ไห่ตวาดลั่นด้วยซุ่มเสียงกล้าแข็งเหมือนทั้งกองทัพ เขาเป็นคนมีเสน่ห์มาก มีรูปร่างสูงใหญ่ มองกวาดไปทั้งสนามรบพูดจากโผงผาง “ข้าไม่รู้ว่าที่นี่เกิดอะไรขึ้น และก่อนที่ข้าจะเข้าใจสถานการณ์เต็มที่ กลับไม่มีใครบอก ข้าจะไม่อดทนฟังเรื่องทะเลาะกันของพวกเจ้า ข้าคิดเองเสมอมาว่าสมาชิกตระกูลเย่ว์ใจเย็นและมีเหตุผล แม้ว่าพวกเจ้าไม่ต้องการใช้เหตุผล ข้าก็คิดว่าพวกเจ้าจะไม่หันไปใช้ความรุนแรง ไม่ว่าพวกเจ้าจะเถียงหรือต่อสู้กันก็ตาม จะมีการคุยกันให้ชัดเจนอีกครั้งระหว่างการแข่งในปีใหม่ ตอนนี้ กลับไปบ้านของพวกเจ้าทันที ไม่ต้องอยู่ที่นี่ และอย่าทำให้ขายหน้าจนกลายเป็นเรื่องตลกของสาธารณชน”
“…” เย่ว์หยางเหงื่อตกเมื่อได้ยินเช่นนี้
ท่านสามารถพูดออกมาได้ถ้าท่านมีข้อโต้แย้ง และท่านสามารถต่อสู้ได้ถ้าท่านไม่ต้องการหารือเกี่ยวกับข้อโต้แย้งของท่านหรือ?
โธ่..นี่มันทฤษฎีโจรแบบไหนกันแน่? นี่เป็นที่ของหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่, ตระกูลเย่ว์, ปราสาทตระกูลเย่ว์หรือรังโจรกันแน่?
แต่ละคนไม่พัฒนากว่าที่อื่นได้ยังไง?
ชายชราเย่ว์ไห่ยังไร้เหตุผลมากว่าเขาร้อยเท่าหรือนี่? เฒ่าผู้นี้เป็นผู้บัญชาการกองทัพอาณาจักรจริงหรือ?
เขาแทบไม่อาจรอจนฉลองปีใหม่ในตระกูล ที่เขาจะถกเหตุผลได้ด้วยหมัดของเขาจริงๆ
ขณะที่ชายหนุ่มที่มาจากมิติอื่นคิดถึงเรื่องนี้ เขาถึงกับยิ้ม
คุยกันด้วยหมัด นี่เป็นเรื่องที่เขาถนัดมากไม่ใช่หรือ?
*****************************