(ฟรี)ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 75 ในที่สุดก็มาถึง
ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 75 ในที่สุดก็มาถึง
หลังจากนั้นไม่นาน ผู้ตัดสินซูเฟิงก็ค่อยๆ เดินไปยังลานประลอง เขาตะโกนว่า “ทุกคน การประลองยุทธจะเริ่มในไม่ช้า โปรดใจเย็นก่อน หลังจากรอบรองชนะเลิศของวันนี้ จะมีศิษย์ 2 คนที่ได้เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ”
“สิ่งที่แตกต่างจากปีก่อน ๆ คือ หลังจากจบรอบรองชนะเลิศ จะเริ่มการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศทันที จะไม่มีเวลาให้พักผ่อนอีกต่อไป การเปลี่ยนแปลงกฎนี้เป็นการทดสอบความอดทนของศิษย์ที่เข้าร่วมการประลองและประสบการณ์การต่อสู้อันยาวนานของพวกเขา เพื่อทดสอบว่าพวกเขาจะสามารถรักษาพลังวิญญาณไว้ได้เพียงพอหรือไม่ในขณะที่จะต้องรับมือกับคู่ต่อสู้อีกคนในไม่นาน”
หลังจากผู้อาวุโสซูเฟิงอธิบายกฎทุกอย่างก็ตกอยู่ในความโกลาหล บางคนรู้สึกกังวล ในขณะที่บางคนกลับดีใจ
เย่ชิวขมวดคิ้วและมองไปยังฉีอู๋ฮุ่ยซึ่งกำลังเย้ยหยันเขาอยู่ไม่ไกล เห็นได้ชัดว่าชายชราอยู่เบื้องหลังการกระทำนี้อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม จากสีหน้าของเมิ่งเทียนเจิ้งดูเหมือนเขาจะเห็นด้วยกับกฎนี้ บางทีเขาอาจได้ปรึกษาหารือกับเมิ่งเทียนเจิ้งมาก่อนแล้ว
หมิงเยว่มองไปยังลูกศิษย์ที่รักของนางอย่างห่วงใย หลิวรู่หยานอยู่ในรอบรองชนะเลิศเช่นกัน แม้ว่านางจะชนะ ก็คงถือว่าเป็นโชคดี นางคงไม่สามารถเอาชนะในรอบชิงชนะเลิศได้”
“บัดซบ…” หมิงเยว่กำหมัดแน่นพร้อมมองไปยังฉีอู๋ฮุ่ยในระยะไกลด้วยความขยะแขยง
“การประลองสองคู่จะเริ่มพร้อมกัน โปรดเข้าสู่ลานประลอง”
เย่ชิวยังคงสงบมาก เขาหันกลับมาและมองยังหลินชิงจู้ ก่อนที่นางจะเดินขึ้นลานประลอง
หมิงเยว่ก็ทำเช่นกัน หลิวรู่หยานและฉีฮ่าวได้เดินขึ้นไปบนลานประลองอย่างใจเย็น
“ฮ่าฮ่า น่าสนใจ!” เย่ชิวยิ้มจาง ๆ แม้เขาจะไม่รู้ว่าฉีอู๋ฮุ่ยต้องการทำอะไร ทว่าเขามั่นใจว่าชัยชนะนั้นได้อยู่ในกำมือของเขาแล้วเมื่อเห็นฝีมือของฉีฮ่าว
“ศิษย์น้อง เจ้าไม่กังวลเลยหรือ” หมิงเยว่อดไม่ได้ที่จะถามออกมาด้วยความอยากรู้อยากเห็นเมื่อนางเห็นว่าเย่ชิวยังคงสงบนิ่งได้
เย่ชิวยักไหล่และยิ้มโดยไม่กล่าวอะไร
หมิงเยว่รู้สึกประทับใจเล็กน้อย จิตใจของเขาช่างมั่นคงเกินไป เขาไม่กังวลเลยหรือ
ในลานประลอง หลินชิงจู้ยืนยิ่ง นางดูกล้าหาญ ราวกับเป็นมือกระบี่ผู้เยี่ยมยุทธ
กู่ไป๋อี้ยืนอยู่ตรงข้ามกับนางพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา “ศิษย์น้องหลิน โปรดชี้แนะข้าด้วย หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้อับอายมากนัก…”
หลินชิงจู้ไม่สนใจ นางพยักหน้าและไม่กล่าวอะไร ราวกับว่านางเห็นด้วยกับคำกล่าวที่สุภาพของกู่ไป๋อี้
มุมปากของกู่ไป๋อี้กระตุกขณะที่เขายิ้มอย่างขมขื่น เขาแค่กล่าวถ่อมตนอย่างพอประมาณ เหตุใดจึงดูเหมือนว่าหลินชิงจู้กำลังบอกว่าเขาจะพ่ายแพ้อย่างแน่นอน
ศิษย์น้องหญิงคนนี้ช่างเหมือนอย่างที่ลือกัน นางเย็นชาและเข้ากับคนได้ยาก กู่ไป๋อี้ไม่สนใจในขณะที่เขาส่ายหัว
หลิวรู่หยานและฉีฮ่าวก็เข้าสู่ลานประลองอื่นเช่นกัน
ซูเฟิงตะโกนว่า “เริ่มการประลอง”
การต่อสู้ปะทุขึ้นทันทีระหว่างสนามประลองทั้งสอง
ฉีฮ่าวเป็นคนแรกที่จู่โจม เขาไม่ได้ใช้กระบี่ของเขา เพียงโจมตีหลิวรู่หยานด้วยฝ่ามือของเขาเท่านั้น
ในอีกด้านหนึ่ง กู่ไป๋อี้ได้ชักกระบี่ออกจากฝักและวาดไปที่หลินชิงจู้
“ศิษย์น้อง ระวัง!”
หลินชิงจู้ไม่ตอบสนอง นางหมุนฝักกระบี่ในมือแล้วดันไปข้างหน้า พลังของทั้งคู่ได้ปะทะกันทันทีและการโจมตีของกู่ไป๋อี้ก็สลายไปอย่างง่ายดาย
“อืม” ด้านล่างลานประลอง เมิ่งเทียนเจิ้งมองไปยังเย่ชิวด้วยความประหลาดใจ ไม่มีใครรู้ถึงความแข็งแกร่งของศิษย์ของเขาดีไปกว่าเขาอีกแล้ว
การโจมตีที่ทรงพลังเช่นนี้ยังไม่สมารถบังคับให้หลินชิงจู้ต้องออกแรงเต็มกำลังได้อีกหรือ
ในขณะนี้ หลินชิงจู้กำลังเดินอย่างสบาย ๆ ภายใต้การโจมตีของกู่ไป๋อี้
เคล็ดวิชาการเคลื่อนไหวของนางนั้นอิสระและดูง่ายดายอย่างมาก เสื้อผ้าสีขาวโพลนของนางปลิวไสวราวกับว่ากำลังเต้นรำ ทำให้ผู้คนต่างลุ่มหลง
จ้าวว่านเอ๋อมองไปยังลานประลองและยิ้ม ในเดือนที่ผ่านมา นางได้ประมือกับหลินชิงจู้อยู่ทุกวัน และรู้ว่าเคล็ดวิชากระบี่ที่หลินชิงจู้เข้าใจนั้นน่ากลัวเพียงใด
การโจมตีเช่นนี้ไม่สามารถทำให้นางต้องออกแรงเต็มกำลังได้
กู่ไป๋อี้รู้สึกผิดหวังอย่างมากหลังจากที่นางหลบการโจมตีของเขาหลายครั้งติดต่อกัน เขารู้สึกภูมิใจในตนเองในฐานะอัจฉริยะรองจากหลิวชิงเฟิง ในสำนักเยียวยาสวรรค์เขาไม่ได้สนใจฉีฮ่าวด้วยซ้ำ ทว่าตอนนี้ เขาไม่สามารถทำอะไรหลินชิงจู้ได้ด้วยซ้ำ เขาจะเรียกว่าตนเองอัจฉริยะได้อย่างไร
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ กู่ไป๋อี้ก็โกรธเกรี้ยวและไม่เก็บงำอะไรอีกต่อไป…
กระบี่ในมือของเขาร่ายรำในขณะที่เขาฟาดเป็นหยินหยาง ทันใดนั้นความแข็งแกร่งของเขาก็เริ่มทะยานขึ้น
ทุกคนต่างตกตะลง พลังเช่นนี้เข้าใกล้ขอบเขตสวรรค์ขั้นที่ 9 เป็นอย่างมาก
หลินชิงจู้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเผชิญหน้ากับเขาอย่างจริงจัง กระบี่เมฆาม่วงถูกคลายออกจากฝักทันที
“จงระวังกระบี่ของข้าให้ดี” กู่ไป๋อี้ตวัดกระบี่ด้วยความโกรธเกรี้ยว ทั้งสองฝ่ายตอบโต้การเคลื่อนไหวของกันและกันอย่างดุเดือด
ทั้งคู่ต่างใช้เคล็ดวิชาออกมา
แม้วิชากระบี่เมฆาม่วงดูเหมือนจะไร้พลัง ทว่าหัวใจของหลินชิงจู้เปลี่ยนเป็นเย็นชาและนางก็ใช้สะบั้นปฐพีทันที
ปัง…
ประกายไฟปะทุขึ้นจากลานประลอง และเสียงอึกทึกดังขึ้นเมื่อปราณกระบี่ได้ปะทะกัน
ต้องบอกว่าความแข็งแกร่งของกู่ไป๋อี้แข็งแกร่งอย่างมาก เขาสามารถต้านทานสะบั้นปฐพีได้เพียงใช้กระบี่เดียว ทำให้หลินชิงจู้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม นั่นคือทั้งหมด
“ศิษย์น้อง กระบี่ของข้าคู่ควรกับความสนใจของเจ้าหรือไม่” กู่ไป๋อี้รู้สึกยินดีกับตนเองเล็กน้อย เขารู้สึกมั่นใจเสียด้วยซ้ำ
หลินชิงจู้พยักหน้าและกล่าวว่า “ไม่เลว”
ทันทีที่นางกล่าวจบ กลิ่นอายของนางก็เปลี่ยนไปทันที ความเย็นเยือกได้จู่โจมเขาทันที กู่ไป๋อี้มีความสุขได้เพียงไม่กี่วินาทีก่อนที่รอยยิ้มของเขาจะแข็งค้าง
“นี่…”
ความเจ็บปวดเย็นยะเยือกที่เสียดแทงเข้าไปในจิตวิญญาณของเขาทำให้สติของเขาลดลงอย่างต่อเนื่อง กู่ไป๋อี้ตื่นตระหนกอย่างมาก สตรีที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาเป็นเหมือนเทพธิดาที่สูงส่งที่เขาสามารถมองขึ้นไปได้เท่านั้น
ดวงตาของหลินชิงจู้เปลี่ยนเป็นไร้ชีวิตชีวาขณะที่นางใช้สะบั้นปฐพีอีกครั้ง นางไม่ต้องการเปิดเผยความแข็งแกร่งของนางมากเกินไป แต่เพื่อรักษาความแข็งแกร่งของนางไว้จัดการกับฉีฮ่าวนางจึงไม่สามารถปิดบังมันได้อีกต่อไป
ทันใดนั้นกระบี่ก็ได้ฟันลงมาจากท้องฟ้า ปราณกระบี่รูปพระจันทร์เสี้ยวได้ตกลงมา ฟันไปยังกู่ไป๋อี้ด้วยความกดดัน
ทุกคนต่างตกตะลึงกับสิ่งที่นางกระทำ แม้แต่เมิ่งเทียนเจิ้งก็จับเก้าอี้อย่างประหม่า
“เคล็ดวิชาลับระดับสวรรค์!”
เขาจดจำได้ทันทีว่ากลิ่นอายเย็นยะเยือกในร่างกายของหลินชิงจู้ไม่ได้มาจากกระดูกเหมันต์เร้นลับ มันคล้ายกับเคล็ดวิชาลับเพลิงกรรมบงกชแดงของจ้าวว่านเอ๋อ เป็นเคล็ดวิชาลับธาตุน้ำแข็งที่น่าสะพรึงกลัวอย่างมาก
ดวงตาของฉีอู๋ฮุ่ยเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมในขณะที่เขาจ้องมองไปยังหลินชิงจู้บนลานประลอง
“อย่างที่คาดไว้ นางมีกระบวนท่าสังหารอยู่ ฮึ่ม… โชคดีที่ข้าเตรียมพร้อมไว้ก่อน” หลังจากนั้นไม่นาน ฉีอู๋ฮุ่ยก็เผยรอยยิ้มที่มีเลศนัยออกมา
ใบหน้าของกู่ไป๋อี้เปลี่ยนเป็นซีดเซียวในขณะที่เขาเผชิญหน้ากับกระบี่ที่ฟาดฟันลงมาจากท้องฟ้า กระบี่ในมือของเขาเริ่มสั่นสะท้าน
มันเป็นความหวาดกลัวที่มาจากจิตวิญญาณ…
แม้จะใกล้ตาย เขาก็ไม่สามารถขัดขืนได้ เขาต้องการที่จะสกัดกั้นกระบี่นี้ด้วยกำลังทั้งหมดของเขา แต่ไม่คาดคิดเลยว่าพลังของกระบี่นี้น่ากลัวเกินไป
กู่ไป๋อี้ถูกส่งออกจากลานประลองทันทีโดยไม่สามารถต่อสู้ได้อีกต่อไป
“ข้าแพ้แล้ว” ด้านล่างลานประลอง กู่ไป๋อี้พยายามที่จะยืนขึ้นจากพื้นด้วยท่าทางหดหู่
เขาไม่สามารถเข้าใจได้ว่าเหตุใดเขาถึงพ่ายแพ้ให้แก่ศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้าสู่สำนักเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ขุนเขาเมฆาม่วงนั้นเก่งกาจเพียงนี้เลยหรือ
ไม่ใช่แค่เขาที่งงงวย ทว่าคนอื่น ๆ ก็ตกใจเช่นกัน
ในลานประลอง หลินชิงจู้ร่อนลงมาจากท้องฟ้าอย่างสงบ การเคลื่อนไหวของนางว่องไวอย่างมาก นางเก็บกระบี่เมฆาม่วงเข้าฝักอย่างไม่ลังเขา นางยังไม่ได้ลงจากลานประลองและเฝ้ารอการประลองรอบต่อไปอย่างเงียบ ๆ
นางฝึกฝนอย่างขยันหมั่นเพียรเป็นเวลาสามเดือน กระทั่งลืมกินลืมนอน ทั้งหมดเพียงเพื่อสำหรับวันนี้
ฉีอู๋ฮุ่ยจากขุนเขากระบี่เร้นลับได้มอบความอัปยศอดสูแก่พวกเขาในตอนนั้น วันนี้นางการสะสางและมอบคืนมันทั้งหมด
[ปล. ทางเพจรับคนแปลเพิ่มอยู่นะครับ แต่ไม่ได้แปลเรื่องนี้ จะหาเรื่องใหม่มาแปลครับ แล้วจะสอนสิ่งที่ผมรู้ไปด้วยครับ รายได้ขึ้นอยู่กับความขยันครับ
เงื่อนไข* จัดสรรหาเวลาแปลได้ครับ ตอนนึงถ้าเริ่มแปลก็ 1-2 ชั่วโมง วันไหนไม่ว่างแปลก็ไม่เป็นไรครับ ไม่หายไปเฉย ๆ พอ พร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ อีโก้มีสูงได้ แต่ต้องควบคุมอีโก้ตัวเองเป็น อยากทราบรายละเอียดกว่านี้ทักมาที่เพจได้เลยครับ]