ตอนที่ 96 ก้มหน้าเขินอาย พลันแดงฉานด้วยสัมผัสเดียว
แม้ว่าพวกเขาจะได้รับจดหมายของหญิงงามแล้ว แต่เย่ว์หยางยังไม่รีบพาเย่ว์ปิงกลับบ้าน
เขาตัดสินใจเตรียมให้หญิงงามได้ประหลาดใจครั้งใหญ่ ขณะเดียวกันก็ต้องการสั่งสอนพวกคนเห็นแก่ตัวในตระกูลเย่ว์ด้วย
อี้หนานพาเย่ว์ปิงไปซื้อของบางส่วน นางไม่คิดว่าเย่ว์หยางจะเข้าใจซื้อของขวัญที่เหมาะสมให้กับแม่สี่ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีของบางอย่างที่สตรีสมควรเป็นฝ่ายซื้อมากกว่า ยกตัวอย่างเช่น ปิ่นปักผม แป้งประทินหน้าและอื่นๆ คงเป็นเรื่องแปลกที่บุรุษจะรู้วิธีซื้อของเหล่านี้ พวกเขาเตรียมจะให้ชุดดีๆ ที่ดูใหม่แก่แม่สี่และน้องคนเล็กเพื่อใส่รับวันปีใหม่ เย่ว์หยางรู้ว่าการซื้อยาปลุกพลังสัตว์อสูรให้เจ้าเด็กที่น่าสงสารทำให้ครอบครัวแม่สี่ต้องอดออมมาเป็นเวลานาน แม้ว่าเขาจะไม่ใช่เจ้าเด็กที่น่าสงสาร แต่เขาก็รับเอาความรักจากพวกเขามาทั้งหมด โดยนิสัยเขาแล้ว เขาต้องการตอบแทนคุณแม่สี่บ้าง
เย่ว์หยางให้ทองเย่ว์ปิง 50 เหรียญ บอกให้นางซื้ออะไรก็ได้ที่นางต้องการ
เห็นได้ชัดว่าเย่ว์ปิงไม่เคยได้รับเงินติดตัวมากขนาดนั้นมาก่อน นางยังคงปฏิเสธที่จะรับไว้ ในที่สุดอี้หนานเกลี้ยกล่อมให้นางรับไว้อย่างสุขใจ
เย่คงและพี่น้องตระกูลหลี่เตรียมดึงเหวินอยู่โม่, เฮ่อสื่อหยุนและฉินหยางทั้ง 3 คนที่เป็นเหมือนพี่น้องมาที่นี่ แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีความสามารถในการรบ แต่ไม่มีใครเหมาะสมที่จะเรียนภาษาปีศาจมากกว่าพวกเขาอีกแล้ว
บางทีพวกเขาตัดสินใจติดตามเย่ว์หยาง คุณชายสามตระกูลเย่ว์ผู้นี้โดยเห็นว่ามีอนาคตที่สดใสรออยู่ข้างหน้า เย่คงไม่ปฏิเสธรับเงินจากเย่ว์หยาง เขารับไว้จากนั้นพยักหน้าแล้วออกไปพร้อมกับพี่น้องตระกูลหลี่ ขณะที่เจ้าอ้วนไห่ก็น้ำลายไหลตามคาด เขาไม่ได้ขาดแคลนเงินทอง แต่พอเห็นว่าทุกคนได้รับเงินติดกระเป๋า ก็อดที่จะอิจฉาพวกเขาไม่ได้
อย่างไรก็ตาม สถานะของเขาคือลูกพี่ของกลุ่ม แม้ต้องการเงินติดกระเป๋าเหมือนกัน แต่เขาก็ไม่กล้าบอกกับเย่ว์หยาง
“ข้าต้องการซื้อของบางอย่าง แต่ข้าไม่รู้จักสถานที่..” เย่ว์หยางแอบหัวเราะในใจ เขาเตรียมจะหลอกเจ้าอ้วน
“อะไรเหรอ? ในฐานะลูกพี่ของเจ้า ข้าสามารถบอกเจ้าได้เลยว่าในหอทงเทียน ไม่มีตรงไหนที่ข้า ต้าไห่ไม่รู้จัก ไม่มีใครที่ไม่รู้จักต้าไห่ผู้นี้ ว่าแต่เจ้าต้องการซื้ออะไรเหรอ?” ทันทีที่เจ้าอ้วนไห่ได้ยินว่าของที่เย่ว์หยางต้องการซื้อเป็นของง่ายๆ เป็นของจำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวัน เขาตบหน้าอกอวบๆ ของเขาเต็มแรง จนไขมันของเขากระเพื่อม พูดด้วยน้ำเสียงที่ห้าวหาญว่า “อย่าว่าแต่ของเหล่านี้เลย ต่อให้เจ้าต้องการซื้อเขาทั้งลูก ข้าช่วยให้เจ้าซื้อได้ ยิ่งไปกว่านั้น เราเป็นพี่น้องกันเองอยู่แล้ว ข้าจะปล่อยให้เจ้าใช้เงินซื้อของเล็กน้อยเหล่านี้เองได้ไงกัน ความจริงข้าต้องการไปส่งเจ้านะ แต่เจ้าให้เงินค่าของเหล่าแก่ข้าก็ได้ ถ้าเจ้าไม่ทำอย่างนี้ เจ้าก็ไม่ได้นับถือว่าข้าเป็นลูกพี่เจ้าจริงๆ ก็ได้ ถึงข้าจะเป็นลูกพี่ของเจ้า แต่ข้าก็ยังเคารพความเห็นของเจ้า”
เจ้าอ้วนไห่กอดเงิน 10 เหรียญทองที่ได้รับมาจากเย่ว์หยางไว้แน่น และเดินออกมาอย่างมีความสุข
จำนวนเงินไม่สำคัญ
ที่สำคัญยิ่งกว่าคือ เย่ว์หยางก็ให้เขาด้วยเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น เขาเป็นฝ่ายขอให้ช่วย ด้วยวิธีแบบนี้ เขาในฐานะลูกพี่สามารถเชิดหน้าชูตาต่อหน้าเย่คงและคนอื่นได้
ความจริงเย่ว์หยางใช้เงิน 10 เหรียญทองเพื่อให้เจ้าอ้วนไห่ไปไกลๆ นั่นเป็นเพราะเมื่อเจ้าอ้วนไห่อยู่ข้างๆ เขาก็ไม่สามารถเรียกต้นดอกหนามที่กำลังย่อยขุนพลปีศาจออกมาได้ ดังนั้นเพื่อปิดเป็นความลับ เย่ว์หยางยอมใช้เงิน 10 เหรียญทองเพื่อส่งให้เขาไปทำธุระไกลๆ
ทุกคนในบ้านพักจากไปแล้ว เหลือแต่เพียงเย่ว์หยาง
เมื่อต้นดอกหนาม อสูรทองถูกเรียกออกมา เขาเห็นว่าบางทีมันคงต้องการเวลาเพิ่มขึ้นเพื่อวิวัฒนาการเป็นนางปีศาจดอกหนาม มันยังย่อยแขนของเจ้าปีศาจฮาซินไม่เสร็จ แต่ก่อนหน้านี้มันได้ใช้ทักษะขยายพันธุ์ออกมากินขุนพลปีศาจ 4 ตน ขุนพลปีศาจเหล่านี้ถูกย่อยจนเกือบหมดแล้ว ต้นดอกหนามปัจจุบันสูง 6 เมตร และก้านของมันหนามาก ดอกของมันใหญ่กว่าโต๊ะกลมเสียอีก ที่ด้านข้าง ก้านทั้ง 2 ก้านกับปากที่กว้างเท่าชามยังคงเติบโตขึ้น นอกนี้ยังมีกลุ่มก้าน ที่มันเชื่อมต่อกันด้วยทักษะขยายพันธุ์ มันทำการดูดกินอาหารจากส่วนขยายนี้อย่างต่อเนื่อง
หลังจากเย่ว์หยางสั่งให้ต้นดอกหนามใช้พวงกิ่งก้านของมันกิน 5 ขุนพลปีศาจ เขาเห็นต้นดอกหนามที่จะวิวัฒนาการไปเป็นนางปีศาจดอกหนามได้เหี่ยวแห้งลงทันที
กลับกลายเป็นว่าใบไม้ที่บางๆ กลายเป็นหนาขึ้นโดยที่เขาคาดไม่ถึง
ในที่สุด ใบของมันก็ม้วนมาหุ้มรอบดอกหนามที่ตอนนี้ขดตัวกลม เหมือนกับหัวกระหล่ำปลี เย่ว์หยางไม่ค่อยเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น นี่ดูแล้วไม่เหมือนการวิวัฒนาการไปเป็นนางปีศาจดอกหนาม อาจเป็นได้ว่ามันฝ่าอุปสรรคเข้าสู่อีกขอบเขตหนึ่งหรือเปล่า?
ไม่ใช่แต่เพียงต้นหลักเท่านั้น แม้แต่ก้านรองๆ ทั้งคู่ก็ยังถูกใบของมันห่อหุ้มเอาไว้ จนเปลี่ยนสภาพเป็นก้อนห่อดอกไม้เล็กๆ 2 ก้อน
นี่คือวิวัฒนาการแปรเปลี่ยนรูปแน่นอน แต่มันไม่มีอยู่ในความรู้หรือการประเมินของเย่ว์หยางเลย
หลังจากต้นดอกหนามห่อหุ้มตัวเองจนดูเหมือนลูกบอลแล้ว มันเปล่งแสงทอง ขณะที่มันกลับเข้าไปอยู่ในคัมภีร์เงินตามความต้องการของมันเอง เย่ว์หยางพยายามเปิดดูคัมภีร์อัญเชิญและพบว่ามันอยู่ในช่วงกลางของการกลายรูป แต่เย่ว์หยางไม่สามารถคาดเดาได้ว่ามันจะวิวัฒนาการไปเป็นสิ่งใดกันแน่ การวิวัฒนาการรูปแบบนี้จะเกี่ยวกับการที่ดอกไม้ใช้ใบของมันหุ้มตัวมันเอง มันน่าจะเกิดขึ้นในขั้นตอนที่วิวัฒนาการไปเป็นนางพญาดอกหนามมงกุฏทอง ไม่น่าจะใช้ตอนเป็นนางปีศาจดอกหนาม อาจเป็นได้ว่าก่อนที่ต้นดอกหนามจะพัฒนาไปเป็นนางปีศาจดอกหนาม คงมีเส้นทางวิวัฒนาการลับอื่นอีก?
เย่ว์หยางคิดว่าอาจเป็นเพราะมันกินขุนพลปีศาจไปหลายตน เขาทำให้ดอกหนามกินปุ๋ยมากเกินไป จนเกิดวิวัฒนาการพิเศษโดยไม่ได้ตั้งใจ
ตอนนี้มีห่อดอกไม้ลูกใหญ่หนึ่งลูกและห่อลูกเล็กอีกสอง หมายความว่าต่อไปจะมีนางปีศาจดอกหนามถึง 3 หรือเปล่า?
จริงๆ แล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
เรื่องวิวัฒนาการพิเศษของต้นดอกหนาม เย่ว์หยางไม่สามารถคาดการณ์ได้ถูกต้องสิ้นเชิง นอกจากนี้เขายังไม่สามารถใช้ทักษะญาณทิพย์มองทะลุมันได้ สิ่งเดียวที่เขารู้ก็คือนี่เป็นสิ่งที่ดีและมีประโยชน์มาก มันไม่ใช่เรื่องแย่อะไรเลย
ไม่ว่าจะเป็นยังไงก็ตาม การบำรุงเพื่อให้ได้นางพญาดอกหนามมงกุฎทองเป็นกระบวนการที่ยาว เย่ว์หยางไม่จำเป็นต้องรีบทำเช่นนั้น
ตอนนี้เขามีอสูรที่ทรงพลังมากอยู่กับเขา ดังนั้นเขาไม่รีบ และไม่จำเป็นต้องให้ต้นดอกหนามมีส่วนร่วมในการต่อสู้ของเขา ยังไม่ต้องพูดถึงเสี่ยวเหวินหลี, อสูรทองตัวน้อย, และจ้าวอสูรทองร่างมนุษย์อย่างนางพญากระหายเลือดด้วยซ้ำ แม้แต่โคเงาและฮุยไท่หลางที่เป็นอสูรทองแดงระดับ 5 ก็ทำให้คนอื่นยอมศิโรราบทันทีที่พบเจอมันแล้ว ตอนนี้เมื่อพวกเขากลับไปที่ปราสาทตระกูลเย่ว์ เย่ว์หยางรอคอยที่จะได้สู้กับเย่ว์เทียน, เย่ว์เยี่ยนและคนอื่นๆ ในการแข่งขันระดับผู้เยาว์ เขาต้องการเอาชนะพวกนั้นต่อหน้าสมาชิกตระกูลและทำให้แม่สี่ภูมิใจในตัวเขา นอกจากนี้เขายังต้องการโต้ตอบเจ้าพวกนั้นที่ทำให้เย่ว์ปิงคับแค้นข้องใจ จะต้องทำให้พวกเขาที่ดูถูกครอบครัวที่สี่เกิดอาการตะลึงจนตาแทบถลนออกนอกเบ้าให้ได้
ในตอนนั้น เขาจะให้พวกนั้นเห็นพลังของสวะที่ไร้ประโยชน์ที่สุดในทวีปมังกรทะยาน
อีกเหตุผลหนึ่งที่เย่ว์หยางไม่รีบกลับบ้านเพราะเขาเตรียมไปที่วิหารคัมภีร์อัญเชิญ เพื่อซื้อคัมภีร์อัญเชิญให้เย่ว์ชวง น้องสาวตัวน้อยอีกคนหนึ่งของเขา
เขาตั้งใจไว้ตั้งแต่ยังอยู่ในเมืองไป๋ฉือแล้ว ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะออกไปตามหาเย่ว์ปิง เวลานี้ เนื่องจากเขามาที่หอทงเทียนแล้ว เขาตั้งใจจะเอาคัมภีร์อัญเชิญมาให้น้องสาวคนเล็กยามเมื่อเขากลับบ้าน บางทีเย่ว์ชวงอาจทำสัญญากับคัมภีร์ได้แล้ว แต่เธอไม่สามารถทดลองทำได้ เพราะแม่สี่ไม่มีเงินซื้อคัมภีร์ให้นาง
วิหารอัญเชิญเป็นสถานที่โดดเดี่ยว มีอาคารสัณฐานคล้ายเจดีย์
มันตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีคนอยู่อาศัย แต่นอกจากผู้ที่ทำสัญญากับคัมภีร์ได้แล้ว นักรบอื่นๆ ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป
สมาชิกทุกคนของ 4 ตระกูลใหญ่และ 3 ราชตระกูลจะส่งทารกของพวกเขาหรือไม่ก็เลือดของทารกของพวกเขาทันที่พวกเขาเกิดมา เพื่อที่จะระบุได้ว่า เด็กๆ ของพวกเขาเป็นผู้ทำสัญญากับคัมภีร์อัญเชิญได้ภายใต้กฎรหัสโบราณ เนื่องจากในหลายพันปีที่ผ่านมาไม่มีคนรุ่นหลังจาก 4 ตระกูลใหญ่ที่ไม่สามารถทำสัญญากับคัมภีร์ได้ ขณะที่สำหรับคนจากราชตระกูลอาจมีบางคนที่ไม่ได้ทำสัญญากับคัมภีร์ คนเหล่านี้จะไม่ได้รับการยอมรับจากราชตระกูล พวกเขาอาจจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ พวกเขาจะคิดว่าคนเหล่านี้เป็นพวกไม่เอาไหน ไม่ใช่สายเลือดจักรพรรดิที่บริสุทธิ์ ทำให้พวกเขาถูกมองว่าเป็นเจ้าชายเจ้าหญิงปลอมๆ เมื่อเป็นที่ชัดเจนว่าพวกเขาไม่สามารถทำสัญญากับคัมภีร์อัญเชิญได้ ราชตระกูลจะทอดทิ้งทั้งแม่และลูกน้อยให้อยู่เงียบๆ จากนั้นพวกเขาจะประกาศข่วเท็จว่า เป็นการคลอดที่ยากลำบาก ทั้งแม่และลูก ไม่รอดชีวิต
ขณะที่ตระกูลอื่นๆ ทั้งหมดในโลกนี้ พวกเขาก็มีการทดสอบเด็กๆ ของพวกเขา จะมีข้อแตกต่างกันก็คือ เด็กรุ่นหลังต่อมาเกือบทั้งหมดไม่สามารถทำสัญญากับคัมภีร์ได้
สายเลือดที่โดดเด่นของตระกูลใหญ่ทั้งสี่เป็นเรื่องที่ทำให้คนธรรมดาอิจฉากันมาก
สิ่งเดียวที่ทำให้คนทั่วไปเหล่านี้รู้สึกดีกว่าเล็กน้อยก็คือ คนในตระกูลใหญ่ทั้งสี่มีอยู่ไม่มาก จำนวนลูกหลานที่ตระกูลใหญ่ทั้ง 4 มีอยู่ จะน้อยกว่าครอบครัวธรรมดามาก ยกตัวอย่างเช่น ในปัจจุบันคนรุ่นเยาว์ของตระกูลเย่ว์มีเพียง 9 คน จำนวนขนาดนั้นนับว่ามากสำหรับตระกูลเย่ว์ ในทางตรงกันข้าม ครอบครัวทั่วๆ ไปจะให้กำเนิดลูกหลานอย่างน้อยก็ 10 คน โดยจำนวนคนก็นับว่าพวกเขาชนะ แม้ว่าอัตราความสำเร็จในการทำสัญญากับคัมภีร์อัญเชิญจะไม่สูงก็ตาม แต่พอได้ยามหัศจรรย์ช่วย คนในทุกรุ่นสามารถตรวจสอบได้ว่ามีเด็กที่ทำสัญญากับคัมภีร์ได้คนหนึ่งหรือ 2 คนอยู่ในรุ่นนั้น
เมื่อยามเฝ้าวิหารอัญเชิญเห็นเย่ว์หยางเข้ามาใกล้ เขาพูดช้าๆ ว่า “พ่อหนุ่ม! โปรดแสดงคัมภีร์อัญเชิญของเจ้า มิฉะนั้นเจ้าจะเข้าไปไม่ได้”
ขณะที่เย่ว์หยางเรียกคัมภีร์ชั้นเงินของเขาออกมา สีหน้าของบุรุษวัยกลางคนถึงกับเปลี่ยนไป ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเห็นคัมภีร์อัญเชิญชั้นเงินมาก่อน แต่เป็นเรื่องยากที่จะได้เห็นผู้ทำสัญญากับคัมภีร์ที่มีอายุน้อยอย่างเย่ว์หยางเป็นเจ้าของคัมภีร์เงิน
ที่สำคัญที่สุด เขารู้ตัวว่า เขาไม่รู้จักเย่ว์หยาง
เป็นไปได้อย่างไรที่เขาไม่รู้จักอัจฉริยะหนุ่มน้อยผู้เป็นเจ้าของคัมภีร์สีเงินผู้นี้?
ขณะที่เขาเดินตามเย่ว์หยางเข้าไป เขาถามอีกว่า “เจ้ามาค้นหาข้อมูลเหตุการณ์สำคัญในยุคเริ่มต้นของคัมภีร์อัญเชิญ, อสูรผู้พิทักษ์หรือทักษะธรรมชาติ?”
“ไม่ใช่, ข้ามาซื้อคัมภีร์อัญเชิญ” เย่ว์หยางรู้ว่าเขาจะต้องแสดงจดหมายแนะนำตัวถึงจะค้นดูข้อมูลเกี่ยวกับอสูรพิทักษ์และทักษะธรรมชาติได้ ฯลฯ ยิ่งไปกว่านั้น เขาจะต้องบอกพวกเขาเกี่ยวกับความรู้ของเขาเอง นั่นจะเป็นการแบ่งข้อมูลความรู้ไปให้คนอื่น แล้วจากนั้นเขาถึงสามารถค้นดูข้อมูลเกี่ยวกับทักษะธรรมชาติและอสูรผู้พิทักษ์ได้ เขาคงไม่ยอมทำแบบนั้น เขาให้ทอง 100 เหรียญและเพิ่มกระเป๋าผ้าไหมขนาดเล็กแก่ยาม “มีผมไม่กี่เส้นของคนที่จะซื้อคัมภีร์อัญเชิญ เย่ว์ชวง นางเป็นหนึ่งในผู้เยาว์ของตระกูลเย่ว์ โปรดตรวจสอบด้วย”.
บุรุษวัยกลางคนรับทองและถุงไหมมา และเดินไปที่ชั้นต่อไปขอให้ผู้อาวุโสทำการตรวจสอบเส้นผม
ชั่วครู่ต่อมา เขากลับออกมาพร้อมกับถือคัมภีร์อัญเชิญชั้นทองแดงมาด้วย
แต่เขาไม่ได้มอบให้เย่ว์หยางทันที เขาหยุดยืนต่อหน้าเย่ว์หยาง มือเขาถือลูกบาศก์แก้วผลึกที่ผู้อาวุโสมอบให้เขา เย่ว์หยางทราบว่านั่นคือขั้นตอนภาคบังคับเพื่อตรวจสถานะของเขา แม้แต่จักรพรรดิก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้น เขาเอาบัตรแก้วของเขาออกมาวางไว้บนลูกบาศก์
แสงสีทองฉายเป็นลายเส้นตัวหนังสือปรากฏอยู่ในลูกบาศก์แก้วผลึก
ชื่อของผู้ทำสัญญากับคัมภีร์ : ไตตัน
เกี่ยวกับเรื่องที่เย่ว์หยางเป็นเจ้าของบัตรแก้วผลึก ทำให้บุรุษวัยกลางคนและผู้อาวุโสได้แต่มองหน้ากันเองอย่างตกใจเล็กน้อย
อาจเป็นไปได้ที่จะเป็นเจ้าของคัมภีร์เงินหลังจากผ่านการฝึกฝนอบรมอย่างเข้มข้น แต่แค่ฝึกหนักอย่างเดียวก็ยังไม่เพียงพอได้เป็นเจ้าของบัตรแก้ว มีแต่ผู้มีพรสวรรค์ที่สุด อัจฉริยะน้อยที่โดดเด่นที่สุด ถึงจะมีบัตรแก้วได้
“ตามข้อปฏิบัติปกติของเรา เราอยากจะถามคำถามสักหน่อย เจ้าต้องตอบคำถามตามตรง พ่อหนุ่ม! ขอถามว่าเจ้ามีความสัมพันธ์ใดกับเย่ว์ชวง?” ขณะเดียวกันบุรุษกลางคนให้เย่ว์หยางวางมือลงมันลูกบาศก์แก้วผลึกเวทขณะที่เขาถาม
เย่ว์หยางตกใจ เป็นไปได้ว่าเจ้าสิ่งนี้สามารถตรวจจับความเท็จได้?
ถ้าเขาไม่ตอบตามตรง จะเกิดอะไรขึ้น? เขาเป็นคนที่มาจากโลกอื่นและไม่มีความเกี่ยวพันทางสายเลือดกับเย่ว์ชวงเลย ถ้าเขาโกหก ถูกตรวจพบและไม่สามารถซื้อคัมภีร์ได้ เขาอาจจะเจอกับปัญหาบางอย่าง เขาควรพูดความจริงทั้งหมดหรือโกหกดี? ตอนนี้เขาอยู่ในจุดที่ลำบากเสียแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะพูดความจริง เพราะไม่สามารถบอกได้ว่าเขาไม่เกี่ยวข้องกับเย่ว์ชวงเลย มิฉะนั้นถ้าสมาชิกตระกูลเย่ว์คนอื่นเข้ามาสอบสวน เรื่องทุกอย่างจะถูกเปิดเผย
เขาไม่สามารถโกหกได้ เครื่องจับเท็จนี้อาจจะจับโกหกเขาได้
ถ้าเขาโกหกและถูกตรวจพบ เขาคงเผยสถานะที่แท้จริงของเขาโดยไม่ตั้งใจ
“ข้าคือพี่ชายของนาง นางเรียกข้าว่าพี่เสี่ยวซาน” เมื่อเย่ว์หยางพูดคำเหล่านี้ เขาพยายามทำน้ำเสียงให้ราบเรียบเท่าที่ทำได้ ลักษณะภายนอกของเขาไม่มีอะไรน่าสงสัย เขาใช้พลังปราณก่อกำเนิดของเขาช่วยระงับอาการเต้นถี่ๆ ของหัวใจให้สงบลงได้
เขากังวลกับการพูดคำเหล่านี้ยิ่งกว่าเมื่อตอนเขาร่วมสอบในชั้นมัธยมปลายเสียอีก หลังของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อ
แน่นอนว่า หน้าของเขายังสงบโดยสิ้นเชิง เหมือนกับว่าเป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน ที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ที่พวกเขาเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดกันจริงๆ
ขณะที่เย่ว์หยางตอบ แสงสีทองก็ฉายออกมาจากลูกบาศก์แก้วผลึก
คนวัยกลางคนและผู้เฒ่าพยักหน้าทันที “รหัสโบราณยอมรับว่าเจ้าเป็นตัวแทนรับคัมภีร์ของเย่ว์ชวง การรับรองขั้นสุดท้ายเสร็จสิ้นแล้ว พ่อหนุ่ม! เราต้องบังคับให้บ่งบอกสถานะสุดท้ายเพื่อป้องกันผู้ถือคัมภีร์คนอื่นๆ ไม่ให้ถูกขโมยคัมภีร์ ต่อให้เป็นจักรพรรดิมาเอง ก็ต้องให้รหัสโบราณยอมรับก่อน ข้าขอเตือนเจ้าไว้ว่า ถ้าคัมภีร์ของเย่ว์ชวงสูญหายก่อนที่นางจะได้ทำสัญญากับมัน หรือว่ามันถูกขโมยไป เจ้าต้องมาที่นี่โดยถือจดหมายของประมุขตระกูลมาด้วย ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าจะต้องรออย่างน้อย 1 ปี ก่อนที่เราสร้างคัมภีร์ให้เจ้าแทนอีกเล่มหนึ่ง…”
“ข้าเข้าใจ” เมื่อเย่ว์หยางได้ยินเช่นนี้ เขาคิดในใจว่าเกือบไป เขามีเหงื่อชุ่มจริงๆ
อย่างไรก็ตาม สำหรับรหัสโบราณยังรู้จักเขาว่าเป็นพี่ชายของเย่ว์ชวง คงเป็นเพราะเขาพูดความจริง
เขาไม่ได้พูดว่าเขาเป็นเจ้าเด็กผู้น่าสงสารหรือมีสายเลือดเกี่ยวพันกับเย่ว์ชวง เขาเพียงบอกว่าเขาเป็นพี่ชายของเธอ โชคดีที่เขามีปฏิกิริยารวดเร็วและสังเกตเห็นช่องว่างในข้อพิสูจน์ ยิ่งกว่านั้น คำพูดของเขาได้รับการยอมรับและตรวจสอบผ่าน เขาสามารถปกปิดสถานะของเขาเองได้ดีขึ้น
เมื่อเย่ว์หยางออกมาจากอาคาร บุรุษวัยกลางคนและผู้เฒ่าเริ่มตะโกนใส่กันอย่างตกใจ “เจ้าเด็กเมื่อกี๊นี้ คงเป็นคุณชายสามแห่งตระกูลเย่ว์ที่ใครๆ เรียกว่าสวะใช่ไหม? โอว..พระเจ้า พวกเขาบอกว่าเขาไม่สามารถทำสัญญากับคัมภีร์ได้มิใช่หรือ? แต่เขาเป็นเจ้าของคัมภีร์ชั้นเงินไปแล้ว แต่ชาวโลกก็ยังนึกว่าเขาเป็นสวะอยู่อีก เจ้าเล่ห์เหมือนจิ้งจอกน้อยจริงๆ ที่ปกปิดอัจฉริยภาพตัวเองไว้มาโดยตลอด เจ้าเห็นสัตว์อสูรที่มากับเขาหรือเปล่า? มันคือหมาป่า 2 หัวอสูรทองแดงระดับ 5 เขายังไม่เห็นคุณค่าของมันและยอมทำสัญญากับมัน ข้ากล้าพูดได้เลยว่าที่เขาแกล้งทำมาตลอดนี้ก็เพื่อลวงคนอื่น ทำให้พวกเขาเข้าใจว่าเขาเป็นสวะ เขาโดดเด่นยิ่งกว่าบิดาเขาเสียอีก มีไหวพริบดี ต่างจากบิดาของเขาที่ซื่อสัตย์และเที่ยงธรรม”
“คนที่ออกบัตรแก้วให้เขาคงเป็นคนผู้นั้น ตลอดหลายปีมานี้ นางจัดการออกบัตรแก้ว คนอื่นๆ อย่างดีที่สุดได้เพียงบัตรทอง แม้แต่เมื่อตอนที่ 3 ดาวเพชฌฆาตผู้ยิ่งใหญ่เข้าหอทงเทียน เจ้ารู้ไหม พวกเขาได้รับเพียงบัตรชั้นทอง ข้ายังไม่เคยเห็นใครได้รับบัตรแก้วมาก่อน..” ร่างของผู้อาวุโสสั่นเทิ้ม “ข้าเคยพูดไว้ก่อนแล้วมิใช่หรือ? เย่ว์ชิวจะมีลูกเป็นสวะได้อย่างไร? ดูเหมือนนางเป็นเพียงคนเดียวที่เห็นศักยภาพของเขา”
“ใช่…” เมื่อบุรุษวัยกลางคนได้ยินดังนั้น เขาก็รู้ได้ทันที “ข้าก็งงจริงๆ เมื่อเห็นว่าเจ้าเด็กแสบคนหนึ่งเอาบัตรแก้วออกมาแสดง อย่างนั้นก็คงเป็นนางนั่นแหละที่ออกบัตรแก้วให้เขา..”
“เด็กคนนี้ แม้ว่าจะได้สมญาว่าสวะ แต่ว่านางมองคนไม่ผิดแน่นอน เทียบกับนางแล้ว เราไม่ได้ดีกว่าคนตาบอดเลย” คนสูงอายุเต็มไปด้วยความนับถือสตรีชาววังทรงโตที่ต้อนรับเย่ว์หยางตอนที่เขาเข้ามาหอทงเทียนครั้งแรก เขาไม่กล้าเอ่ยชื่อของนางออกมา
“ผู้เฒ่าหม่า! พวกเราโดนข่าวลือหลอกลวงเสียแล้ว ถ้าเจ้าเด็กนั่นเป็นสวะ อย่างนั้นบุตรของข้าคงมิอาจเทียบกับขยะได้… บุตรของข้ากล้าเรียกตนเองว่าอัจฉริยะ เจ้าโง่นั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอัจฉริยะหมายถึงอะไร อัจฉริยะที่แท้จริงควรจะเหมือนกับเจ้าเด็กนั่น เขาอยู่เหนือกว่านักสู้รุ่นเยาว์อื่นๆ โดยไม่มีใครตระหนักถึงความจริงข้อนั้น”
“เย่ว์ไห่, ตาเฒ่านั่นโชคดีจริงๆ ทำไมข้าถึงไม่มีหลานดีๆ อย่างนั้นบ้าง?” ผู้เฒ่าถอนหายใจอย่างเศร้าใจ
เย่ว์หยางไม่รู้ว่ามีคนพูดถึงเขาลับหลัง ขณะที่เขากลับไปที่โรงเตี๊ยมนักรบ
ไม่นานจากนั้น เย่คงและคนอื่นๆ ก็ใช้ม้วนเทเลพอร์ตกลับมา เหวินอยู่โม่, เฮ่อสื่อหยุนและฉินหยางต่างก็ตื่นเต้นเมื่อพวกเขาได้พบเย่ว์หยาง เป็นเพราะการปรากฏตัวของเย่ว์หยางทำให้ชีวิตของเย่คงและทุกคนเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง แต่พวกเขาเป็นลูกผู้ชาย พวกเขาจะไม่พูดออกมาว่าพวกเขาจะรู้สึกยินดีอย่างมาก พวกเขาผงกศีรษะเหมือนกับว่าได้สลักมันเอาไว้ในใจ และพวกเขาไม่ได้พูดอะไรอื่น
ยามนั้นเจ้าอ้วนไห่ตะโกนใส่พวกทหารรับจ้าง ขณะที่วางของที่เย่ว์หยางขอให้ซื้อมาให้
ต่อหน้าเย่คงและคนอื่นๆ เจ้าอ้วนไห่กังวลที่จะคืนเงินให้เย่ว์หยาง เขาถามเย่ว์หยางว่ามีเงินพอกลับบ้านไหม และบอกว่าลูกพี่คนนี้จะให้ค่าเดินทางกลับบ้าน 5 เหรียญทอง เย่คงกับคนอื่นๆ ถึงกับกรอกตาไปมา ใครกันแน่ที่จ้องตาไม่กระพริบเมื่อเห็นทอง 600 เหรียญเมื่อก่อนหน้านี้? เขายังอุตส่าห์กังวลถามเย่ว์หยางว่าต้องการเงินเดินทางกลับบ้านหรือนี่ คนผู้นี่หน้าด้านจริงๆ
อี้หนานและเย่ว์ปิงกลับมาด้วยเช่นกัน และพวกนางซื้อของมากกว่าเย่ว์หยางเสียอีก
“นี่ก็เกือบจะถึงปีใหม่แล้ว ทุกคน กลับไปบ้านและภูมิลำเนาของพวกเจ้าเถอะ เราจะมาร่วมฝึกด้วยกันในปีหน้า คงเป็นเวลานานแล้วที่พวกเจ้าไม่ได้กลับบ้าน พวกเจ้าควรจะกลับไปในช่วงปีใหม่ กลับไปพบกับครอบครัวของพวกเจ้า” เย่ว์หยางแบ่งของที่เจ้าอ้วนไห่ซื้อมาให้เย่คงและคนอื่นๆ ได้นำกลับบ้านเป็นของฝากพ่อแม่ของพวกเขา
“พี่(สาว)อี้หนาน เอ่อ..ข้าหมายถึง พี่(ชาย)อี้หนาน ทำไมไม่มาเยี่ยมบ้านเราสัก 2-3 วันล่ะ? พี่สามารถกลับไปเยี่ยมป้าได้ตอนวันปีใหม่” เย่ว์ปิงกระตือรือร้นเชิญนาง
“ไม่หรอก, ข้ายังมีบางเรื่องต้องทำ” อี้หนานส่ายศีรษะและโบกมือทันที ปฏิเสธคำเชิญของนาง
ทันใดนั้น นางกัดริมฝีปากขณะที่หน้าเปลี่ยนเป็นแดงฉาน นางก้มศีรษะพูดกับเย่ว์หยางอย่างเขินอายว่า “เจ้ามากับข้าสักเดี๋ยวได้ไหม.. ข้ามีเรื่องจะบอกเจ้า”
***********************