ตอนที่ 4-14 กลั่น
เรย์โนลด์ จอร์จและเยลยืนจ้องมองรูปสลักอย่างเซื่องซึม พวกเขาถูกกลิ่นอายของรูปสลักนี้ดึงดูดเบื้องหน้าของพวกเขา หญิงสาวทั้ง 5บนฐานรูปสลักเดียวกันนั้นดูเหมือนจะมีจิตวิญญาณเป็นของตัวเอง
รูปทางซ้ายนั้นให้ความรู้สึกหวาดกลัวและไร้ที่พึ่งทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกสงสาร
รูปที่สองแสดงออกถึงความงดงามอ่อนโยนและน่าทะนุถนอมซึ่งสั่นคลอนจิตใจผู้ชม
รูปที่สามแสดงถึงเด็กสาววัยแรกแย้มที่กำลังเขินอายอยู่เบื้องหน้าท่าน
…..
รูปสลักทั้ง 5บนฐานนั้นต่างแผ่กลิ่นอายเฉพาะตัวที่แตกต่างกันออกไป
เมื่อลินลี่ย์จ้องมองรูปสลักก็พลันเหมือนตกอยู่ในห้วงฝันอาจเพราะรูปสลักทั้ง 5นี้ถูกสร้างมาจากความฝันของเขาแต่บัดนี้เขาได้ตื่นขึ้นจากฝันนั้นแล้ว
“ลินลี่ย์” เดลิน โคเวิร์ทเดินเขามาหาเขาชุดคลุมยาวสีเหลืองอ่อนยังคงงดงามไร้ตำหนิแม้แต่เส้นขน
ลินลี่ย์มองดูเดลินโคเวิร์ท
ความรู้สึกพึงพอใจอย่างยิ่งฉาบอยู่บนใบหน้าของเดลินโคเวิร์ท “ดูเหมือนว่าเจ้าจะบรรลุถึงระดับยอดนักสลักแล้วและรูปสลักที่เจ้าเพิ่งสร้างนี้ก็คู่ควรต่อการจัดแสดงเพื่อเป็นเกียรติแก่โรงเรียนเหล็กสกัดของเราจากการะประเมินของข้า ข้าเชื่อว่าเจ้าคงเข้าใจการแกะสลักนี้อย่างลึกซึ้งแล้ว”
ลินลีย์พยักหน้าเบาๆ
และเมื่อเปรียบเทียบรูปสลักนี้กับรูปสลักของยอดนักสลักท่านอื่นที่ลินลี่ย์พอจะนึกออกก็ต้องพบว่ามีไม่กี่ชิ้นที่มีคุณค่าเท่าเทียมหรือสูงกว่าไม่ใช้เพราะช่างแกะสลักเหล่านั้นมีความสามารถไม่เพียงพอแต่รูปสลักที่สามารถปลดปล่อย ‘กลิ่นอาย’ ไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นบ่อยนักและไม่สามารถบังคับให้เกิดขึ้นได้ตามใจชอบ
ตัวอย่างเช่นหากมีใครบอกให้ลินลี่ย์แกะสลักรูปสลัก‘ตื่นจากฝัน’ นี้อีกชิ้น คงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิง
ในการให้กำเนิดรูปสลักที่สามารถแผ่‘กลิ่นอาย’ ได้นั้นต้องอาศัยการผสมผสานที่ลงตัวกันของทักษะชั้นยอดแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่ และห้วงอารมณ์ที่ลึกซึ้งมีเพียงผู้ที่ขับเคลื่อนด้วยอารมณ์ 100% เท่านั้นจึงจะสร้างรูปสลักเช่นนี้ได้เนื่องจากคนผู้นั้นจะไม่มีความสับสนลังเลในสิ่งที่ทำอยู่แม้เพียงน้อย
แม้ลินลี่ย์จะสามารถสร้างรูปสลัก‘ตื่นจากฝัน’ ได้ครั้งหนึ่งแต่ใครจะรู้ว่าเขาจะต้องใช้เวลานานอีกเท่าใดในการสร้างรูปสลักที่มีคุณสมบัติเท่าเทียมกันอีกสักชิ้น?
อย่างไรก็ตาม......
เมื่อผ่านการแกะสลักอย่างไม่มีหยุดเป็นเวลา10 วัน จิตวิญญาณของลินลี่ย์ได้สัมผัสอย่างชัดเจนถึงการรวมเป็นหนึ่งกับเอกภพและทางด้านการแกะสลัก ลินลี่ย์ก็พัฒนาความเข้าใจขึ้นอีกหลายส่วนหากบัดนี้เขาทำการแกะสลักอีกสักครั้ง แม้ผลงานจะไม่สามารถเทียบได้กับ ‘ตื่นจากฝัน’แต่ก็คงยอดเยี่ยมกว่ารูปสลักราคา 5000 เหรียญทองก่อนหน้าของเขา
“ลินลี่ย์ เจ้ารู้สึกว่าพลังจิตของเจ้าเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่?” เดลินโคเวิร์ทกล่าวด้วยรอยยิ้มยินดี
ลินลี่ย์สะดุ้ง
พลังจิต?
การสร้างรูปสลักนี้ทำให้เขาต้องบีบเค้นพลังจิตมากกว่าที่เคยทำทำให้ตอนนี้พลังจิตของเขาพัฒนาขึ้นกว่าแต่ก่อนแบบเทียบไม่ติด หากมี 10 วันที่แล้ว พลังจิตของเขาเปรียบได้กับต้นไม้เล็กๆบัดนี้มันได้เติบโตพรวดพราดกลายเป็นต้นโอ๊คยักษ์เสียแล้ว
“เหตุใดมันจึงพัฒนามากมายถึงเพียงนี้?” ลินลี่ย์รู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง
เดลินโคเวิร์ทหัวเราะเบาๆ เคราขาวพลิ้วไสว เขาพูด “สิบเท่า!พลังจิตของเจ้าเพิ่มขึ้นถึงสิบเท่า! มันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเหลือเชื่อ ในช่วงเวลาสิบวัน พลังเพิ่มขึ้นประมาณสิบเท่า! ช่วงเวลาเพียงสิบวัน, ประโยชน์ที่เจ้าได้รับเทียบเท่ากับคนอื่นๆฝึกมาเป็นสิบๆ ปี ระดับพลังจิตของเจ้าพุ่งพรวดพราดเลยจากระดับหกและตอนนี้ไปจอมเวทระดับเจ็ดแล้ว”
ลินลี่ย์ก็รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องเหลือเชื่อเช่นกัน
มันเพิ่มขึ้นมากกว่า10 เท่าเสียอีก!
“ผลลัพธ์ช่างน่าพึงพอใจใช่หรือไม่? หืมมันเป็นผลจากการฝึกฝนตามแนวทางของโรงเรียนเหล็กสกัดของเดลิน โคเวิร์ทอย่างไม่ต้องสงสัยอย่างไรก็ตาม....ข้าก็อิจฉาเจ้ายิ่ง” เดลิน โคเวิร์ทมีท่าทีเคร่งขรึมจ้องมองลินลี่ย์“ลินลี่ย์ เจ้าต้องรู้ว่ายามใดที่เข้าสู่ห้วงอารมณ์โดยสมบูรณ์แล้ว จิตวิญญาณของเจ้าจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติอย่างหาได้ยากและกระทำได้ลำบากยิ่ง”
ลินลี่ย์พยักหน้าเห็นด้วย
หากสภาวะนั้นสามารถเข้าถึงได้ง่ายดายนักรูปสลักที่แผ่ ‘กลิ่นอาย’ ได้คงพบเห็นกันเกลื่อนกลาดแล้ว
“ในช่วงชีวิตกว่า 1,300ปีของข้า เคยเข้าสู่สภาวะนั้นเพียง 3 ครั้งเท่านั้น และทั้ง 3ครั้งข้าก็ได้สร้างรูปสลัก 3 รูปที่ข้าภูมิใจที่สุด”สีหน้าภาคภูมิใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเดลิน โคเวิร์ทในขณะที่กล่าวต่อไป“แต่ในการสลักแต่ละครั้งใช้เวลา 2, 3 และ 4 วันรวมแล้วข้าได้ใช้เวลาในสภาวะนั้นเพียง 9 วัน ซึ่งเทียบกับเจ้าแล้วถือว่ายังน้อยกว่า”
หลังจากฟังคำพูดของเดลินโคเวิร์ท ลินลี่ย์ก็ระลึกขึ้นได้ว่าเขาใช้เวลา 10 วัน 10 คืนในการแกะสลัก
“สภาวะเช่นนี้เป็นวิธีที่รวดเร็วที่สุดในการพัฒนาพลังจิตของศิษย์สำนักเหล็กสกัดเห็นได้ว่าภายใต้สภาวะนี้เจ้าพัฒนาเป็น 1,000 เท่าของคนปกติ!เป็นสภาวะในฝันอย่างแท้จริง ยิ่งอยู่ภายใต้สภาวะนั้นนานเท่าใดก็ยิ่งดีและยิ่งได้ประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น”
ลินลี่ย์เห็นด้วยจากเบื้องลึกของจิตใจ
‘ตื่นจากฝัน’ เป็นผลงานศิลปะชิ้นใหญ่ประกอบไปด้วยรูปสลัก 5 รูป รูปสลักขนาดใหญ่เช่นนี้ไม่ได้พบเห็นกันบ่อยนัก
เดลิน โคเวิร์ทถอนหายใจ“แต่เมื่อจิตวิญญาณของเจ้าถูกขับเคลื่อนระหว่างการแกะสลักเจ้าจะไม่สามารถควบคุมมันได้เลยแม้เพียงน้อย”
ลินลี่ย์เข้าใจดี
เพียงเขาได้เห็นก้อนหินยักษ์และเห็นลวดลายของมันเมื่อประกอบกับสภาวะของเขาในตอนนั้น ภายในจิตใจของเขาก็สร้างรูปร่างของคนทั้ง 5ขึ้น ความรู้สึกนั้นทำให้เขาหลงลืมทุกสิ่งอย่างบนโลกสิ้นแม้แต่ตัวเขาเองที่หลงเหลืออยู่มีเพียงรูปสลักเท่านั้น!
พลังทั้งหมดของเขาอารมณ์ทั้งหมดของเขา ถูกส่งให้รูปสลักไปหมดสิ้น
เมื่อเข้าสู่สภาวะดังกล่าวเขาไม่มีพลังเหลือจะคิดเรื่องอื่นใด แม้แต่ ‘ข้าอยากจะทำรูปสลักขนาดใหญ่’เขาไม่สามารถควบคุมสิ่งใดได้เลยหากเขาแทรกแซงความคิดแม้เพียงน้อยอาจทำให้หลุดออกจากสภาวะนั้นก็เป็นได้
“ลินลี่ย์ ข้าขอถามเจ้าสัก 1 คำถามรูปสลักนี้มีชื่อว่าอะไรหรือ?” เดลิน โคเวิร์ทเอ่ยถาม
“ตื่นจากฝัน” ลินลี่ย์ตอบ
เดลิน โคเวิร์ทนิ่งไปสักพักก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ “เป็นชื่อที่ดี”
ในที่สุดพายุหิมะก็หยุดลงทุกสิ่งถูกปกคลุมเป็นสีขาว และทั้งภูเขาถูกปกคลุมด้วยชั้นหิมะสูงเท่าเข่าเป็นพายุหิมะใหญ่ที่ไม่ได้พบเห็นได้บ่อยนัก หลังหิมะหยุดลง อุณหภูมิก็ค่อยๆลดลง
เยล จอร์จและเรยโนลด์ต้องเข้าไปอยู่ในกระโจมเพื่อต้านทานอากาศที่หนาวเหน็บเยลออกคำสั่งให้คนรับใช้นำอาหารมาให้ทุกวัน เพื่อให้พวกเขาสามารถเฝ้าดูลินลี่ย์ได้ตลอดเวลา
ในตอนนี้ เยลและอีก 2คนได้แต่จ้องมองรูปสลักของลินลี่ย์ และไม่มีคำพูดใดๆ
“พี่ใหญ่เยล ดูเหมือนลินลี่ย์จะแกะสลักเสร็จแล้วทำไมเขาถึงยังยืนอยู่ตรงนั้นอีกเล่า?” เรยโนลด์รู้สึกกังวลเล็กน้อยเนื่องจากไม่ได้รับรู้ถึงการสนทนาผ่านทางจิตระหว่างลินลี่ย์และเดลิน โคเวิร์ทและแน่นอนว่าในบรรดาพวกเขาไม่มีใครมองเห็นจิตวิญญาณของเดลิน โคเวิร์ทเลย
เยลส่ายหัวช้าๆ“ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน แต่รูปสลักของน้องสามในครั้งนี้สามารถเทียบได้กับรูปสลักของปรมาจารย์พรูกซ์เลยทีเดียว”
ในสายตาของเยลรูปสลักของลินลี่ย์จะสั่นสะเทือนวงการแกะสลักดั่งแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ...รูปสลักที่สามารถขโมยวิญญาณของชายที่พบเห็น
“พี่ใหญ่เยล พี่รอง น้องสี่”
เสียงของลินลี่ย์ดังขึ้นเรียกสายตาของเยลจอร์จ และเรย์โนลด์ได้เป็นอย่างดี เรย์โนลด์ตะโกนโต้ตอบในทันที “ลินลี่ย์ในที่สุดเจ้าก็พูดออกมา! เป็นเวลา 11 วันเต็มที่เจ้าไม่ได้ดื่มกินสิ่งใดทั้งสิ้น!”
ในช่วงแรกลินลี่ย์เพียงแต่ยืนนิ่งอยู่เป็นเวลากว่า1 วันเต็ม และจากนั้นจึงใช้เวลาอีก 10 วันในการแกะสลัก จึงรวมเป็น 11 วัน
คนปกติหากไม่ได้ดื่มกินเป็นเวลา11 คงตายไปแล้ว แม้จะเป็นจอมเวทระดับ 4 หรือ 5ก็คงเหนื่อยล้าและอ่อนแอมากหากไม่ได้ดื่มกินเป็นเวลาขนาดนี้ แต่ลินลี่ย์เพียงรู้สึกกระหายเล็กน้อยไม่ได้มีท่าทีผิดแปลกไปจากปกติแต่อย่างใด
เนื่องจากการเข้าสู่สภาวะพิเศษและได้รวมเป็นหนึ่งกับเอกภพอณูธาตุดินและธาตุลมได้เคลื่อนเข้าสู่ร่างกายของเขาอยู่ตลอดเพื่อทดแทนพลังงานส่วนที่เขาใช้ไปควบคู่ไปกับการยกระดับร่างกายของเขา
“11 วัน เอ๋? ใช่ๆข้าก็เริ่มรู้สึกหิวเล็กๆแล้วเช่นกัน” ลินลี่ย์หัวเราะ
“หิวอย่างนั้นหรือ?”
จอร์จเป็นคนแรกที่วิ่งเข้าไปในกระโจมเขาแกะขนสัตว์ที่พันรอบกล่องอาหารเพื่อรักษาอุณหภูมิเอาไว้ออก ด้านในเป็นกล่องโลหะจำนวน2 กล่อง ซึ่งเมื่อเปิดออกก็จะพบกับอาหารชั้นเลิศ
“ช้าก่อน เราคงกินไม่ได้หากขาดไวน์เลิศรสใช่หรือไม่?”เยลหัวเราะลั่น
เมื่อมองไปยังพี่น้องของเขาคนหนึ่งไปตระเตรียมอาหาร คนหนึ่งไปเตรียมข้าวสวย และอีกคนกำลังรินไวน์ใส่แก้วลินลี่ย์พลันรู้สึกอบอุ่นใจจนพูดไม่ออก
พี่น้องเหล่านี้เฝ้ารอเขาตลอด11 วัน จะไม่ให้ลินลี่ย์ซาบซึ้งใจได้อย่างไร?
แต่เขาก็ซ่อนความรู้สึกเหล่านั้นไว้เบื้องลึกเท่านั้น
“พี่ใหญ่ พี่รอง น้องสี่พวกเราจะเป็นพี่น้องร่วมสาบานไปจนชั่วชีวิต” ลินลี่ย์ลอบกล่าวกับตนเอง
“น้องสาม มากินเร็วเข้า!” จอร์จกล่าวอย่างอบอุ่น
“แน่นอน!”
บนยอดเขาที่มีหิมะปกคลุมหนาหลังสถาบันเอินส์ลินลี่ย์และพี่น้องเริ่มดื่มกิน เรื่องตลกขบขันมากมายถูกพูดคุยแบ่งปันกันด้านข้างของเขา เจ้าหนูเงาน้อยบีบีก็กำลังสำราญอยู่กับอาหารและเครื่องดื่มเช่นกัน
หลังกินเสร็จ
“พี่ใหญ่เยลเจ้าช่วยข้าเก็บรักษารูปสลักนี้ไว้ได้หรือไม่?” ลินลี่ย์ยืนขึ้นดวงตาของเขาจับจ้องไปเบื้องนอกที่มีหิมะปกคลุมอยู่ทั่ว “ตอนข้าอายุ 15 ปีข้าได้เข้าไปฝึกฝนในเทือกเขาอสูรเวทมาแล้วครั้งหนึ่งและตั้งใจจะเข้าไปอีกครั้งในช่วงกรกฏาคม – สิงหาคมในปีที่ข้าอายุ 16 ปีแต่ก็ไม่ได้ไปเพราะอลิซ บัดนี้ข้าคิดว่าได้เวลาที่ต้องกลับไปฝึกฝนอีกครั้งหนึ่งได้แล้ว”
จอร์จ เยลและเรย์โนลด์ชะงัก
“น้องสาม เจ้าจะมุ่งหน้าไปยังเทือกเขาอสูรเวทอย่างนั้นหรือ?” เยลประหลาดใจเช่นเดียวกับจอร์จและเรย์โนลด์
สำหรับพวกเขาแล้วลินลี่ย์เพิ่งจะผ่านเหตุการณ์ที่กระทบต่อจิตใจอย่างหนัก และผ่าน 11วันที่ไม่ได้ดื่มกินสิ่งใด แม้ว่าสภาวะจิตใจของชายหนุ่มจะดีขึ้นแล้วแต่จะปล่อยให้เข้าไปในเทือกเขาอสูรเวท 1 ใน 3สถานที่อันตรายที่สุดในแผ่นดินยูลานตามลำพัง จะไม่ให้พวกเขากังวลได้อย่างไร?
ลินลี่ย์หัวเรา“อย่ากังวลไปเลย ข้าไม่เป็นไรแล้ว หากข้ายังไม่สามารถก้าวผ่านความเจ็บปวดได้จริงคงเข้าไปทำลายรูปสลัก ‘ตื่นจากฝัน’ นี้ไปนานแล้ว
หลังจากพูดจบเขาก็หันหลังแล้วเดินไปหารูปสลัก‘ตื่นจากฝัน’
เมื่อจ้องมองมันเขาก็เหมือนได้มองไปยังวันเก่าๆ ลินลี่ย์ในตอนนี้รู้สึกว่าจิตใจของเขาสงบและไม่เจ็บปวดอีกต่อไป
“สิ่งนี้ไม่ได้มีค่ามากไปกว่าความทรงจำ เป็นเพียงอดีตของข้าเท่านั้นเพราะอลิซทำให้ข้าต้องชะลอการฝึกฝนลง ข้ามิอาจปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปอย่างไร้ประโยชน์ได้อีกแล้ว” ลินลี่ย์ยิ้มให้กับพี่น้องทั้ง3 ของเขา แล้วเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋า “ข้าจะออกเดินทางตั้งแต่บัดนี้ ไม่ย้อนกลับไปสถาบัน”
“พี่ใหญ่ พี่รอง น้องสี่”
ลินลี่ย์กวาดสายตามองเพื่อนที่แสนดีของเขาทีละคน“ข้ารู้สึกยินดียิ่งที่มีพวกเจ้า ข้า ลินลี่ย์ช่างเป็นชายที่โชคดีนักที่มีพี่น้องที่ดีเช่นนี้”
หลังจบคำพูด ลินลี่ย์ก็ยกกระเป๋าเป้ขึ้นสะพายรับตัวบีบีขึ้นมาไว้บนบ่า แล้วเริ่มออกเดินไปทางตะวันออก ห่างจากภูเขาขึ้นเรื่อยๆ
เยล เรย์โนลด์และจอรจ์ได้แต่มองแผ่นหลังของลินลี่ย์ซึ่งค่อยๆเล็กลงเรื่อยๆตามระยะทางจนกระทั่งกลืนหายไปท่ามกลางผืนหิมะสีขาวลานตา
…..
ภายในเทือกเขาอสูรเวท
ต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมด้านบนต้นหญ้าและพุ่มไม้แห้งกรอบและร่วงโรย เทือกเขาอสูรเวทนี้ช่างเหมือนป่าโบราณยิ่งลินลี่ย์ในตอนนี้กำลังอยู่ในห้วงทำสมาธิดูดซับอณูธาตุลมและธาตุดินจากดวงดาวและเปลี่ยนเป็นพลังธาตุ
พลังจิตของลินลี่ย์เทียบเท่ากับจอมเวทระดับ7 แต่พลังธาตุของเขายังเทียบเท่าได้กับจอมเวทระดับ 6
บัดนี้เขาได้ใช้เวลากว่า1 เดือนเต็มในเทือกเขาอสูรเวท
ในช่วงเวลา 1เดือนที่ผ่านมา บางครั้งลินลี่ย์ก็ได้สังหารอสูรเวทในขณะที่ใช้เวลาบางส่วนไปกับการวิเคราะห์บทเวทธาตุลมระดับ 7 วิชาทะยานฟ้าส่วนเวลาที่เหลือเขาใช้ไปกับการเข้าสมาธิเพื่อรวบรวมพลังธาตุ
แม้ว่าสถาบันเอินส์จะไม่การสอนหรือฝึกฝนบทเวทระดับ7 แต่เมื่อวิชาทะยานฟ้านี้ได้พัฒนามาจากวิชาลอยตัวตามทฤษฎีในหนังสือที่เขาพบ ลินลี่ย์จึงพยายามตีความและปรับใช้ทฤษฎีเวทธาตุลมนี้กับวิชาทะยานฟ้า
หลังจากการค้นคว้าและทดลองอยู่แรมเดือนลินลี่ย์ก็สามารถบินบนท้องฟ้าได้อย่างอิสระ
แม้จะไม่รู้ว่าบทเวทและทฤษฎีที่เขาค้นพบจะเป็นบทเดียวกับที่ผู้อื่นในโลกใช้หรือไม่แต่เขาก็ค่อนข้างพอใจกับผลลัพธ์นี้
มีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างระดับ6 และระดับ 7 แต่ส่วนที่ยากที่สุดคือการพัฒนาพลังจิต ซึ่งเขาได้ทำสำเร็จแล้วที่เหลือเขาเพียงแต่ต้องใช้เวลาอีกสักหน่อยเพื่อกลั่นพลังธาตุ
ด้วยความเข้าใจเรื่องพลังธาตุของเขาทำให้ลินลี่ย์สามารถกลั่นพลังธาตุได้อย่างรวดเร็ว
หนูเงาน้อยบีบีได้แต่เดินวนไปมาแถวนั้นอย่างเคร่งครัดเพื่อคุ้มกันลินลี่ย์ในขณะที่ชายหนุ่มเข้าสู่ภวังค์จิตเพื่อรวบรวมพลังธาตุ
บริเวณตันเถียนกลางในร่างกายของลินลี่ย์
อณูธาตุสีเดียวกับผืนดินและอณูธาตุสีเดียวกับหยกต่างเกาะกลุ่มกันหนาแน่นในตอนนี้พวกมันยังอยู่ในสถานะก๊าซในตันเถียนกลาง แต่ค่อยๆเพิ่มความหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ....จนกระทั่งความหนาแน่นของมันถึงจุดวิกฤต
หยดของเหลวสีเดียวกับผืนดินและสีเดียวกับหยกค่อยๆควบแน่นในตันเถียนกลางของลินลี่ย์
และเมื่อเวลาผ่านไปหยดของเหลวก็ค่อยๆเพิ่มขึ้น จากหนึ่งเป็นสิบ จากสิบเป็นร้อย เป็นพัน...
ความแตกต่างมหาศาลระหว่างจอมเวทระดับ6 และระดับ 7 ก็คือสิ่งนี้...การควบแน่นพลังธาตุในร่างให้กลายเป็นของเหลวนั่นเอง!