ตอนที่ 4-12 ใจสลายกลางหิมะ
อลิซเคยเชื่อว่านางไม่ได้มีความรู้สึกลึกซึ้งใดๆหลงเหลือให้ลินลี่ย์แล้วแต่บัดนี้เมื่อได้เห็นชายหนุ่มอีกครั้ง โดยเฉพาะสีหน้าไม่อยากเชื่อของเขาหัวใจของนางพลันปวดร้าว
“พี่ลินลี่ย์” อลิซเรียกเขา
ใบหน้าซีดขาวราวหิมะของลินลี่ย์นั้นเหมือนไม่มีเลือดไหลเวียนเขายืนอยู่ตรงนั้น นิ่งเฉยไม่ขยับเป็นเวลานาน
“ควับ!” เสียงกรีดร้องแหลมอย่างกราดเกรี้ยว หนูเงาน้อยบีบีเร่งความเร็วจนกลายเป็นร่างเงาลางเลือนพุ่งเข้าใส่อลิซและคาลันแม้ว่าบีบีจะฉลาดเพียงใดมันก็เป็นเพียงอสูรเวท มันปลดปล่อยอารมณ์โกรธของมันตามวิธีแบบสัตว์
มันสัมผัสได้ถึงความสับสนและเจ็บปวดในจิตใจของลินลี่ย์และมันกำลังจะแก้แค้นในนายมันบัดนี้!
ร่างของบีบีขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วเพียงพริบตามันก็ไปปรากฏตัวต่อหน้าคาลันและอลิซ กรงเล็บแหลมคมของมันสะท้อนแสงจนเกิดประกายสีขาวความหนาวเหน็บเกาะกุมจิตใจของทั้งคู่ พวกเขาไม่มีโอกาสหลบหรือพูดออกมาแม้สักคำ
“กลับมา!” เสียงของลินลี่ย์พลันดังขึ้นในตอนนั้นเอง
ร่างเงาสีดำของบีบีลังเลอยู่สักครู่ก่อนจะลงมายืนนิ่งบนพื้นหิมะ มันตะกุยหิมะใส่หน้าคาลันอย่างดูแคลนแล้วหันกลับมามองลินลี่ย์“จี๊ด จี๊ด!” มันร้องออกมาในขณะเดียวกันก็สื่อสารกับลินลี่ย์ผ่านทางจิต
แต่ลินลี่ย์ส่ายศีรษะยืนยันแน่วแน่
บีบีจับจ้องอลิซและคาลันด้วยสายตาเชือดเฉือนอย่างมุ่งร้ายอีกครั้งหนึ่งก่อนจะพุ่งทะยานกลับมาเมื่อยืนอยู่บนบ่างของลินลี่ย์ มันก็กลับมาอยู่ในร่างน้อยของมันตั้งแต่เมื่อไหร่ยังคงเป็นปริศนาหากมองแต่เพียงรูปลักษณ์ภายนอกคงไม่มีใครจะล่วงรู้ถึงความน่ากลัวของมันได้เลย
“แคก แคก” บัดนี้คาลันจึงได้รู้สึกตัวชายหนุ่มสำลักลมหายใจอย่างยากลำบาก เม็ดเหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผากอย่างตระหนกเขาเหลือบมองบีบีที่ยืนอยู่บนไหล่ลินลี่ย์
อลิซเหลือบมองลินลีย์นางสูดหายใจลึกครั้งหนึ่ง “พี่ลินลี่ย์ ข้ารู้ว่าบัดนี้จิตใจของท่านคงจะเจ็บปวดมากแต่ก็ไม่ใช่เรื่องสมควรที่เราจะพูดจากันบนถนนเช่นนี้ เราเข้าไปพูดคุยในร้านอาหารกันดีหรือไม่?”
ลินลี่ย์พยักหน้า ไม่มีคำพูดแม้แต่คำเดียว
…
บนถนนดรายโร้ด ภายในโรงแรงลาวิชลินลี่ย์กับอลิซนั่งอยู่คนละฟากฝั่งโต๊ะ ส่วนคาลันก็ฉลาดพอจะพาตัวเองไปนั่งอยู่ที่มุมห้องไม้กล้าแม้แต่จะทำอะไรเป็นการรบกวนการสนทนา หลังจากเพิ่งเอาชีวิตรอดมาจากกรงเล็บของบีบีคาลันรู้สึกหวาดกลัวลินลี่ย์ขึ้นมาจับใจ
โต๊ะขนาดกลางที่ถูกทาด้วยสีดำเงาด้านบนมีไวน์ผลไม้อุ่นๆ 2 ถ้วย
ลินลี่ย์และอลิซเผชิญหน้ากันอย่างสงบ
หลังจากเงียบมานานในที่สุดอลิซก็เป็นฝ่ายทนไม่ไหว “พี่ลินลี่ย์ข้ารู้ว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิดและทำให้ท่านรู้สึกแย่กับความสัมพันธ์ของเราที่ข้าหลีกเลี่ยงที่จะพบท่านเนื่องจากต้องการให้ท่านเตรียมใจไว้ก่อนเมื่อเรื่องมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ข้าไม่อยากให้เราทั้งสองจากกันอย่างศัตรู”
“ศัตรู?” ในเบื้องลึกของจิตใจ ลินลี่ย์ได้แต่แค่นหัวเราะอย่างขื่นขมแต่ก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใด เขาเพียงแต่รับฟังนางอยู่เงียบๆ
อลิซจึงพูดต่อ“พี่ลินลี่ย์ ข้ายอมรับว่าในคราแรกข้านั้นชอบท่านมากจริงๆคิดไปถึงว่าสักวันหนึ่งเราจะได้แต่งงาน มีลูกเล็กๆสักคน แต่หลังจากได้ศึกษากันเป็นเวลานานแล้วข้าพบว่าพวกเราเข้ากันไม่ได้ในหลายๆเรื่อง”
ในที่สุดลินลี่ย์ก็กล่าวขึ้น“ในหลายๆเรื่อง?อลิซ ข้าไม่เพียงแต่ยอมรับข้อดีของเจ้าแต่ยังยอมรับของเสียของเจ้าด้วย ข้าเชื่อว่าเมื่อ 2 คนอยู่ด้วยกันย่อมต้องเปิดโอกาสให้เรียนรู้ทำความเข้าใจกันทั้ง 2 ฝ่าย ไม่มีใครสมบูรณ์แบบและมีน้อยคู่นักที่จะอยู่ร่วมกันได้อย่างไม่มีข้อขัดแย้ง”
อลิซขบริมฝีปากนางประคองถ้วยขึ้นมาจิบด้วยสองมือ
“เมื่อตอนนั้นเราทั้งสองยังเด็กนักครั้งแรกที่เจอท่าน ข้าเพิ่งอายุ 15 ปี”นางหยุดพูดเพื่อเรียบเรียงคำพูดอยู่พักหนึ่ง “ในใจของข้า ท่านเหมือนวีรบุรุษที่สวรรค์ส่งมาช่วยข้าครั้งหนึ่งข้าเคยคิดว่าท่านเป็นดังโลกทั้งใบแต่ภายหลังข้าจึงคิดได้ว่าไม่อาจเป็นเช่นนั้น เพราะข้ายังมีครอบครัวที่สำคัญต้องใส่ใจเช่นกัน”
ลินลี่ย์มองนางด้วยท่าทีนิ่งเฉย
“พี่ลินลี่ย์ ท่านเป็นบุรุษที่แข็งแกร่งซ้ำยังดีต่อข้านัก จะกระทำสิ่งใดก็มุ่งมั่นข้ายอมรับว่าท่านเป็นบุรุษสมบูรณ์แบบผู้หนึ่ง แต่....ก็ยังไม่พอ ท่านมิอาจช่วยแก้ปัญหาของข้าได้เลยเมื่อไม่นานนี้ พ่อข้าเป็นหนี้พนันหลายร้อยเหรียญทอง! พี่คาลันเพียงแค่บอกให้ตระกูลของเขามาช่วยเหลือปัญหาของข้าก็คลี่คลายได้โดยง่าย”
อลิซจ้องมองลินลี่ย์“พี่ลินลี่ย์ นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่ท่านไม่สามารถทำได้ แม้ว่าพ่อข้าจะติดการพนันและเหล้าแต่เขาก็ยังเป็นพ่อข้าอยู่ดี”
“เพียงแค่เรื่องนี้อย่างนั้นหรือ?” ลินลี่ย์กล่าวเสียงเรียบ
“ไม่...” อลิซพูดต่อ “ไม่ใช่เพียงเรื่องนี้ข้าเพิ่งรู้สึกตัวว่าพี่คาลันเองก็ดีกับข้ามาโดยตลอดเขาเติบโตมากับข้าทำให้พวกเราคุ้นเคยกันดี แต่กับท่าน ข้ารู้สึกอยู่ตลอดราวกับมีม่านหมอกปกคลุมรอบกายท่านทำให้ข้าไม่อาจเข้าถึง”
“ท่านเป็นจอมเวทอัจฉริยะของสถาบันอันดับหนึ่งบนแผ่นดินนี้และเมื่ออายุ 15 ปียังสามารถมีซุ้มจัดแสดงงานส่วนตัวที่หอศิลป์พรูกซ์ได้ฟังดูยอดเยี่ยมนัก แต่ยิ่งได้ฟังก็ยิ่งรู้สึกว่าข้านั้นไม่รู้จักท่านดีพอ”
น้ำเสียงของอลิซพลันเบาลง“ที่สำคัญคือเราทั้ง 2นั้นอยู่กันคนละที่ ในช่วงแรกอาจไม่แย่มากนักแต่เมื่อเวลาผ่านไปข้าก็รู้สึกเหนื่อย ข้าเพียงแค่ต้องการใครสักคนมาอยู่เคียงข้างอย่างพี่คาลันที่อยู่เคียงข้างข้ามาโดยตลอด”
หลังจบคำพูด อลิซก็ตกอยู่ภายใต้ความเงียบ
ลินลี่ย์ก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดเช่นกัน
หลังเวลาผ่านไปไวน์ในถ้วยเริ่มเย็นชืด ลินลี่ย์ก็พูดขึ้น “อลิซเจ้ายังจำบทสนทนาระหว่างเราเมื่อครั้งหนึ่งได้หรือไม่? เจ้าเคยกล่าวว่าข้าสามารถมาอยู่กับเจ้าเวลานั้นได้เลยหากเจ้าต้องการแต่เจ้ากลับบอกว่าไม่ต้องการรบกวนการฝึกฝนของข้า”
“บัดนี้เจ้ากลับบอกว่าข้าไม่เคยมาอยู่เคียงข้างเจ้าเลยอย่างนั้นหรือ?” รอยยิ้มขมขื่นพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของลินลี่ย์
อลิซเหมือนอยากกล่าวอะไรบางอย่างแต่นางกลับไม่สามารถกล่าวสิ่งใดได้เลย
ทุกสิ่งที่นางได้พูดออกไปในวันนี้เป็นเพียงข้อแก้ตัว
ลินลี่ย์จับจ้องอลิซและกล่าวต่อไป“อลิซ เจ้ายังเจ้าได้หรือไม่? ครั้งแรกที่เราอยู่ด้วยกันตามลำพังในโรงแรมเจ้ากล่าวกับข้า หวังว่าหากวันใดความรักของข้านั้นเลือนหายไปให้ข้าบอกให้เจ้ารับรู้ และเจ้าจะยอมจากไปอย่างเงียบๆ”
ลินลี่ย์ข่มอารมณ์ของเขาให้สงบลง“หลังจากฟังคำเจ้า ข้าก็กล่าวว่าเช่นนั้นหากเจ้ารู้สึกเมื่อใดว่าหมดรักข้าแล้วข้าอยากให้เจ้ากล่าวกับข้าตามตรงอย่าได้โกหกปิดบังและข้าจะยอมจากไปแต่โดยดีเช่นกัน”
นัยน์ตาของอลิซพลันมีน้ำตาคลอขึ้นมา
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่หากเจ้าจะคบหากับคาลัน แต่ข้าไม่ต้องการให้เจ้าปิดบังหลอกลวงข้าการที่เจ้าแอบคบหากับคาลันลับหลังข้าเช่นนี้ทำให้ข้ายังมีความหวังทำให้ข้ายังคงเฝ้ารอเจ้าเรื่อยไป....เจ้ารู้หรือไม่ว่าการรอคอยเช่นนั้นข้าจะรู้สึกอย่างไร?”
ร่างกายของลินลี่ย์พลันสั่นเล็กน้อย“วันที่ 29 กันยายนเป็นวันแรกที่เจ้าผิดนัดของเรา ข้ารอจนตั้งแต่เที่ยงคืนจนฟ้าสางทุกๆนาทีล้วนเนิ่นนานดุจไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อข้ากลับไปถึงสถาบันก็ได้แต่คิดเพราะว่าข้าทำให้เจ้าโกรธเมื่อครั้งที่แล้วใช่หรือไม่? ดังนั้นเพื่อจะทำให้เจ้าอารมณ์ดีขึ้น ข้าไปซื้อลูกบอลแก้วผลึกเพื่อบันทึกความทรงจำในช่วงที่ข้าอยู่ที่สถาบันฯบันทึกทุกการกระทำของข้า เหมือนคนโง่งมคนหนึ่ง หวังเพียงเมื่อเราอยู่ไกลกันเมื่อใดที่เจ้าคิดถึงข้า เจ้าจะได้มองดูข้าได้”
“ข้านำลูกบอลผลึกความทรงจำ 2ลูกนั้นติดตัวมาในช่วงกลางเดือนตุลาคม เป็นอีกครั้งที่ข้ามาพบเจ้าในใจข้าเปี่ยมไปด้วยความหวัง แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ไม่เจอเจ้า”
“จิตใจของข้าเริ่มรู้สึกอ่อนล้าแต่ก็ยังสงบอยู่ได้เพราะคำสัญญาของเรา ข้าเชื่อมั่นว่าหากเจ้าจะไปจากข้าจริงๆเจ้าย่อมต้องบอกกับข้าก่อน เพราะอย่างนั้นข้าจึงสงบใจลงได้จนกระทั่งปลายเดือนตุลาคม กลางเดือนพฤศจิกายน ข้าก็มารอเช่นกัน แต่ในที่สุด...”
ลินลี่ย์ลุกขึ้นยืนจ้องมองอลิซ รอยยิ้มขมขื่นพลันปรากฏขึ้นบนริมฝีปาก “ข้ามาอีกครั้ง แต่วันนี้ข้าโชคดีที่เจ้าไม่ได้หลบหน้าข้า”
น้ำตาค่อยๆไหลมาจากดวงตาของอลิซ
“พี่ลินลี่ย์-”
ลินลี่ย์เปิดกระเป๋าสะพายหลังแล้วนำลูกบอลแก้วผลึก 2 ลูกออกมาในใจคิดถึงช่วงเวลาต่างๆในสถาบันที่บันทึกอยู่ด้านใน ในเวลานั้นเขาช่างโง่งมยิ่ง
“ลูกบอลแก้วผลึก 2 ลูกนี้ข้าได้นำติดตัวจากสถาบันมายังเมืองเฟนไลเป็นครั้งที่ 4 แล้ว แต่บัดนี้...มันกลับไม่มีค่าอันใด”
ในมือแต่ละข้างของลินลี่ย์ถือลูกบอลผลึกไว้ทันใดนั้นลูกบอลแก้วผลึกทั้งสองก็พลุ่นขุ่นมัว....
“เคร้ง”
รอยแตกร้าวจำนวนนับไม่ถ้วยปรากฏบนพื้นผิวแก้วผลึกมือทั้ง 2 ข้างของลินลี่ย์กำเข้าหากัน ลูกบอลแก้วผลึกทั้ง 2ลูกก็พลันแตกเป็นเสี่ยงๆร่วงลงพื้น เสียง “เคร้ง!” ได้ยินเมื่อเศษแก้วผลึกหลายสิบชิ้นตกลงกระทบกันบนพื้นของโรงแรมเรียกความสนใจของแขกที่เข้ามาใช้บริการได้เป็นอย่างดี
อลิซไม่สามารถกลั้นน้ำตาของนางได้อีกแล้วมันไหลลงมาอาบหน้าของนาง
“พี่ลินลี่ย์ในอานาคตเราจะยังสามารถเป็นเพื่อนกันได้หรือไม่?” หยดน้ำตาทำให้มุมมองของนางพร่ามัวอลิซเงยหน้าขึ้นมองลินลี่ย์
ลินลี่ย์ต้องมองอลิซที่ทรุดลงนั่งกับพื้นแต่ไม่ได้ตอบคำถามของนาง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงปรากฏรอยยิ้มบางๆบนใบหน้าของชายหนุ่ม“อลิซ หากข้าจำไม่ผิด พวกเราเริ่มความสัมพันธ์นี้ในวันที่ 29 พฤศจิกายนในปีที่แล้ว และวันนี้ก็เป็นวันที่ 29 พฤศจิกายนเช่นกัน ครบรอบ 1 ปีพอดี ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งอย่างน้อยเจ้าก็เคยมอบความทรงจำอันงดงามให้กับข้า”
แล้วลินลี่ย์ก็กลับหลังหันเดินออกจากโรงแรมไป
ทั้งห้องโถงโรงแรมตกอยู่ในความเงียบคาลันที่อยู่ตรงมุมห้องวิ่งมาหาอลิซอย่างรวดเร็วเท่าที่จะทำได้บางก้าวที่ย่างเหยียบลงบนเศษแก้วผลึกเกิดเสียงดังราวกับความทรงจำที่แตกสลายดังก้องทั้งโรงแรม
“อลิซ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” คาลันโอบกอดอลิซเพื่อให้นางสงบลง
ในเวลานั้นอลิซได้แต่ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาแม้จะอยู่ในอ้อมแขนของคาลัน แต่สายตาของนางยังคงจับจ้องไปยังทางที่ลินลี่ย์เดินจากไปในความคิดของนางพลันปรากฏภาพช่วงเวลาที่นางเคยใช้ร่วมกับลินลี่ย์ และนางรู้ดี...
จากวินาทีนี้เป็นต้นไปลินลี่ย์จะไม่ได้ปฏิบัติต่อนางเช่นนั้นอีก ไม่แน่เขาอาจไม่มาพบนางอีกก็เป็นได้
…..
ถนนศาลาหอมปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวเกล็ดหิมะฟุ้งทั่วในอากาศ
เมื่อเดินอยูนบนถนนศาลาหอมเงาของลินลี่ย์ก็พลันดูลางเลือน เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าปล่อยให้เกล็ดหิมะทับถมบนใบหน้า บัดนี้หัวใจของลินลี่ย์สั่นไหวจนเขาต้องเอามือกุมบริเวณอก
หัวใจของเขาเจ็บลึก
เขารู้สึกราวกับถูกทะลวงดวงใจ
ภายในใจลินลี่ย์ ความทรงจำต่างๆไหลบ่าเข้ามาเหมือนน้ำหลาก
ชุดสีม่วงนั้นทำให้นางส่องประกายดังเทพธิดาที่หยอกล้อแสงจันทร์
ยามหลบซ่อนอยู่ตรงมุมระเบียงน้ำเสียงที่เอ่ยกับเขานั้นอบอุ่นเพียงใด
ยามหิมะโปรยปรายนางเข้ามาอิงแอบแนบกับอกเขาด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ
ในห้องของโรงแรมใบหน้าของนางยามทอดกายภายใต้อ้อมแขนของเขา
…..
ครั้งหนึ่งลินลี่ย์เคยเชื่อว่าเขาจะได้เคียงข้างอลิซตลอดไปแต่ในวันนี้เขาได้ตื่นจากฝันแล้ว ลินลี่ย์ไม่อาจอดกลั้นต่อความเจ็บปวดของหัวใจได้อีกต่อไป
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกก!”
เขายืนอยู่กลางถนนศาลาหอมปลดปล่อยเสียงกู่ร้องอย่างปวดร้าว ราวกับเสียงหอนของสุนัขป่า มันดังกึกก้องทั้งถนนผู้คนรอบข้างจ้องมองเขาอย่างตกใจและเริ่มถอยห่าง
คนพวกนี้คิดว่าเขาบ้าไปแล้ว
น้ำตาไหลเป็นสายจากดวงตาทั้ง2 อาบทั่วทั้งใบหน้า
โง่ เขาช่างโง่งมงายจริงๆ
โง่ที่เชื่อถือคำมั่นสัญญา
“ปึก!” ลินลี่ย์พลันทรุดตัวลงเข่ากระแทกพื้น กุมหน้าอกแน่น
หัวใจของเขาเจ็บปวดเหลือเกินราวกับถูกเข็มเล็กๆจำนวนนับไม่ถ้วนทิ่มแทง
ปวดร้าวแม้แต่มือของเขาก็เริ่มเจ็บ นิ้วทั้งสิบเริ่มสูญเสียประสาทสัมผัส ลินลี่ย์ทำได้เพียงกำเสื้อคลุมบริเวณอกให้แน่นขึ้นเป็นทางเดียวที่ทำให้เขายังรู้สึกถึงความเจ็บปวดได้อยู่
“ฮ่าฮ่า!”
ลินลี่ย์ลุกขึ้นยืนแล้วหัวเราะลั่นทั้งที่น้ำตาอาบหน้า หัวเราะให้กับความโง่เขลาและอ่อนต่อโลก
ในเวลานั้น...
ความเจ็บปวดที่หัวใจทำให้ลินลี่ย์ไอออกมาอย่างรุนแรงยาวนานจนเหมือนมีมีดแทงทะลุหน้าอกเขา ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงไอไม่หยุดทรมานเสียจนเขาถึงกับล้มลงไปนอนดิ้นกับพื้นเหมือนหนอน
“แค่ก แค่ก!”
เสียงไอดังขึ้นสลับกับเสียงหอบหายใจ เลือดกระเซ็นลงบนหิมะ
เมื่อมองไปยังหยดเลือดบนหิมะลินลี่ย์ก็พลันนึกถึงดอกกุหลาบ สีของมันช่างเหมือนดอกกุหลาบ ในใจของลินลี่ย์เขาไม่สามารถหยุดคิดถึงภาพของอลิซที่กำลังประคองกุหลาบสีแดงสดเมื่อปีที่แล้วได้เลย
“แสงจันทร์ส่องลงมากระทบผืนน้ำภาพของดอกไม้ในกระจกเงา ชายหนุ่มในห้วงความฝัน แต่สุดท้าย ทุกสิ่งล้วนแต่เป็นภาพลวงตาและสลายหายไป ฮ่าฮ่า...” ลินลี่ย์เริ่มหัวเราะดังก้องทั้งถนนศาลาหอมบัดนี้ไม่มีผู้ใดหลงเหลืออยู่บนถนนแล้วแต่เสียงหัวเราะอันอ้างว้างของเขาก็ช่างเสียดใจคนฟัง...
เดลิน โคเวิร์ทที่แต่งกายด้วยชุดคลุมสีขาวยืนเงียบๆอยู่เคียงข้างลินลี่ย์ ชายชราไม่ได้กล่าวสิ่งใด เขาเพียงแต่มองไปยังลินลี่ย์อย่างโศกเศร้าเท่านั้น“โธ่ ลินลี่ย์....สุดท้ายแล้วเจ้าก็ยังเป็นเด็กอยู่ดี”
ในปีนี้ลินลีย์เพิ่งจะอายุ 16 ปีเท่านั้น
“น้องสาม!”
ทันใดนั้นเสียงตะโกนอันคุ้นเคยก็ดังขึ้น เยล เรย์โนลด์และจอร์จต่างวิ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็วจากอีกด้านหนึ่งของถนนศาลาหอมพวกเขาสังเกตเห็นลินลี่ย์ตั้งแต่ตอนที่ชายหนุ่มยืนอยู่นกลางถนน และเมื่อเห็นเลือดที่ลินลี่ย์พ่นออกมาสีหน้าของทั้งสามก็พลันเปลี่ยน
“น้องสาม เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง?”
“ลินลี่ย์”
จอร์จ เยลและเรย์โนลด์รีบประคองลินลี่ย์ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ลินลี่ย์มองพี่น้องทั้งสามของเขาแล้วส่ายหน้า “ข้าสบายดี ไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอก” ลินลี่ย์เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า“ในอดีตข้าเคยชอบหิมะมากแต่บัดนี้ข้ากลับรู้สึกว่ามันช่างอ้างว้างและเหน็บหนาวเหลือเกิน”
“พวกเจ้าจะอยู่ที่นี่ต่อก็ได้ แต่ข้าจะกลับแล้ว”หลังจบคำพูด ลินลี่ย์ก็มุ่งหน้าไปยังท้ายถนนศาลาหอม
เยล เรย์โนลด์และจอร์จต่างมองหน้ากันอย่างกังวล พวกเขาไล่ตามลินลี่ย์ไป...ในวันนั้นหิมะยังคงตกอย่างต่อเนื่อง ปกคลุมพื้นถนนลมรอยเลือดสีแดงให้หายไปเหมือนมันไม่เคยปรากฏอยู่เลย