ตอนที่ 4-11 พบเจอ
ถนนศาลาหอมนั้นหนาแน่นไปด้วยผู้คนแต่เยล จอร์จและเรย์โนลด์กลับมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าผู้หญิงที่ยื่นอยู่ไม่ไกลจากพวกเขานั้นคือใครเป็นเวลานานนับปีที่ลินลี่ย์กับอลิซได้คบหาดูใจกัน ย่อมเป็นธรรมดาที่เยล จอร์จและเรย์โนลด์จะได้ไปแนะนำตัวกับอลิซ และพวกเขาก็จดจำนางได้อย่างแม่นยำ
“นั่นอลิซนี่” จอร์จลดเสียง
ในเวลานั้นอลิซกำลังเดินจับมือเคียงข้างกับเด็กหนุ่มคนหนึ่ง รอยยิ้มกระจ่างบนใบหน้าของนางหากลินลี่ย์ได้มายืนอยู่ตรงนี้ก็คงจะจำได้ว่าเด็กหนุ่มคนนั้นคือคาลันนั่นเอง
“บัดซบ!”สีหน้าโหดเหี้ยมราวกับฆาตกรฉาบบนใบหน้าเยล
เรย์โนลด์ก็ไม่สามารถอยู่เฉยได้เช่นกัน“2 เดือนที่ผ่านมา ลินลี่ย์ไปหานางที่บ้านนับครั้งไม่ถ้วน รอคอยอย่างขมขื่นเขาบันทึกช่วงเวลาต่างๆลงในลูกบอลแก้วผลึกนั่นเหมือนคนโง่ และถึงขั้นบอกกับพวกเราว่าในอนาคตเขาจะแต่งงานกับนังอลิซนี่ให้ตายเถอะ!”
“น้องสามของเราไม่คู่ควรกับนางตรงไหน?” จอร์จเริ่มอารมณ์เสียเช่นกัน
เยลพ่นลมหายใจแรงๆ“ไม่ใช่เรื่องเหมาะถ้าพวกเราจะเข้าไปต่อว่านางในตอนนี้ เราจะกลับไปที่สวรรค์น้ำหยกก่อนและรอจนกว่าน้องสามกลับมาเป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องเตรียมจิตใจของเขาให้รองรับความผิดหวังนี้ให้ได้มิเช่นนั้นแล้วข้าเกรงว่าเขาอาจเจ็บปวดจนเสียผู้เสียคนก็เป็นได้”
จอร์จกับเรย์โนลด์พยักหน้าอย่างเห็นด้วยเช่นกัน
……
ห้องส่วนตัวในสวรรค์น้ำหยกเยล จอร์จ และเรย์โนลด์นั่งบนเก้าอี้คนละตัว คิ้วของพวกเขาขมวดแน่นไม่มีใครเอ่ยเรียกใช้หญิงบริการ ในแก้วแต่ละใบมีเพียงน้ำผลไม้เท่านั้นทั้งสามต่างเกรงว่าหากพวกเขาดื่มจนเมามายจะมิสามารถรับมือกับลินลี่ย์ได้ดีนัก
“ข้ารู้ว่าน้องสามนั้นเป็นคนดีเพียงใด”จอร์จกล่าวอย่างกังวล “ปกติแล้วเขาไม่ใช่คนพูดมากนัก และเป็นคนขยันขันแข็งคนหนึ่งมีหญิงสาวในสถาบันหลายคนที่สนใจเขา แต่ลินลี่ย์ไม่สานสัมพันธ์กับใครเลยผู้ชายเช่นเขาหากได้ตกหลุมรักใครสักคนแล้ว คงจะรักลึกซึ้งกว่าพวกเจ้ามากนัก พี่ใหญ่น้องสี่”
ทั้งเยลและเรย์โนลด์ต่างพยักหน้า
สำหรับเยลกับเรย์โนลด์แล้วเลิกรากับหญิงสาวสักคนก็สามารถหาใหม่ได้ในเวลาสั้นๆ ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่แต่อย่างใดแต่ในช่วง 2 ปีมานี้ ทุกๆวันที่พวกเขาหยอกเย้าลินลี่ย์ด้วยเรื่องของอลิซพวกเขาสามารถบอกได้จากท่าทางของน้องสามว่าอีกฝ่ายมีความรู้สึกลึกซึ้งกับอลิซเพียงใด
“มันถึงทำให้ข้าอารมณ์เสียนี่สิ!”เยลยกแก้วน้ำผลไม้ขึ้นดื่มครั้งหนึ่ง
เรย์โนลด์กล่าว“พี่ใหญ่เยล อย่าอารมณ์เสียไปเลย กับแค่ผู้หญิงคนหนึ่งจริงอยู่ว่าในตอนนี้พี่สามอาจเจ็บปวด แต่ไม่นานเขาจะผ่านมันไปได้ และทุกอย่างจะไม่เป็นไร”
เยลพยักหน้ารับ
เยลเรย์โนลด์ และจอร์จต่างเป็นสมาชิกของตระกูลใหญ่และมีผู้คนมากมายห้อมล้อมติดสอยห้อยตามตั้งแต่ยังเล็ก สำหรับเรย์โนลด์และจอร์จอาจไม่มากนักเนื่องจากตระกูลของพวกเขาค่อนข้างเข้มงวดแต่เยลนั้นได้ผ่านหญิงสาวมามากตั้งแต่ยังเด็ก
เวลาล่วงเลยผ่านไปหลายวินาที หลายนาทีแล้วในตอนนี้ เยลและคนอื่นๆก็ยังคงนั่งอยู่เงียบๆ
ประมาณตี1 เสียงแครกเบาๆดังขึ้น และประตูก็เปิดอ้าออก เป็นลินลี่ย์ที่เดินเข้ามา ทั้งตัวกรุ่นไปด้วยกลิ่นไวน์“เฮ้ ทำไมพวกเจ้ายังอยู่ที่นี่กัน?”
เยลหัวเราะลั่น“ก็รอเจ้าอยู่น่ะสิ”
“น้องสาม ไม่ใช้ว่าเจ้าไปรออลิซอยู่ทั้งคืนหรือใช่ไหม?” จอร์จถามอย่างตรงไปตรงมา
ลินลี่ย์พยักหน้าเบาๆและทรุดตัวนั่งลง“ทำไมคืนนี้พวกเจ้าจึงไม่ดื่มกันเล่า?” ลินลี่ย์หยิบเครื่องดื่มฤทธิ์แรงออกมาจากสาบเสื้อก่อนเทลงในแก้วแล้วกระดกรวดเดียว
“น้องสาม พวกเรามีเรื่องอยากคุยกับเจ้า”เยลกล่าวยิ้มพลาง
“พูดไปสิ” ลินลี่ย์ไม่ได้มีสติมากนัก
เยลกล่าวอย่างนุ่มนวล“เมื่อคืน ระหว่างที่พวกข้ากำลังเดินอยู่บนถนน ก็พลันเห็นหญิงสาวคนหนึ่งนางดูเหมือนอลิซมาก แต่เนื่องจากนางอยู่ไกลนักพวกข้าจึงบอกให้แน่ชัดไม่ได้แต่หญิงนางนั้นกลับจูงมืออยู่กับชายอีกคน”
“โกหก” ลินลี่ย์พูดเสียแข็งเป็นอันจบบทสนทนา
เยลได้แต่มองหน้าเพื่อนอีก2 คน
เรย์โนลด์ตบบ่าลินลี่ย์พลางหัวเราะ“น้องสาม พวกเราต่างก็เป็นบุรุษ ในฐานะชายชาตรีคนหนึ่งเจ้าจะปล่อยให้ผู้หญิงมาขี่หัวเราอยู่ได้อย่างไรอลิซไม่ยอมมาพบเจ้าหลายครั้ง ถ้าเป็นข้าคงทอดทิ้งนางไปนานแล้วแม้จะคุกเข่าต่อหน้าข้า ข้าก็จะมิสนใจนางแม้แต่น้อย”
“น้องสี่ เจ้ามันเด็กแสบคนหนึ่ง จะไปรู้อะไร?” ลินลี่ย์กล่าวพลางหัวเราะ และยกแก้วขึ้นมาดื่มอีกอึกใหญ่“หยุดพูดกันแค่นี้เถิด วันนี้ข้าอยู่ในอารมณ์อยากดื่มยิ่งดื่มเป็นเพื่อนเข้าหน่อยก็แล้วกัน”
เรย์โนลด์เยล และจอร์จแลกเปลี่ยนสายตากันพวกเขาทำอะไรไม่ได้จึงนั่งลงข้างๆและเริ่มดื่มกับลินลี่ย์
เช้าตรู่วันถัดมาลินลี่ย์ เยล จอร์จ และเรย์โนลด์ต่างหลับฟุบอยู่คนละมุมโต๊ะ ลินลี่ย์เป็นคนแรกที่รู้สึกตัว
เมื่อมองไปยังเพื่อนรักทั้งสามรอยยิ้มขมขื่นพลันปรากฏบนใบหน้า ในหัวใจของเขาได้แต่พร่ำบ่นตัวเอง “พี่ใหญ่เยลพี่รอง น้องสี่....พวกเจ้าร่วมดื่มและกล่าวหลายสิ่งเพื่อโน้มน้าวข้าสิ่งที่พวกเจ้ากำลังคิดอยู่นั้นข้าเข้าใจดี เพียงแค่อลิซผิดนัดข้าสองสามครั้งข้าก็รู้สึกแย่มากพอแล้วแต่....ข้าไม่เชื่อข้าเพียงไม่อยากเชื่อเท่านั้น”
ลินลี่ย์ลุกขึ้นเดินไปยังหน้าตาและมองลงไป
ตอนนี้เป็นเวลาตี5 เกือบ 6 โมงเช้า เมืองเฟนไลดูเหมือนเพิ่งตื่นจากนิทรามีผู้คนจำนวนน้อยที่กำลังเดินอยู่บนท้องถนนเพื่อเตรียมตัวไปทำงานและส่วนใหญ่ดูยังไม่ตื่นเต็มที่นัก
“ลินลี่ย์” เดลิน โคเวิร์ทปรากฏตัวจากแหวนมังกรขนด
เดลินโคเวิร์ทผู้ซึ่งสวมชุดคลุมยาวสีขาวอยู่ตลอด และเป็นเจ้าของเครายาวตลอดกาล
“ปู่เดลิน” เมื่อเห็นเดลิน โคเวิร์ทปรากฏตัวลินลี่ย์รู้สึกเหมือนเขาซึ่งอยู่บนเรือลำน้อยล่องลอยอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรเพียงลำพังกำลังจะได้เทียบเข้าฝั่ง
เมื่อเห็นสภาพสมาชิกหอพักของลินลี่ย์เดลิน โคเวิร์ทก็หัวเราะ “ลินลี่ย์ เจ้ามีเพื่อนที่วิเศษมากถึง 3 คนมิตรภาพของพวกเจ้าสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าหัวใจที่ผูกพันระหว่างชายหญิงข้าพูดได้เพียงว่า ตลอด 1,300 ปีที่ข้ามีชีวิตอยู่ข้าได้พบชายเพียง 1 จาก 10 คนเท่านั้นที่ประสบความสำเร็จในรักแรก”
“ปู่เดลิน ข้าเข้าใจ” ลินลี่ย์ฝืนพยักหน้า“แต่....ข้าไว้ใจนาง”
เดลินโคเวิร์ทก็พยักหน้าเช่นกัน ไม่มีคำพูดใดๆระหว่างพวกเขาอีก
….
กลางเดือนพฤศจิกายนลินลี่ย์จัดกระเป๋าเป้เพื่อให้มันใจว่าลูกบอลแก้วผลึกทั้งสองจะปลอดภัยและมุ่งหน้าสู่เมืองเฟนไลอีกครั้ง เขามุ่งหน้าไปยังบ้านสองชั้นหลังน้อยดังที่เคยทำ
“ลุงฮัด อลิซกลับมาบ้านหรือยัง?” ลินลี่ย์เอ่ยถามทหารยามที่บัดนี้กลายเป็นคนคุ้นเคย
ฮัดส่ายศีรษะ“ยัง เป็นเวลามากกว่า 1 เดือนนับตั้งแต่ที่อลิซกลับมาครั้งก่อนนางยังไม่ได้กลับมาสักครั้ง”
“ไม่แม้แต่สักครั้งเลยหรือ?” ลินลี่ย์ขมวดคิ้ว รอยย่นจางๆปรากฏขึ้นบนหน้าผาก “ถ้าเช่นนั้น ลุงฮัดข้าคงต้องขอตัวก่อน” ลินลี่ย์กล่าวลาอย่างสุภาพ
เมื่ออยู่ลำพังบนถนนดรายโร้ดลินลี่ย์ก็มุ่งหน้าไปบาร์ แต่กลับไม่เข้าไป บีบีกล่าวกับเขาผ่านทางจิต “เจ้านายอย่าเป็นกังวลไปเลย ที่อลิซยังไม่กลับมา เป็นไปได้ว่านางอาจมีอย่างอื่นที่ต้องทำอย่างการฝึกฝนก็เป็นไปได้ อย่ามัวแต่ยืนเฉยคิดเรื่องไร้สาระอยู่เลย”
“ใช่แล้วบางทีนางอาจจะยุ่งอยู่กับอะไรสักอย่างจนไม่มีเวลาปลีกตัวมา” ดวงตาของลินลี่ย์พลันกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
เห็นดังนั้นบีบีได้แต่ถูจมูกเล็กๆของมันอย่างรำคาญ “เจ้านายลุ่มหลงในความรักจนกลายเป็นคนโง่งมไปแล้วเป็นแน่เพียงแค่ถ้อยคำปลอบใจเล็กน้อยก็พลันเปลี่ยนเป็นคนละคน”
“เจ้าตัวน้อยนี่! วันนี้เจ้าต้องถูกงดเหล้าเป็นการลงโทษ”ลินลี่ย์ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
แต่ก็ต้องยอมรับว่าหลังจากหยอกล้อกับบีบีอารมณ์ของเขาก็พลันดีขึ้นเล็กน้อย
……
วันที่29 พฤศจิกายน นับว่าเป็นวันที่หนาวเหน็บวันหนึ่ง หิมะสีขาวปกคลุมทั่วทุกสรรพสิ่งลินลี่ย์ เรย์โนลด์ เยล และจอร์จกำลังนั่งอยู่บนรถม้า ซึ่งมีคนขับเป็นคนรับใช้จากตระกูลพ่อค้าของเยลเบื้องหลังพวกเขา มีอัศวินจำนวนหนึ่งกำลังอารักขารูปสลักของลินลี่ย์
“น้องสามอีกไม่กี่วันข้างหน้าจะเป็นช่วงสอบปลายปีแล้วข้าอยากรู้จริงๆว่าเจ้าอดีตอัจฉริยะหมายเลขหนึ่งของสถาบันนั่นจากเป็นจอมเวทระดับ 6หรือยัง” เยลหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
จอร์จกับเรย์โนลด์ก็ดูภูมิใจมากเช่นกัน
ต้นเหตุมาจากสัปดาห์ที่แล้วลินลี่ย์เพิ่งบรรลุระดับ 6 ได้นั่นเอง
ความจริงนั้นลินลี่ย์บรรลุระดับ 4 เมื่อเขาอายุ 13 ปี และระดับ 5 เมื่ออายุราวๆ 16 ปีเป็นเวลาเพียง 5 ปีเท่านั้น ถ้าจะเทียบกับการพัฒนาของดิ๊กซี่ที่ถูกเล่าขานกันว่ารวดเร็วมากแล้วเมื่อมาเทียบกับลินลี่ย์ ผู้พัฒนาบนเส้นทางของโรงเรียนเหล็กสกัดก็ไม่นับว่ารวดเร็วเท่าไรนัก
สองปีครึ่ง
เกี่ยวอะไรกับดิ๊กซี่ผู้ที่ก่อนนั้นกล่าวกันว่าเป็นสุดยอดอัจฉริยะของสถาบัน?
ดิ๊กซี่เป็นจอมเวทระดับห้าเมื่ออายุสิบสองปี แต่ตอนนี้เขาสิบห้าปีแล้ว เป็นเวลาห้าปี หากจะกล่าวตามตรงพัฒนาการของดิ๊กซี่นั้นเร็วมากอย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับลินลี่ย์ที่ได้รับการช่วยเหลือฝึกฝนจากโรงเรียนเหล็กสกัด เขาก็ยังช้ากว่ามาก
หากการทดสอบสิ้นปีมาถึงแล้วผลออกมาว่าลินลี่ย์บรรลุระดับ 6 ในขณะที่ดิ๊กซี่ทำไม่ได้ ลินลี่ย์จะกลายเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของสถาบันเอินส์แทน
“พี่สาม ยิ้มเข้าไว้ ได้เป็นจอมเวทระดับ 6ทั้งทีนับเป็นเรื่องน่ายินดีแล้ว” เรย์โนลด์กล่าวอย่างกระตือรือร้น
ลินลี่ย์ฉีกยิ้ม
“เจ้าเรียกนั่นว่ารอยยิ้มอย่างนั้นหรือ?” เรย์โนลด์พยายามหยอกเย้าลินลี่ย์
จนท้ายที่สุดลินลี่ย์ก็หลุดยิ้มออกมา“ก็ได้ๆ น้องสี่ ปล่อยข้าไว้ตามลำพังสักพักเถิด” ในเวลานั้นลินลี่ย์ได้ตัดสินใจแล้วไม่ว่าอย่างไรเขาจะต้องพบอลิซให้ได้ ถ้าเข้าไม่พบนางในเมืองเฟนไล เขาจะมุ่งหน้าสู่สถาบันเวลเลนเพื่อตามหานาง
ไม่ว่าอย่างไรก็อยากจะพูดคุยกับอลิซแบบตัวต่อตัวอีกสักครั้ง
เมื่อเปิดหน้าต่างรถม้าลินลี่ย์ก็รู้สึกว่ามีกระแสลมหนาวพัดเข้ามา เมื่อชำเลืองมองออกไปทุกสิ่งในครรลองล้วนปกคลุมไปด้วยสีขาว แม้แต่ท้องฟ้าก็ยังมีเกล็ดหิมะล่องลอยอย่างหนาแน่นเมื่อเพลิดเพลินกับบรรยากาศสงบของฤดูหนาว เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดพวกเขามาถึงเมืองเฟนไล
หลังจากส่งมอบรูปสลักทั้ง3 ให้หอศิลป์พรูกซ์แล้ว ทั้ง 4 รับประทานอาหารที่เพิงข้างทางแห่งหนึ่ง
ในเวลานี้ลินลี่ย์นับว่ามีรายได้สูงยิ่ง ในแต่ละเดือนเขาสามารถเก็บเงินได้ราวๆ 20,000 เหรียญทอง ทำให้ลินลี่ย์ไม่ใส่ใจกับเรื่องเงินทองอีกต่อไป ลินลี่ย์สะพายเป้ที่บรรจุลูกบอลแก้วผลึก2 ลูกไว้ด้านใน และมุ่งหน้าไปยังบ้านของอลิซ
“เจ้านาย!ถ้าข้าจำไม่ผิด นี่เป็นครั้งที่ 4 แล้วที่ท่านมายังเมืองเฟนไลพร้อมกับลูกบอลผลึกพวกนี้ถูกหรือไม่?” บีบีกล่าวอย่างไม่แน่ใจ “เอาอย่างนี้สิ เจ้านายมอบพวกมันให้ดีเลียแทนดีหรือไม่?ข้าชอบนางมากเช่นกัน”
ตั้งแต่เดือนตุลาคมจนถึงตอนนี้นี่เป็นครั้งที่ 4 แล้วที่ลินลี่ย์นำลูกบอลแก้วผลึกติดตัวมาเมืองเฟนไล
“พอได้แล้วบีบี” ลินลี่ย์กล่าวพลางขมวดคิ้ว
เมื่อย่ำเท้าไปบนถนนที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะเสียงสวบสาบดังขึ้นในแต่ละก้าวที่เข้าเดิน ในเวลาไม่นาน ลินลี่ย์ก็มายืนหยู่หน้าบ้านสองชั้น
หลังจากพูดคุยกับฮัดเพียงสั้นๆลินลี่ย์ก็จากมา
“อีกครั้งที่นางไม่กลับมา” ลินลี่ย์ขมวดคิ้วนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว“สถาบันเวลเลน!” ลินลี่ย์ตัดสินใจมุ่งหน้าไปยังสถาบันเวลเลนอย่างรวดเร็ว
บนถนนศาลาหอมของเมืองเฟนไล
อลิซกำลังเดินอยู่บนถนนมือของนางถูกคาลันกุมไว้ คาลันกล่าวอย่างนุ่มนวล “อลิซเจ้าไม่คิดจะทำอะไรให้มันชัดเจนสำหรับลินลี่ย์หน่อยหรือ?”
“อาจจะเป็นคราวหลัง” อลิซส่ายหน้า
คาลันพยักหน้าและไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีก
สายตาของเขาจับจ้องไปที่อลิซหญิงสาวที่เขากำลังกุมมือนางอยู่ คาลันเผยรอยยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ พวกเขาเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กคาลันก็หลงรักอลิซมาตลอด ในหัวใจของเขามีเพียงนางเท่านั้นแต่เขาไม่เคยคิดว่าอลิซจะไปคบหากับลินลี่ย์อย่างรวดเร็วเช่นนั้น
ครั้งแรกที่เขารู้ว่าอลิซกับลินลี่ย์เริ่มคบหากันอารมณ์ของเขาก็แทบระเบิด
ตั้งแต่เด็กคาลันคิดว่าอลิซเป็นของเขามาโดยตลอด แม้ว่าลินลี่ย์จะเพิ่งช่วยชีวิตเขาไว้ แต่เมื่อมีเรื่องหัวใจมาเกี่ยวข้องคาลันก็ไม่คิดจะถอยให้แม้ว่า....จะต้องใช้เล่ห์กลเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการก็ตาม
“รับแรกพบอย่างนั้นหรือ? วีรบุรุษที่ช่วยหญิงงามจากเงื้อมมือของสัตว์ร้าย?” คาลันเต็มไปด้วยความคิดดูถูก“ในโลกแห่งความเป็นจริงแล้ว ของแบบนั้นมีอยู่แค่ในนิยาย”
เขากุมมืออลิซแน่นแล้วเข้าเรื่อง
“อลิซเมื่อไหร่ที่เจ้าคิดว่าจะบอกเรื่องราวต่างๆกับลินลี่ย์” คาลันถามอีกครั้งเขาไม่ต้องการให้อลิซกับลินลี่ย์มีเยื่อใยใดๆระหว่างกันอีก
อลิซส่ายหัว“ข้าไม่รู้เช่นกัน ข้าเชื่อเพียงแต่ว่า หากข้าไม่ไปเจอกับลินลี่ย์เป็นเวลานานความรู้สึกของเราอาจจะจางหายพอให้ข้ากล้าพอที่จะเอ่ยคำลากับเขาและเขาคงไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรมากแล้ว”
“เจ้าพูดถูก อย่างน้อยลินลี่ย์ก็เคยช่วยชีวิตพวกเราไว้ครั้งหนึ่ง”คาลันพยักหน้า
เมื่อเดินต่อไปพวกเขาก็มาถึงสี่แยกที่ตัดกันระหว่างถนนศาลาหอมและถนนดรายโร้ด คาลันรู้สึกว่าอลิซหยุดเดินจึงได้แต่สงสัยเมื่อมองไปยังอลิซก็เห็นท่าทีตกตะลึงของนางที่จ้องมองไปทางถนนดรายโร้ดใบหน้าของนางซีดเผือด คาลันจึงหันไปมองบ้าง...
ชายหนุ่มในชุดสีเหลืองอ่อนยืนอยู่เบื้องหน้าพวกเขาไม่ได้ขยับไปไหนแม้แต่น้อย ชายคนนั้นจับจ้องมายังพวกเขาด้วยท่าทีชะงักค้างใบหน้าของเขาไร้สีสัน มันซีดขาวเหมือนสีหิมะ
“ลินลี่ย์!” คาลันขมวดคิ้มเคร่งเครียด