ตอนที่ 101 เย่ว์หยางคลั่ง
“ลุย! ด้านหลังผู้อาวุโสห้องลงทัณฑ์ มีเจ้าหน้าที่ชุดแดง 2 คน พวกเขาเป็นเจ้าหน้าที่ประจำห้องลงทัณฑ์ตามกฎของตระกูล
ทันทีที่พวกเขาเห็นว่าคุณชายสามสวะที่ไร้ประโยชน์ผู้นี้ต่อต้านและละเลยกฎของตระกูลแล้ว พวกเขารีบสั่งให้หน่วยคุ้มกันฝีมือดีเตรียมตัวทันที อีกฝ่ายหนึ่งมีหมาป่าปีศาจ 2 หัวชั้นทองแดงระดับ 5 ที่ว่องไวและมีพลังโจมตีที่น่ากลัว ขืนสู้กับมันเพียงลำพังก็เท่ากับหาที่ตาย แม้ว่าจะมีอสูรหุ่นอยู่มากมายก็ตาม แต่พวกมันไม่มีความรู้สึกนึกคิด ตราบใดที่ศัตรูหลอกล่อพวกมันได้ พวกมันจะตกอยู่ในความระส่ำระสายทันทีและไม่สามารถทำตามเป้าหมายประสงค์หลักได้ พวกมันทำได้เพียงคอยขัดขวางศัตรูได้ดีที่สุดแค่นั้น
ผู้อาวุโสห้องลงทัณฑ์ต้องทนทรมานเกือบบาดเจ็บภายในจนแทบสิ้นสติ เขายังไม่สามารถออกคำสั่งใดๆ ได้ในช่วงนี้
เจ้าหน้าที่ชุดแดงทั้งสองคนเข้ารับหน้าที่โจมตีและสั่งให้กองกำลังฝีมือดีคร่ากุมสวะอย่างคุณชายสามผู้นี้ก่อนที่จะทำอะไรอย่างอื่นต่อไป
แน่นอนว่า ฮุยไท่หลางคงไม่ยอมสู้ตัวต่อตัวกับอสูรหุ่น ก่อนหน้านี้ในวิหารราศีเมษมันมีประสบการณ์เคยหลอกล่อศัตรูมาแล้ว ถ้าให้หลอกล่ออสูรหุ่นเหล่านี้ถือเป็นงานแสนง่ายสำหรับมันอย่าว่าแต่พื้นที่ราบกว้างเช่นนี้เลย แม้แต่บึงเลือดปีศาจ เต็มไปด้วยพื้นที่ยากลำบาก ฮุยไท่หลางก็ยังหลบหนีพวกไฮดร้าทั้งคอกมาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวที่เย่ว์หยางให้มันกลับเป็นไปตัวล่อไฮดราที่บึงเลือดปีศาจ การหลอกล่อศัตรูในความคิดของฮุยไท่หลางเป็นงานที่ง่ายกว่าเหมือนแมวแก่ไล่จับหนูหนุ่ม
มันโดดไปรอบๆ ตัวอสูรหุ่นที่งุ่มง่ามอย่างว่องไว บางครั้งมันก็ยกขาฉี่ใส่ขาอสูรหุ่นอีกด้วย
ถ้าอสูรหุ่นมีความฉลาดอยู่บ้าง พวกมันคงไล่ตามด้วยความโกรธ
ครั้งหนึ่ง ผู้รู้ชาวทวีปมังกรทะยานเคยกล่าวไว้ว่า “เจ้าของเป็นอย่างไร สัตว์อสูรก็เป็นอย่างนั้น” น่าจะใช้อธิบายเย่ว์หยางกับฮุยไท่หลางได้ถูกต้องที่สุด
ในไม่ช้าอสูรหุ่นก็ถูกฮุยไท่หลางหลอกล่อจนสับสน
อสูรหุ่นทั้งหมดเหล่านั้นมีขนาดแตกต่างกันได้แออัดรวมกันอยู่ พวกมันต่างงุ่มง่ามไล่ตามฮุยไท่หลางห่างออกไปทุกที
หน่วยคุ้มกันฝีมือดีจึงตระหนักได้ว่า หมาป่าปีศาจ 2 หัวนี้เจ้าเล่ห์กว่ามนุษย์ ทำให้พวกเขาพูดไม่ออกเพราะความกังวลและตกใจ พวกเขารีบเรียกอสูรสายเสริมพลังออกมาเพื่ิอเสริมความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของตัวเอง ในขณะเดียวกันพวกเขาตะโกนและกระทุ้งด้ามหอกลงกับพื้นเหมือนกองทัพทหารเพื่อสร้างเสริมกำลังใจในการรบ พวกเขาเป็นนักรบชั้นยอดในหมู่นักรบชั้นยอด ได้ผ่านการฝึกอบรมที่ยากลำบากจากหน่วยทหารชั้นยอด พวกเขาจึงเป็นหน่วยคุ้มกันที่ต่างจากธรรมดา แต่ละคนมีความแข็งแกร่งมากกว่าหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยธรรมดาเสียอีก สำหรับทักษะในการต่อสู้ แต่ละคนได้รู้วิชาทวนตระกูลเย่ว์ แม้ว่าจะเป็นเพียง 4 ท่าก็ตาม แต่ก็ยังแข็งแกร่งกว่าวิชาดาบเหล็กและพลังค้อนทุบหินอยู่หลายเท่า
“กฎตระกูล! กฎตระกูล! กฎตระกูล!”
หน่วยรักษาความสงบชั้นยอดร้องเสียงดังจริงๆ เสียงของพวกเขาดังขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุด พวกเขาก็จบเสียงร้องที่ทรงพลัง และแผดเสียงร้องกึกก้องกัมปนาทออกมา
เจ้าหน้าที่ชุดแดงเห็นว่า ได้โอกาสเหมาะแล้วจึงเอาทวนสีแดงของตนชี้ไปที่เย่ว์หยาง “คร่ากุมพวกเขาทุกคนและเอาตัวไปพิจารณาคดีที่ห้องลงทัณฑ์”
เย่ว์ปิงกังวลว่าพี่ชายของนางจะเจอเรื่องตึงมือ จึงออกมาจากรถกล่าวว่า “พี่สาม ข้าจะช่วยท่าน” นางต้องการใช้คัมภีร์อัญเชิญ แต่เย่ว์หยางห้ามเอาไว้ “น้องเจ็ด! ความสนุกเพิ่งเริ่มต้น เจ้าเป็นอาวุธลับของพี่, ตอนนี้เจ้ายังไม่ต้องเข้าร่วม อยู่ในรถคอยดูแลแม่สี่และชวงเอ๋อเถอะ”
เขารู้สึกว่าถ้าพวกเขาเปิดเผยความแข็งแกร่งเอาชนะพวกนั้นเร็วเกินไป ต่อไปพวกเขาจะไม่สามารถสู้ได้ง่ายๆ ดังนั้นเขาจึงไม่เรียกโคเงาออกมา ไม่เรียกจ้าวอสูรทองอย่างนางพญากระหายเลือดออกมา ยังไม่จำเป็นต้องใช้พวกเขาในตอนนี้ เขาไม่ได้ใช้แม้แต่ดาบวิเศษฮุยจินหรือดาบจันทร์เสี้ยว เขาแค่ดึงมัดไม้พลองออกมาจากหลังคารถม้าที่เขาทำโดยตัดต้นไม้มาทำ มันถูกเตรียมไว้แสดงทักษะการต่อสู้ไม่กี่อย่าง ใครบ้างไม่รู้วิธีทำแบบนั้น แม้ว่าเย่ว์หยางอาจจะฝึกฝนวิชากระบี่ไร้ลักษณ์ปราณก่อเนิด แต่เมื่อทำความเข้าใจวิชาวิชาทวนตระกูลเย่ว์ก็สามารถทำได้ง่ายอย่างเป็นธรรมชาติ เขายังทำได้ดีกว่าพวกคนตระกูลเย่ว์ที่ฝึกซ้อมกันมาหลายสิบปีเสียอีก
ที่สำคัญที่สุด เย่ว์หยางชำนาญในการลวง เขาค่อนข้างเห็นแก่ตัว โดยยังสงวนส่วนที่น่ากลัวของวิชาทวนตระกูลเย่ว์ไว้กับตัวเอง เขาไม่ยินดีจะเปิดเผยให้คนอื่นดู เพราะเขากลัวว่าคนอื่นจะพยายามเรียนรู้โดยการเฝ้าดู
นั่นคือสาเหตุที่เขาเตรียมไม้พลองมาเป็นมัด แล้วควงมันด้วยมือแต่ละข้าง เขายังมีไม้อีก 2-3 ท่อนบนหลังของเขา เตรียมเอาไว้ใช้แทนท่อนที่แตกหักและเอามาใช้ตีสุนัขเหล่านี้เมื่อใดก็ได้
ด้วยวิธีนี้ เขาจะสามารถเอาชนะคนอื่นได้อย่างราบรื่น โดยไม่ต้องกลัวถูกขโมยเรียนวิชาทวน
“มีเสียงดังก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเจ้าเป็นฝ่ายถูก, แต่อยู่ที่ว่าหมัดใครแข็งกว่ากันต่างหาก!” เย่ว์หยางสามารถเรียกสัตว์อสูรของเขาออกมาเอาชนะคนพวกนี้ได้ อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้ทำ เพราะคิดว่า เอาชนะคนพวกนี้ด้วยตนเองน่าจะสนุกกว่า เขาไม่เคยชอบหาเหตุผล เขาชอบแต่ความคิดว่าแรงมาก็แรงไป ถ้าเขาต้องมีเหตุผล ขณะที่ย่ำอยู่บนหลังผู้คน เขายังเจรจาพูดคุยด้วยเหตุผลได้อีกหรือ?
“บุกเข้าไป” เจ้าหน้าที่ชุดแดง 2 คนโบกมือของพวกเขาให้กองกำลังชั้นยอดที่อยู่ด้านหลังเขาตั้งกระบวน ขณะที่คนพวกนั้นถือหอกตั้งท่า คำรามลั่นขณะที่บุกตลุยเข้ามาหาเย่ว์หยาง
การเคลื่อนกระบวนนี้ถูกใช้ในสมรภูมิที่ใช้สู้กับทหารทั่วไป มันอาจใช้บุกตลุยเข้าหาศัตรูได้ อย่างไรก็ตาม นักรบฝีมือดีเหล่านี้กำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง บ้าระห่ำและน่ารังเกียจอย่างเย่ว์หยาง ทำให้การบุกตลุยใส่ของพวกเขาเกิดข้อผิดพลาดใหญ่หลวง
เย่ว์หยางถอนหายใจเฮือกใหญ่และรวบรวมพลังไว้ที่แขน ก่อนจะพุ่งไม้ที่เหมือนหลาวออกไป
ไม้พุ่งฝ่าอากาสเกิดเสียงเสียดสีเหมือนผิวปาก ปักเข้าที่ท้องนักรบที่เป็นหนึ่งในหัวหน้ากอง ที่อยู่ในแถวหน้าของขบวนรบ
ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะเจ้าผู้นี้มีสัตว์อสูรสายเสริมพลังคอยปกป้องร่างกายเขาเหมือนเกราะเหล็กแล้ว บางทีไม้นี่อาจเจาะทะลุเขาก็ได้ เกราะเหล็กพังเพราะแรงกระแทกและไม้แทงเข้าที่ท้องของเขาเหมือนกับหลาว เกือบทะลุออกหลัง หัวหน้าหน่วยชั้นยอดถึงกับเลือดพุ่งทันที เขาได้รับบาดเจ็บ
เขาครางอย่างเจ็บปวดขณะที่ร่วงหงายไปข้างหลัง
หัวหอกขบวนที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขาถูกเย่ว์หยางทำลายด้วยความเคลื่อนไวแค่ครั้งเดียว
กำลังรบทั้งสองด้านไม่สามารถตอบสนองได้ทันท่วงที และยังคงบุกต่อด้วยกำลังของพวกเขาเอง คนที่อยู่ในตำแหน่งกลางถูกร่างผู้นำที่ล้มลงขวางไว้ จึงไม่สามารถรักษารูปขบวนต่อไปได้ เป็นเหตุให้พวกเขาเสียรูปขบวนจนดูยุ่งเหยิง ถ้าพวกเขาเป็นทหารทั่วไป บางทีอาจจะล้มลงไปแล้ว ในท่ามกลางความอลหม่านนี้ เย่ว์หยางปรากฏตัวเหมือนพระยามัจจุราช เขาลอยตัวสูงในอากาศพลางชูไม้ขึ้นบนท้องฟ้า จากนั้นท่อนไม้ที่บรรจุพลังหนักถึง 3 พันกิโลกรัมก็ตกร่วงลงบนพื้น
มีนักรบอย่างน้อย 5-6 คนที่หลบหลีกไม่ทันการณ์จึงโดนไม้ของเย่ว์หยางร่วงใส่ พวกเขาพอล้มลงไปแล้วไม่สามารถลงขึ้นมาได้อีก
เย่ว์หยางมุ่งทำลายตรงศูนย์กลางกระบวนรบ เขาใช้ท่อนไม้ในมือหวดไปทั่ว โดยไม่จำเป็นต้องใช้วิทยายุทธใดๆ ในตอนนี้แล้ว ไม่ว่าฟาดไม้ไปตรงไหน ก็จะมีคนถูกหวดทุกที
เมื่อไม้ของเขาหักพัง เขาจะหยิบไม้อื่นออกมาจากข้างหลังของเขา
“ดูวิชาไม้ตีสุนัขของข้าเสียก่อน วิชานี้บัญญัติมาเพื่อตีสุนัขโดยเฉพาะ” เย่ว์หยางคิดว่านี่เป็นการตีที่ทำให้เขาสนุกที่สุดในชีวิต ผู้คุ้มกันพวกนี้เป็นนักรบชั้นยอดทุกคน ดังนั้นจึงมีร่างกายบึกบึนอดทน พวกเขามีอสูรสายเสริมพลังเอาไว้ป้องกันตัวเองด้วยเช่นกัน พวกเขาดูไม่เหมือนคนอ่อนแอเหมือนเต้าหู้ ดังนั้นเย่ว์หยางรู้สึกเพลิดเพลินได้ขณะที่มือเขาหวดพวกนั้น
เย่ว์หยางยังคงหวดทุกคนอย่างแรง จนในที่สุดไม้ของเขาหักหมดทุกท่อน เขาหันมาใช้หมัดแทน และไม่ใช่วิชาไม้ตีสุนัขที่เขาลอกเลียนมาใช้ แต่เขาเลียนแบบวิชาหมัดดาวเหนือมาใช้แทน เขาต่อยทุกคนที่ขวางทางเขา เพียงชั่วครู่ทุกอย่างก็กระจัดกระจายไปทั่ว เกือบทุกหมัดที่เขาใช้ จะปรากฏมีฟันหักและเลือดกระเซ็นไปทั่วเหมือนฝน เจ้าหน้าที่ชุดแดงทั้งสองคนยืนดูอยู่ด้านหลังมีสีหน้าตกตะลึงทำอะไรไม่ถูก จนบัดนี้พวกเขาถึงได้ตระหนักว่าคุณชายสาม สวะที่ไร้ประโยชน์ แม้ยังไม่ได้ทำสัญญากับสัตว์อสูร ก็ยังเป็นผู้มีวิทยายุทธแข็งแกร่งเหลือเชื่อ
“โอว..พระเจ้าช่วย เจ้าเด็กบ้านี่ช่างเหมือนบิดาเขาเหลือเกิน เขาเป็นเจ้างั่งที่เอาแต่หมกมุ่นฝึกวิชาฝีมือ” เจ้าหน้าที่ชุดแดงทั้ง 2 คนแทบจะเป็นลม เขาไม่เคยคิดว่าเจ้าสวะผู้นี้ ที่ทุกคนพากันรังแก ความจริงแล้วกลับมีความเข้มแข็งจนน่ากลัว
“โชคดีที่เขายังไม่สามารถทำสัญญากับสัตว์อสูร, มิฉะนั้น…”
“ทำไมพวกเจ้าถึงยังยืนตะลึงอยู่ได้? คร่ากุมเด็กหญิงและอาเซียนลงมา จากนั้นเจ้าเด็กบ้านี่จะยอมเชื่อฟังคำสั่งเหมือนเด็กดีอย่างแน่นอน! จะใช้ความรุนแรงทำไม? เจ้าอยากให้อสูรของเจ้าตายทั้งหมดหรือ?” ผู้อาวุโสห้องลงทัณฑ์ก็คิดได้กระจ่างในที่สุด พอเห็นสถานการณ์ตกอยู่ในความวุ่นวาย เขาขุ่นแค้นจนเคราเริ่มสั่น เขาออกคำสั่งให้บริวาร 2 คนคร่ากุมหญิงงามและเด็กหญิงทันที เพื่อเผด็จศึกสิ้นเชิง
“แต่คุณนายเซียนและคุณหนูเก้าไม่รู้วิทยายุทธเลย หากว่าเราพลั้งมือไป..” เจ้าหน้าที่ชุดแดงทั้งสองคนพบว่าคำสั่งของผู้อาวุโสยากจะดำเนินการไปหน่อย
พวกเขาเป็นเพียงลูกหลานของครอบครัวห่างๆ จะดีกว่าถ้าให้พวกเขากลั่นแกล้งคุณชายสาม เนื่องจากเขาไม่มีประโยชน์ไม่มีความสำเร็จ ยิ่งไปกว่านั้น การหมั้นหมายของคุณชายสามและคุณหนูตระกูลเสวี่ยทำให้คนริษยา มีหลายคนที่อยากกลั่นแกล้งเขาแบบลับๆ และการกลั่นแกล้งเช่นนี้จะไม่ทิ้งคำนินทาหรือข่าวลือไว้เบื้องหลัง
คุณนายเซียนก็คือคุณนายสี่ ถ้าพวกเขาทำอันตรายนาง แม้ว่านายสี่จะไม่ตามเอาเรื่อง แต่ก็ยากจะบอกได้ว่าคุณนายสี่จะไม่ใช้เรื่องนี้มาคุกคามพวกเขาในอนาคต คุณหนูเก้าก็ยังเป็นเด็ก และไม่มีใครสามารถทำนายอนาคตเธอได้ว่าจะเป็นเช่นไร จะเกิดอะไรขึ้น ถ้านางประสบความสำเร็จในการทำสัญญาและนางได้รับการสนับสนุนโดยสี่นิกายหรือราชสำนัก? ถ้าเรื่องนั้นเกิดขึ้นจริงๆ พวกเขาก็โชคร้ายจริงๆ ในตระกูลเย่ว์ มีกฎว่าห้ามโจมตีสตรีและเด็กเล็ก ถ้าพวกเขาได้รับคำสั่งให้จับคุณชายสาม พวกเขาก็จะกัดฟันทำให้ได้ แม้ว่าจะเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าให้พวกเขาโจมตีสตรีและเด็ก เมื่อประมุขตระกูลรู้เรื่องนั้น บางทีเขาอาจโกรธกริ้วได้ แน่นอนว่าพวกเขาอาจถูกสั่งประหารครั้งเดียว ถ้าเวลาอย่างนั้นมาถึง พวกเขาจะมีชีวิตเหลือเท่าไหร่?
ถึงเวลานั้น ใครจะปกป้องพวกเขา?
พอเห็นว่าพวกเขาไม่เชื่อฟังคำสั่ง ผู้อาวุโสห้องลงทัณฑ์ยิ่งโกรธจัด เขาจ้องมองเจ้าหน้าที่ชุดแดงทั้งสองคนทันที “ถ้าเกิดปัญหาขึ้น ข้าจะรับผิดชอบเอง ปฏิบัติตามคำสั่งเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นข้าจะกำจัดพวกเจ้า”
เจ้าหน้าที่ชุดแดงทั้งสองคน บุกเข้าไปที่รถม้าทันที แน่นอน พวกเขาไม่กล้าบุกจู่โจมหญิงงามในรถม้า พวกเขาแค่ฆ่าม้าสองตัวที่อยู่ข้างนอก
ผู้อาวุโสประจำห้องลงทัณฑ์ถึงกับโกรธ เขาแอบเรียกหมีเล็บเหล็กที่ทรงพลังออกมา เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้เขา
ในทันทีนั้น เขาบุกตรงไปที่รถม้าทันที
ความจริงเขาต้องการโค่นเย่ว์หยางให้ได้ แต่พอเห็นว่าเย่ว์หยางมีวิทยายุทธที่น่ากลัวและว่องไว เขาเกรงว่าเขาคงโดนเชือดทั้งเป็นแน่ถ้าไม่ระมัดระวังเพียงพอ ถ้าเขารับการโจมตีของเจ้าเด็กนี่จริงๆ แม้ว่าเขาจะไม่บาดเจ็บ แต่ก็อาจทำให้เสียชื่อเสียงได้ เขาจะต้องอับอายขายหน้าต่อหน้าบริวารและเป็นเรื่องยากที่จะโน้มน้าวให้คนอื่นเชื่อถือในอนาคต ดังนั้น ผู้อาวุโสห้องลงทัณฑ์ตัดสินใจคร่ากุมสตรีและเด็กก่อน สำหรับสวะอย่างคุณชายสามนี้ ยังไม่สายเกินไปที่จับมัด ทำให้เขาคุกเข่าต่อหน้าเขาแล้วค่อยทรมานในภายหลัง
“เจ้าอยากตายนักหรือ?” เย่ว์หยางโกรธ แม้แต่เรื่องอย่างนี้ก็เป็นอุบายของเขา ทั้งหมดก็เป็นเพราะผู้อาวุโสห้องลงทัณฑ์พยายามบุกจับหญิงงาม ทำกันถึงขนาดนี้ ไม่ว่าจะมีฝีมือ หรือเหตุผลหรือไม่ก็ตาม เขาจะสามารถลงทัณฑ์คนเลวของตระกูลเย่ว์ได้แน่นอน
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเห็นผู้อาวุโสห้องลงทัณฑ์พยายามลอบโจมตี ทำให้เขาไม่สามารถระงับความโกรธที่คุกรุ่นอยู่ในหัวใจเขาได้
ด้วยความเร็วปานสายฟ้า เขาพุ่งเข้าใส่ผู้อาวุโสห้องลงทัณฑ์
ผู้อาวุโสห้องลงฑัณฑ์ยังคงสังเกตดูท่าทีของเย่ว์หยางอย่างต่อเนื่องและแอบระมัดระวังไว้ เมื่อเห็นว่าเย่ว์หยางปล่อยละเว้นพวกหน่วยคุ้มกันแล้วรีบวิ่งเข้ามา เขาหัวเราะอย่างเย็นชา
เขาพุ่งหอกในมือของเขาไปที่รถม้าเต็มแรง จากนั้นปล่อยให้อสูรที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดของเขาหันไปเผชิญหน้ากับเย่ว์หยาง
โดยไม่ต้องคำนึงว่าหอกที่พุ่งไปนั้นได้ฆ่าหญิงงามและเด็กหญิง เมื่อเวลามาถึง เขาจะผลักภาระไปที่บริวารทั้งสองคน ขณะที่สวะอย่างคุณชายสาม จะทนต่อการยั่วยุที่เห็นแม่และน้องสาวของตนตายได้อย่างไร? ถ้าความมุ่งมั่นและจิตใจของเขาหวั่นไหว เขาจะยังคู่ควรเป็นคู่ต่อสู้อีกหรือ? แค่อาศัยความแข็งแกร่งอย่างมากของหมีนี้ บวกกับอุ้งเล็บที่แข็งแกร่ง เจ้าสวะนั่นไม่สามารถทำสัญญากับอสูรใดๆ หรือยังจะเรียกอสูรพิทักษ์ออกมาสู้กับข้าหรอกหรือ?
นัยน์ตาของผู้อาวุโสห้องลงทัณฑ์ศีรษะล้านปรากฏแววอำมหิต เขาเงื้อกรงเล็บหมีขึ้นแล้วตะปบลงที่เย่ว์หยางที่กำลังกระโจนเข้ามาหาเขาอย่างรุนแรง
ตายพร้อมกับแม่และน้องสาวเจ้าซะ
เขาแอบยิ้มเยือกเย็น “เจ้าขยะที่ไม่ควรมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ต่อไป”
มันเป็นแค่ความเข้าใจไปเอง สิ่งที่เขาไม่เห็นก็คือ เพียงหนึ่งนิ้วก่อนที่หอกยาวจะเจาะตัวรถได้ มันถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง ครึ่งวินาทีต่อมามันก็แตกเป็นเศษเล็กเศษน้อย เป็นฝีมือของเสี่ยวเหวินหลีนั่นเอง เย่ว์หยางไม่ใช่คนโง่ เขาคงไม่ให้เย่ว์ปิงที่ไม่มีประสบการณ์คุ้มครองมาปกป้องหญิงงามและเด็กหญิงผู้ไม่เคยฝึกวิทยายุทธใดๆ มาก่อน เขาปล่อยเสี่ยวเหวินหลีไว้ข้างในตั้งแต่แรกและสั่งให้เธอคุ้มครองรถม้าไว้ เมื่อเป็นอย่างนั้น เขาจะไม่ติดกับดักหลอกล่อโจมตีของผู้อาวุโสห้องลงทัณฑ์เป็นแน่ เย่ว์หยางมั่นใจว่าทักษะการป้องกันของเสี่ยวเหวินหลียังมีมากกว่าตัวของเขาเองเสียอีก
แม้ว่าจะไม่เกิดปัญหาขึ้นก็ตาม แต่การกระทำชั่วช้าของผู้อาวุโสห้องลงทัณฑ์สร้างความโกรธแค้นแก่บุรุษผู้มาจากมิติอื่นเหลือประมาณ
ลูกผู้ชายคนหนึ่งควรต่อสู้กันด้วยชีวิตและพลังความสามารถของตนเพื่อกำหนดชัยชนะหรือปราชัยของตน ต่อให้ถูกตีตายก็จะไม่มีการโอดครวญ
แต่ว่าการทำร้ายสตรีอ่อนแอผู้ไม่มีพลังและอาวุธจะต่อสู้ แล้วยังใช้หอกโจมตีใส่พวกนางอย่างเลวทรามต่ำช้าเพื่อพยายามฆ่าพวกนาง เขายังเป็นคนหรือเปล่า?
“อ๊าาาาาาา!” เย่ว์หยางคลั่งไปแล้ว ตาแก่ต้องการฆ่าสตรีที่ได้รับการปกป้องหรือ? นั่นเท่ากับหาที่ตาย! จงชดใช้ด้วยชีวิตของเจ้า! อย่าว่าแต่ให้เป็นศัตรูกับตระกูลเย่ว์เลย, ต่อให้เขาต้องกลายเป็นศัตรูกับนักสู้ทั้งทวีปมังกรทะยาน เขาจะต้องฆ่าเจ้าผู้นี้ให้ได้
เขาไม่สมควรอยู่เป็นผู้คนอีกต่อไป
*************************