MDB ตอนที่ 229 อสุรกายจำแลง
ตันซุนไม่ได้ล้อเล่นเมื่อเขาบอกว่าเขาต้องการเลี้ยงอาหารหลินจิน เขาไม่ใช่คนฟุ่มเฟือย ดังนั้นเขาจึงพาหลินจินไปที่ร้านอาหารที่เขาแวะเวียนมาบ่อย ๆ และสั่งอาหารจานพิเศษของร้านเพิ่ม
แน่นอนว่าสุราเป็นของจำเป็นบนโต๊ะ
เป็นเรื่องปกติที่จะปฏิบัติต่อแขกที่อยู่ห่างไกลด้วยเครื่องดื่มชั้นดี
พูดตามตรง หลินจินไม่ได้ใกล้ชิดกับตันซุนมากนักก่อนหน้านี้ เนื่องจากมีช่องว่างระหว่างวัย จากมุมมองของหลินจิน ความแตกต่างประมาณสามถึงห้าปีจะทำให้ยากสำหรับพวกเขาที่จะสานสัมพันธ์กันได้ นับประสาอะไรกับช่องว่างระหว่างสามสิบถึงห้าสิบปี
แต่หลังจากมื้ออาหาร หลินจินรู้สึกประหลาดใจที่เขาสามารถพูดคุยกับตันซุนได้อย่างเป็นกันเองได้
เป็นเรื่องปกติ เมื่อมนุษย์ที่มีค่านิยมและจุดยืนที่คล้ายคลึงกัน พวกเขาจะสามารถสร้างมิตรภาพได้อย่าง่ายดาย
หลินจินและตันซุนมีความเหมือนกันหลายอย่าง แต่ทั้งคู่ก็เก่งในด้านต่าง ๆ และมีข้อได้เปรียบที่ไม่เหมือนใครในการประเมินสัตว์วิเศษ
หลินจินได้ศึกษาการประเมินจากพิพิธภัณฑ์มาโดยตลอด ดังนั้นความรู้ของเขาจึงมีมากมายมหาศาล ผู้ที่อายุราว ๆ เขาไม่สามารถเปรียบเทียบกับเขาได้ ในขณะที่คนที่แก่กว่าเขาอาจไม่ดีไปกว่านี้แล้ว
ในทางกลับกัน ตันซุนเป็นผู้เรียนที่กระตือรือร้น
หลังจากพูดคุยกับหลินจิน ชายชราก็ตกใจ ชายหนุ่มรู้เรื่องสัตว์วิเศษมากกว่าที่เขาคิด ในความคิดของเขา มาตรฐานของหลินจินนั้นเหนือกว่าผู้ประเมินระดับสองไปแล้ว และอาจเหนือกว่าผู้ประเมินระดับสามในบางมุมด้วยซ้ำ
ตันซุนแสดงความคิดเห็นอย่างกะทันหันว่า “ผู้ประเมินหลิน ถ้าท่านได้มีโอกาสไปสอบผู้ประเมินระดับสาม ข้าแน่ใจว่าท่านจะสามารถผ่านได้อย่างง่ายดาย”
หลินจินตกตะลึงและตระหนักได้ว่าตันซุนได้ยอมรับว่าทักษะของเขายิ่งใหญ่มากเพียงใด
“ผู้อาวุโสตัน ท่านก็พูดเกินไป!”
บางครั้งการถ่อมตัวก็จำเป็น
ตันซุนส่ายหัวอย่างเด็ดเดี่ยว "นั่นไม่จริงเลย ความรู้ของท่านช่างน่าเหลือเชื่อ ข้าเคยเห็นบุคคลที่มีพรสวรรค์มากเกินไปในเมืองหลวงแห่งนี้ หรืออย่างน้อย ๆ ในช่วงสามสิบปีที่ผ่านมา ไม่มีใครที่ข้าเคยพบเทียบได้กับท่านได้สักคน”
บางคนอาจสงสัยว่าความคิดเห็นก่อนหน้าของตันซุนนั้นทำด้วยความสุภาพ แต่คำชมนี้ยืนยันว่าเขาจริงจัง
หลินจินยิ้ม เห็นได้ชัดว่าดีใจที่ได้ยินเรื่องนี้
อาหารบนโต๊ะมาเสิร์ฟและถูกกินไปบางส่วนแล้ว ในระหว่างนั้น หลินจินก็นึกถึงปีศาจวานรในร่างมนุษย์ที่เขาพบก่อนหน้านี้ หลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว เขาจึงตัดสินใจที่จะสอบสวนเรื่องนี้
“ผู้เฒ่าตัน เมืองหลวงของราชวงศ์ ผู้คนต่างดำรงอย่างสงบสุขในทุก ๆ วันใช่หรือไม่?”
ขอบเขตของคำถามนี้กว้างอย่างไม่น่าเชื่อ แต่หลินจินไม่รู้ว่าจะเริ่มบทสนทนาจากที่ใดดี ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจใช้เรื่องทั่ว ๆ ไปเป็นจุดเริ่มต้น
ในฐานะผู้มีประสบการณ์ ตันซุนสามารถบอกได้ว่าหลินจินพยายามจะพูดอย่างอื่น “ผู้ประเมินหลิน เมืองหลวงคือหัวใจของอาณาจักรมังกรหยก มันก็สมควรแล้วที่สถานที่ที่ใกล้กับที่ประทับของจักรพรรดิจะสงบสุขที่สุดใช่หรือไม่? หากท่านมีข้อสงสัยประการใด เชิญท่านสอบถามมาได้เลย ข้าสามารถตอบได้เท่าที่ข้ารู้ ถึงแม้ว่าข้าจะอาวุโสกว่าท่าน แต่ข้าก็ไม่ใช่คนอวดดี ดังนั้นท่านไม่จำเป็นต้องพูดอ้อมค้อม”
หลินจินหัวเราะเบา ๆ เขากำลังรอสิ่งนี้อยู่พอดี
“ได้เลยพี่ตัน ข้าจะตรงเข้าไปที่ประเด็นเดี๋ยวนี้เลย”
“เชิญเลย”
“เมื่อข้ามาถึงเมืองหลวงเมื่อเช้านี้ ข้าก็พบเจออสุรกายจำแลง…”
หลังจากที่หลินจินพูดเรื่องนี้ ตันซุนก็ดูตกใจ
“อสุรกายจำแลง?”
"ถูกต้อง!" หลินจินอธิบายการพบกันของเขาสั้น ๆ เมื่อเช้านี้ โดยละเว้นส่วนที่เกี่ยวกับวานรยักษ์ขาวเอาไว้ เขาอธิบายว่าเขาบังเอิญไปพบกับอสุรกายตามท้องถนนได้อย่างไร และเมื่อรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ความสงสัยของเขาก็ได้รับการยืนยันจากเบาะแสแปลก ๆ จำนวนหนึ่ง
ตันซุนถือว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาร้ายแรง ถ้าคนอื่นเป็นคนพูด เขาคงไม่เชื่อ ท้ายที่สุด มันยากมากที่จะพบอสุรกายจำแลงได้ คนทั่วไปคงไม่เคยเห็นใครซักคนในชีวิต
อย่างไรก็ตาม ในฐานะผู้ประเมินระดับสาม ตันซุนเข้าใจว่าอสุรกายเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ตั้งแต่สมัยโบราณ สำหรับอสุรกายที่จะฝึกฝน สิ่งแรกที่พวกเขาต้องทำคือดูดซับพลังวิญญาณของโลกและหลังจากได้รับโอกาสพัฒนา สติปัญญาจะถูกปลดล็อก
นี่เป็นขั้นตอนแรก
ด้วยสติปัญญาที่เพิ่มขึ้นของพวกเขาเท่านั้นที่สามารถเรียนรู้การฝึกฝนได้
จากนั้นอสุรกายจะเริ่มปรับแต่งความรู้และเรียนรู้ภาษามนุษย์
อสุรกายที่สามารถไปถึงระดับนี้ได้ถือว่าน่าทึ่ง มันถูกบันทึกไว้ในหนังสือโบราณ ว่ากันว่าอสุรกายในระยะนี้ควรมีทักษะเช่น มนต์เสน่ห์ ภาพลวงตา การบุกรุกความฝันและอื่น ๆ อีกมากมาย ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถยืนหยัดต่อสู้กับพวกเขาได้
การแปลงร่างเป็นขั้นตอนที่สาม
นี่หมายความว่าพวกเขาสามารถบรรลุร่างมนุษย์และเดินท่ามกลางมนุษย์ได้โดยไม่ถูกตรวจจับ
อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุการณ์ที่บันทึกไว้เมื่อครั้งโบราณ และตันซุนรู้เพียงแค่นั้นเท่านั้น พูดกันตรง ๆ ว่าอยู่มาตั้งนาน เขาเคยเจอเรื่องแบบนี้แค่ครั้งเดียวในชีวิตตอนที่ยังเป็นนักเรียนอยู่
ตันซุนอดไม่ได้ที่จะหวนนึกถึงอดีต
เมื่อสังเกตเห็นว่าตันซุนเงียบไปและแสดงท่าทางเคร่งขรึม หลินจินไม่ได้รบกวนเขา แต่รออย่างเงียบ ๆ หลังจากนั้นไม่นาน ตันซุนก็พูดขึ้นว่า
“นานมาแล้ว สมัยที่ข้ายังเป็นนักเรียนอยู่ ข้าเคยเจออสุรกายจำแลงที่ชานเมือง...”
เมื่อ 40 ปีที่แล้ว ตันซุนยังอยู่ในวัยรุ่น ย้อนกลับไปในตอนนั้น เขาเป็นเพียงเด็กฝึกหัดเดินตามนักบวชเข้าไปในภูเขาลึกเพื่อไล่ตามสัตว์ป่า
กลุ่มของพวกเขาพักค้างคืนบนภูเขาเหล่านั้น ในกลางดึก เมื่อตันซุนขอตัวไปทำธุระ เขาได้พบกับชายชราแปลกหน้า
ชายชราคนนั้นสวมเสื้อผ้าและยืนอยู่บนหน้าผาข้างหน้าห่างจากตันซุนไม่ถึงสิบฟุต ด้วยแสงจันทร์ที่ส่องลงมา ทำให้ตันซุนมองเห็นรูปร่างของชายชราได้อย่างชัดเจน
ชายชราดูเหมือนจะอายุหกสิบเศษและมีรูปร่างที่แข็งแรง เคราของเขาหนาและเป็นพวง แต่ดวงตาของเขาสะท้อนถึงความเกลียดชังอย่างชัดเจน
ย้อนกลับไปในตอนนั้น ตันซุนไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่พบว่ามันแปลกที่มีชายชราสวมเสื้อผ้าราคาแพงในป่าลึกซึ่งพวกหมู่บ้านอยู่ห่างจากที่ที่พวกเขาอยู่อย่างน้อยหนึ่งร้อยไมล์ ถ้าหากชายชรามายังที่แห่งนี้ เสื้อคลุมของเขาคงไม่เสียหาย ท้ายที่สุด แม้จะสวมชุดเกราะและเสื้อผ้าที่แข็งแรง พวกมันก็ไม่อาจรอดจากถูกหินและกิ่งไม้ขีดข่วน แต่เสื้อผ้าของชายชราคนนี้ดูราวกับว่าเป็นของใหม่และเพิ่งออกมาจากร้านตัดชุดเลย
ตันซุนรู้สึกอยากรู้อยากเห็น เขาพูดกับชายชราอย่างระมัดระวัง
ชายชราถามว่าทำไมพวกเขาถึงมาที่ภูเขาเพื่อจับสัตว์วิเศษ
ย้อนกลับไปในตอนนั้น ตันซุนและกลุ่มของเขาได้จับลูกหมาป่าไว้ประมาณ 8 ตัว และวางแผนที่จะพาพวกมันกลับบ้านเพื่อฝึกให้เชื่อง จากนั้นก็จับพวกมันมาทำพันธสัญญาโลหิต
การจับสัตว์ป่าและเปลี่ยนพวกมันให้กลายเป็นสัตว์เลี้ยงนั้นถือเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ตระหนักถึงความผิดที่ทำเช่นนี้ ดังนั้น ตันซุนจึงตอบเขาอย่างตรงไปตรงมา
ชายชราคนนั้นโกรธอย่างเห็นได้ชัดเมื่อได้ยินคำตอบของเขา ในขณะนั้น ตันซุนสังเกตเห็นว่าเงาเบื้องหลังของชายชราได้กลายเป็นหมาป่าขนาดใหญ่
เขาโชคดีที่นักบวชอาวุโสคนหนึ่งสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ ดังนั้นเขาจึงรีบมาหาตันซุน นักบวชอาวุโสจึงรีบขอโทษชายชราและปลุกคนที่เหลือในกลุ่มก่อนสั่งให้ปล่อยลูกหมาป่า
ชายชรามีท่าทีสงบลง ภายหลังจากพวกเขาปล่อยลูกหมาป่า
ตันซุนจำได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาทั้งหมดต่างก็มีสัตว์วิเศษ ซึ่งสัตว์วิเศษที่แข็งแกร่งที่สุดคือระดับสอง ถึงกระนั้น สัตว์เลี้ยงทั้งหมดของพวกเขาก็ยังขดตัว ตัวสั่นด้วยความกลัวต่อหน้าชายชรา ไม่มีสักตัวเดียวที่กล้าลุกยืนขึ้น
ชายชราลึกลับพาลูกหมาป่าออกไป ขณะที่ตันซุนและกลุ่มของเขาหนีออกจากภูเขาในคืนนั้น ระหว่างทางกลับ เขาได้เรียนรู้จากนักบวชอาวุโสว่าชายชราที่พวกเขาพบในป่าไม่ใช่มนุษย์
ตอนนั้นเองที่ตันซุนได้รู้ว่าอสุรกายบางตัวสามารถแปลงร่างได้
อสุรกายที่สามารถบรรลุการแปลงร่างได้ ความแข็งแกร่งของมันต้องมีอย่างน้อยสัตว์วิเศษระดับสาม หากพวกเขาตัดสินใจเปิดฉากการต่อสู้ กลุ่มคนสิบคนของพวกเขาอาจเสียชีวิตในป่าในคืนนั้น