Ep.452 - เพลิงสีชาดผู้ตื่นรู้
1/3
Ep.452 - เพลิงสีชาดผู้ตื่นรู้
ฮังอวี่ไม่สนใจ เมื่อทั้งหมดมาถึงขั้นนี้ จะบอกให้ถอยกลับคงไม่ได้
เขาสั่งให้หวังเอ๋อระบุตำแหน่งของเป้าหมายทันที จากนั้นเข้าไปสำรวจด้วยตัวเอง อย่างแรกที่ทำคือมองหามอนสเตอร์ที่มี ‘กลิ่นอายพิเศษ’ ตัวนี้
“พบเป้าหมายแล้ว”
“มันอยู่ข้างหน้า!”
ฮังอวี่พยักหน้า ปิดตาของเขา เปิดใช้งานเทคนิคตาเหยี่ยว
มุมมองจากเบื้องบนกวาดไปทั่วพื้นดินอย่างรวดเร็ว ข้ามผ่านกองทัพมอนสเตอร์ทรายสีชาดฝูงใหญ่ สุดท้ายหยุดลงบนร่างหนึ่งที่กำลังเคลื่อนไหว
เผ่าทรายสีชาดเป็นสิ่งที่มีชีวิตที่มีองค์ประกอบหลากหลาย พวกมันมีคุณสมบัติทั้งดินและไฟ ร่างกายที่ทำจากทรายสีแดงเต็มไปด้วยรอยแตก หากมองลึกเข้าไป จะพบเปลวไฟและลาวาไหลเวียนอยู่ข้างใน ทำหน้าที่เฉกเช่นเลือดหรืออวัยวะภายใน
เผ่าทรายสีชาดมีร่างกายที่ค่อนข้างมั่นคง โดดเด่นในด้านป้องกันเพราะร่างกายที่เป็นธาตุดิน ในขณะเดียวกันก็มีพลังโจมตีธาตุไฟที่ทรงพลัง เรียกได้ว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งมาก
ไม่ว่าจะทะเลทรายสีชาด เทือกเขาสีชาด หรือกระทั่งเผ่าทรายสีชาดทั้งหมดในที่นี้ พวกมันล้วนมีต้นกำเนิดเดียวกัน
ในสมัยโบราณ
มหาอำนาจแห่งเผ่าทรายสีชาดในระดับมหากาพย์เป็นที่รู้จักกันดีในนาม ‘จักรพรรดิทราย’ ล่วงลับไป
การล่มสลายของมันได้เปลี่ยนภูมิทัศน์ของภูมิภาคไปอย่างสิ้นเชิง และยังทำให้เกิดมอนสเตอร์ทรายสีชาดจำนวนมาก
ราชาปีศาจทรายสีชาดเป็นเพียงหนึ่งในผู้สืบเชื้อสายที่แข็งแกร่งที่สุดของจักรพรรดิทรายเท่านั้น
นอกจากราชาปีศาจทรายสีชาดแล้ว ยังมีอีกหนึ่งการดำรงอยู่ที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษ นั่นคือเผ่าทรายสีชาดเบื้องหน้า จากการแต่งตัวดูเหมือนนักรบ เหนือผิวกายสวมเกราะแดง ถือง้าวสงครามทองไว้ในมือ สวมหมวกเกราะ เสื้อคลุม ร่างสูงกำยำ
ถ้าไม่ใช่เพราะใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยร้าวที่ลุกเป็นไฟและเกิดจากการรวมตัวของทรายสีแดง เค้าโครงร่างของมันดูไม่ต่างจากมนุษย์ เพียงแต่ว่าร่างนั้นกำยำและสูงเป็นพิเศษ
จอมพลทรายสีชาด!
ในบรรดามอนสเตอร์แห่งเผ่าทรายสีชาด
นอกเหนือไปจากราชาปีศาจทรายสีชาดแล้ว เขานี่แหละคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด!
พลังรบของชายผู้นี้ เหนือยิ่งกว่ามังกรน้ำสีชาด เข้าถึงระดับทรราชย์ขั้นโกลด์ หากสู้แบบตัวต่อตัว น่าจะเอาชนะขุนนางใหญ่ของแคว้นเดียวดายได้ทุกตน เมื่อเทียบกับขุมพลังระดับผู้ครองแคว้น น่าจะไม่ด้อยไปกว่ากัน!
จอมพลทรายสีชาดกำลังถือง้าวขนาดใหญ่เดินไปรอบ ๆ ทะเลสาบลาวาภูเขาไฟ ติดตามมาด้วยสมาชิกเผ่าทรายสีชาดหลายตน บรรยากาศโดยรอบบิดเบี้ยวจนยากจะอธิบาย
น่าแปลก เจ้าหมอนี่ทำไมถึงออกมาเดินเตร่อยู่ที่นี่?
ฮังอวี่สังเกตเห็นถึงความผิดปกติ โดยทั่วไปแล้วมอนสเตอร์ประเภทสายพันธุ์รองจะอยู่ในบริเวณที่จำกัด เส้นทางการเดินมักมีรูปแบบที่แน่นอน ถึงจะมีข้อยกเว้นบางอย่าง แต่ในกรณีที่ปราศจากอิทธิพลภายนอก โดยทั่วไปแล้วก็ไม่น่าเบี่ยงเบนจากเส้นทางมากไป
ไม่มีเหตุผลที่ BOSS ตัวนี้จะออกจากฐาน!
ฮังอวี่สังเกตอีกฝ่ายอย่างระมัดระวังอีกสองสามนาที ในที่สุดจากรายละเอียดบางอย่าง ข้อเท็จจริงก็ทำให้เขาประหลาดใจ
เขาถอนสกิลตาเหยี่ยว ถอยกลับไปหาคนอื่นๆ “สถานการณ์ในครั้งนี้มีการเปลี่ยนแปลง พวกเราต้องปรับแผน”
ฉูเทียนหัวเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้น?”
ฮังอวี่ตอบว่า “มอนสเตอร์ BOSS ตัวนี้ดูเหมือนจะตื่นรู้แล้ว!”
“ตื่นรู้?”
ทุกคนชะงักกับคำนี้
ฮังเสี่ยวไป๋เป็นชาวโลกวิญญาณ เธอจึงประหลาดใจกว่าใครเมื่อได้ยินมัน “พี่ชายกำลังจะบอกว่า มอนสเตอร์ตัวนี้ผ่านการเปลี่ยนแปลงวิญญาณ ได้ปลุกจิตสำนึกตนเอง กลายเป็นเผ่าทรายสีชาดระดับสูง?”
ฮังอวี่พยักหน้า “ไม่น่าจะผิดพลาด”
ฮังเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “โอกาสที่สายพันธุ์รองจะตื่นรู้นั้นต่ำมาก คิดไม่ถึงเลยว่าในที่แบบนี้ จะมีผู้ตื่นรู้ถือกำเนิดขึ้น น่าเหลือเชื่อจริงๆ”
คนอื่นใช้เวลานานกว่าจะทำความเข้าใจ
สรุปก็คือ BOSS ตนนี้ที่ทุกคนกำลังจะกำจัดมัน ดูเหมือนจะกลายเป็นชาวโลกวิญญาณที่มีสติปัญญา!
เจียงหนานเอ่ยถาม “แล้วพวกเราควรทำยังไง?”
“แผนยังเหมือนเดิม แค่ควรเปลี่ยนวิธี พวกเราไม่ควรใช้ทัพใหญ่ สิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญารับมือได้ยาก แต่โชคดีก็คือมันดันเดินออกจากฐานด้วยตัวเอง เพราะงั้นนี่คือโอกาสของพวกเรา”
“สมุนทหารจะไม่มีส่วนร่วมในการต่อสู้ เพื่อไม่ให้แหวกหญ้าให้งูตื่น พวกเราไม่กี่คนจะลอบเข้าไปใกล้ และก่อนที่อีกฝ่ายจะทันตอบโต้ เราจะจัดการพวกมัน”
ฮังอวี่รีบเรียกตัวผู้ร่วมทีมอย่างรวดเร็ว
พวกเขาได้แก่ ฉู จ้าว เจียง จาง ฉิน สมาชิกประจำห้าคน และสามผู้นำแห่งสำนักกระบี่วิญญาณ บวกกับฮังอวี่และเสี่ยวไป๋ ทีมสิบคนก็เกินพอ
...
ถัดจากทะเลสาบภูเขาไฟ
เพลิงสีชาดเงยหน้าขึ้น มองธารลาวาที่ไหลลงต่อเนื่องจากเนินเขา
วิสัยทัศน์ของเผ่าพันธุ์ธาตุเป็นสิ่งที่พิเศษมาก มันแตกต่างจากการมองเห็นของตามนุษย์ พวกมันไม่สามารถแยกแยะความต่างระหว่างสี แต่สามารถแยกแยะความต่างระหว่างสสารกับพลังงานได้
มันตื่นมาสิบกว่าวันแล้ว ตอนนี้กำลังปรับตัวให้เข้ากับความทรงจำในจิตใจ
ความทรงจำเหล่านี้มีมาแต่กำเนิด ซึ่งรวมถึงภาษากลางของโลกวิญญาณ ภาษาของเผ่าพันธุ์ธาตุ สามัญสำนึกบางอย่าง สกิลการต่อสู้และสัญชาตญาณ ฯลฯ
แต่นอกเหนือจากนี้ ก็ไม่มีอะไรอีก
เพลิงสีชาดรู้สึกสับสน
นี่เป็นอาการปกติที่จะเกิดขึ้นเมื่อสิ่งมีชีวิตในโลกวิญญาณทุกตนเกิดการตื่นรู้ อาจกล่าวได้ว่าการกระทำของพวกมันตอนนี้ยุ่งเหยิงไม่เป็นระบบ อาศัยแค่สัญชาตญาณ
“พวกเราจะทำอย่างไรต่อไป?”
“นั่นสิ ท่านผู้นำ พวกเราจะอยู่ที่นี่ต่อไปอีกนานไหม?”
ด้านหลังเพลิงสีชาดมีเผ่าทรายสีชาดติดตามมาด้วย 7 8 ตน พวกมันเป็นกลุ่มเดียวของสายพันธุ์ระดับสูงที่เกิดการตื่นรู้ และเนื่องจากพลังรบของเพลิงสีชาดนั้นแก่กล้าที่สุดในกลุ่ม ตามกฏของโลกวิญญาณ ผู้ใดกำปั้นใหญ่ผู้นั้นคือเจ้านาย
เพลิงสีชาดจึงกลายเป็นผู้นำโดยชอบธรรม
เพลิงสีชาดกล่าว่า “ข้าเองก็ไม่รู้ ขอคิดอีกหน่อย”
หลังจากได้รับสติปัญญาที่สูญเสียไป พวกมันก็ไม่ทราบว่าต้องทำอะไร ได้แต่ทำหน้าที่ตามสัญชาตญาณที่ถูกตั้งโปรแกรมมาแต่กำเนิด
แม้จะครุ่นคิดทั้งวัน แต่ก็ไม่รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ
ปัจจุบันพวกมันเริ่มมีความสามารถในการคิดและความทรงจำของมรดก จึงเริ่มไม่อยากทำอะไรซ้ำซากจำเจ เดินเตร่ออกมาจากฐานของตัวเอง
ผู้ใต้บังคับบัญชาตนหนึ่งกล่าวว่า “ท่านผู้นำ พวกเราสามารถควบคุมเผ่าทรายสีชาดทั้งหมดได้ และจากความรู้ที่อยู่ในหัว หากต้องการผงาดในโลกวิญญาณ จำเป็นต้องคว้าดินแดน ยึดครองมันเป็นของตัวเอง”
อีกตนกล่าวว่า “ใช่ ข้าว่าพวกเราควรรีบออกไปโจมตีเมืองไหนซักเมือง ด้วยพลังรบของท่านผู้นำ การโค่นขุนนางใหญ่ไม่ใช่เรื่องยากเย็น!”
ทุกตนเกิดมาพร้อมกับความทรงจำและความรู้บางอย่าง
แต่จะมากจะน้อย ก็แล้วแต่บุคคลไป
สำหรับสามัญสำนึกพื้นฐานเหล่านี้ เผ่าทรายสีชาดหลายตนรู้ แต่น่าฉงนนักที่ในความทรงจำของเพลิงสีชาดกลับไม่มีเรื่องนี้ เป็นเหตุผลให้เมื่อได้ยินคำแนะนำดังกล่าว มันจึงไม่รู้ว่าต้องตอบรับยังไงมาพักหนึ่งแล้ว
อย่างไรก็ตาม
ในเวลานั้นเอง จู่ๆเพลิงสีชาดก็สัมผัสได้ถึงอันตราย
ตั้งแต่มีสติปัญญา นี่เป็นครั้งแรกที่มันรู้สึกแบบนี้
มองไปในทิศทางของวิกฤตที่กำลังมาเยือน ภายใต้ทัศนวิสัยพิเศษของเผ่าธาตุ มันสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ว่าสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังมากประมาณสิบคนปรากฏตัวขึ้นใกล้ๆ
หากเพลิงสีชาดเป็นชาวโลกวิญญาณที่มีประสบการณ์ มันจะมีปฏิกิริยาที่ถูกต้องทันทีที่เห็นอีกฝ่าย แต่เนื่องจากไร้ประสบการณ์จริงๆ เลยไม่อาจตอบสนองได้ชั่วขณะ
“จัตุรัสคุกโลหิต!”
พื้นดินสีดำเมี่ยม จู่ๆก็เหนียวหนืดขึ้นมาทันใด
ร่องรอยพลังงานสีเลือดโหมกระหน่ำขึ้นฟ้า และบรรจบกันเหมือนคุกยักษ์ ครอบคลุมชาวทรายสีชาดเหล่านี้เอาไว้