ตอนที่ 86 นางพญากระหายเลือด
“ถ้าเป็นคนอื่นนะ ข้าจะไม่บอกอะไรแน่นอน แต่ถ้าเป็นเจ้า โจรน้อยหน้าโง่ ไม่ว่ายังไง ข้าจะเป็นครูให้เจ้าสักครั้ง” เมื่อเจ้าเมืองสาวพูดอย่างนี้ เย่ว์หยางถึงกับตกใจ แม่นางผู้นี้พูดจริงหรือนี่? หรือว่านางหลงรักเขาแล้ว? ทำไมเรื่องแบบนี้จึงดูเหมือนเป็นไปไม่ได้? คนอย่างนางดูเหมือนเป็นนักสู้ที่ดูแข็งแกร่งมาโดยตลอด ทำไมนางถึงได้สนใจเด็กหนุ่มที่ไม่มีชื่อเสียงอย่างเขาด้วยเล่า? ยิ่งไปกว่านั้น พอมองตานาง ตาทั้งคู่ไม่เหมือนตากระจ่างใสของอี้หนานซึ่งทำให้ดูเหมือนว่านางลังเลใจที่จะเปิดเผยบางอย่าง นัยตานางเหมือนเย่ว์อยู่แสดงออกยามว้าวุ่น
อาจเป็นได้ว่าแม่นางผู้นี้ทำตัวเหมือนเป็นพี่สาว แล้วถือเขาเหมือนเป็นน้องชายกระมัง?
ตลอดตามทาง มีเรื่องหัวเราะได้ไม่หยุดหย่อน เจ้าเมืองโล่วฮัวแนะนำเคล็ดลับในการบ่มเพาะสัตว์อสูรมากมาย นางบอกเขาทุกอย่าง เรื่องแล้วเรื่องเล่า ทำให้เย่ว์หยางได้รับประโยชน์มากมาย
เมื่อพวกเขามาถึงประตูเทเลพอร์ต นางล้วงตราประจำตัวออกมา
หลังจากคุยกับทหารยามเฝ้าประตูเทเลพอร์ตชั่วขณะ หลังจากนั้นเย่ว์หยางจึงได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปอยู่วงแหวนเทเลพอร์ต แต่ก่อนที่จะทำการเทเลพอร์ต เจ้าเมืองโล่วฮัวใช้น้ำเสียงที่จริงจังเตือนเย่ว์หยาง “โจรน้อย! ข้าอยากเตือนเจ้าให้ระวังตัวให้ดี เมื่อถึงจุดเวลาใดเวลาหนึ่ง เจ้าต้องจัดลำดับความสำคัญของชีวิตเจ้าให้ดี เข้าใจไหม? ตอนนี้ไม่มีผลึกเทพชุบชีวิตแล้ว ถ้าเจ้าตายในการต่อสู้ ข้าจะไม่สามารถช่วยเจ้าได้เลย”
“แก้วผลึกเทพชุบชีวิตหรือ?” เย่ว์หยางตัวแข็งเมื่อได้ยิน
“ตามตำนานกล่าวไว้ว่า มันเป็นแก้วผลึกเทพที่สุดยอดนักสู้ชาวมนุษย์นำกลับมาจากแดนสวรรค์ในตำนาน ตราบใดที่คนยังตายไม่นาน ร่างกายยังครบบริบูรณ์ เจ้าสามารถใช้พลังเวทขั้นสูงที่เก็บอยู่ภายในแก้วผลึกมาชุบชีวิตคนตายได้ เมื่อคราวที่มีผู้รุกรานจากพวกปีศาจจำนวนมากจากดินแดนปีศาจในอดีตหลายพันปี นักสู้คนสำคัญหลายคนตายในสนามรบ เพื่อรักษาความหวังมีชีวิตของผู้คน ผลึกเทพชุบชีวิตถูกนำมาใช้ทั้งหมดเพื่อชุบชีวิตคนสำคัญที่สุด ส่วนใหญ่เป็นนักสู้ที่มีคุณค่าและมีแนวโน้มว่ามีค่ามากที่สุด นั่นคือสาเหตุที่ทำให้ผลึกเทพชุบชีวิตที่เดิมทีมีจำนวนน้อยถูกใช้ไปแล้วในช่วงไม่กี่ร้อยปีที่แล้ว เราต้องจริงจังและกล้าหาญเอาชนะอันตรายเมื่อเราต่อสู้ แต่เรายังต้องระวังตัวให้ดี เพราะเราไม่มีโอกาสฟื้นอีกครั้ง” สีหน้าของเจ้าเมืองโล่วฮัวในตอนนี้เต็มไปด้วยความเข้มงวดและจริงจัง
“แดนสวรรค์มีอยู่จริงหรือ?” เย่ว์หยางมักคิดเสมอว่ามีการพูดถึงดินแดนทั้งสามเสมอ นอกจากแผ่นดินมังกรทะยาน, แดนปีศาจ แล้วยังมีแดนสวรรค์จริงๆ เหรอ?
“มันควรเป็นอย่างนั้น แต่นักสู้ระดับสูงนั้น ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับมัน เขาแค่เพียงบอกว่าเมื่อคนรุ่นหลังสามารถไปถึงหอทงเทียนชั้นที่ 8 ได้ พวกเขาจะเข้าใจด้วยตัวเอง ข้าคิดว่าแดนสวรรค์มีอยู่จริง เพราะทุกครั้งที่พวกเจ้าขึ้นไปบนหอทงเทียนสูงขึ้นไปๆ พื้นที่ๆ อยู่เหนือขึ้นไปอย่างน้อยจะใหญ่กว่าพื้นที่ชั้นล่างถึง 10 เท่า บนชั้นที่ 8 ข้าคาดว่าพื้นที่คงใหญ่กว่าแผ่นดินมังกรทะยาน จากนั้นก็คงมีชั้นที่ 9 ดูเหมือนว่าความคงอยู่ของแดนสวรรค์จะตั้งอยู่ในที่ๆ ห่างไกลจากดินแดนปีศาจ มันอาจเป็นดินแดนระดับสูงห่างไกลออกไปจากหอทงเทียน” เจ้าเมืองโล่วฮัวไม่สามารถรับประกันเรื่องนั้นได้
“เราไม่สามารถไปแดนสวรรค์และเอาผลึกเทพชุบชีวิตมาได้เดี๋ยวนี้หรือ?” เย่ว์หยางถาม
“ข้าได้ยินว่าผลึกเทพชุบชีวิตถูกนำมาจากหอทงเทียนเหนือชั้นที่ 10 ขึ้นไป ในอดีตหลายพันปีมาแล้ว ยังไม่มีนักสู้ในแผ่นดินมังกรทะยานที่มีความสามารถไปถึงชั้นที่ 10 ได้” เจ้าเมืองโล่วฮัวส่ายศีรษะของนาง “ในเวลาอย่างนี้คิดเรื่องนี้ไปก็ไร้ประโยชน์ เราต้องมีสมาธิอยู่กับปัจจุบันและระมัดระวังในการต่อสู้ครั้งต่อไป”
ขณะที่พวกเขาพูด เย่ว์หยางเห็นประกายแสงสีขาวก่อนที่จะถูกเทเลพอร์ตส่งไปในพื้นที่อื่น
ตลอดทั้งร่างของเขาอึดอัด มันเหมือนกับว่ามีแรงกดที่มองไม่เห็นกดลงบนตัวของเขา
ร่างของเขารู้สึกเหมือนกำลังจมลง ขณะที่น้ำหนักของเขาเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ มีความรู้สึกว่าร่างของเขาคล่องแคล่วว่องไวที่เหมือนนก ได้หายไปอย่างสมบูรณ์
ความคิดอย่างหนึ่งแว่บเข้ามาในใจเย่ว์หยาง ทันใดนั้นเขาก็ได้รับคำตอบขณะที่โพล่งขึ้นมาว่า “แรงดึงดูดทวีคูณเหรอ? พื้นที่นี้มีแรงดึงดูดเป็นทวีคูณใช่ไหม?”
เจ้าเมืองโล่วฮัวมองหน้าเย่ว์หยางด้วยสายตาที่ขำ “เป็นข้อจำกัดของรหัสโบราณ แรงกดดันจะเริ่มกล้าแข็งขึ้นตั้งแต่ชั้นที่สองของหอทงเทียนเป็นต้นไป ถ้าเจ้าใช้คำว่าแรงโน้มถ่วงเพื่ออธิบายปรากฏการณ์นี้ บางทีอาจยากลำบากที่จะเรียกแบบนั้น อย่างไรก็ตาม น้ำหนักของเราไม่ได้เพิ่มขึ้น มันเป็นเพียงผลที่มีต่อร่างกายเราที่ต้องทนทุกข์จากข้อจำกัดของรหัสโบราณ เจ้าอาจไม่คุ้นเคยในตอนแรก แต่เจ้าต้องปรับตัวเข้ากับมัน เมื่อเราเทเลพอร์ตไปที่ชั้นสาม จะมีบทลงโทษที่แข็งแกร่งขึ้น รอสักเดี๋ยวนะ ข้าต้องไปรายงานด่านเพื่อพิสูจน์สถานะของเจ้า แล้วจะสามารถเข้าไปได้”
เย่ว์หยางแปลกใจเล็กน้อยขณะที่มองเห็นเจ้าเมืองโล่วฮัวเข้าไปหาชายชราชุดยาวถือไม้เท้า ดูเหมือนว่าแรงดึงดูดทวีคูณไม่ค่อยส่งผลต่อนางมากนัก
ความภูมิใจของนักเดินทางข้ามมิติถูกลบหลู่เหมือนกับว่าฝีมือเขาแย่กว่าสตรีนางหนึ่งมากขนาดไหน
เขาค่อยๆผ่อนลมหายใจลง เย่ว์หยางค่อยๆ ขยับร่างกายขณะที่เดินปราณชั้นก่อกำเนิดให้หมุนเวียนไปทั่วร่างกาย สภาพร่างกายของเขาค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นจนอยู่ในระดับดีที่สุดของเขา
แรงกดดันที่น่าอึดอัดค่อยๆ อ่อนลงทุกที และหายไปในที่สุด
ดูเหมือนว่าข้อจำกัดของชั้นสองหอทงเทียนเป็นสิ่งที่ก่อความรำคาญจริงๆ ตราบใดที่ร่างของนักสู้ ยังอยู่ในมาตรฐานที่ดีที่สุดของพวกเขา มันจะไม่ส่งผลอะไรต่อพวกเขาเลย อย่างไรก็ตาม ในโลกนี้จะมีสักกี่คนที่ใช้ปราณก่อกำเนิดปรับสภาพร่างกายของเขาได้รวดเร็วเหมือนอย่างที่เย่ว์หยางทำ?
ถ้าเย่คงหรือเจ้าอ้วนไห่มาที่นี่ เขาคาดว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องต่อสู้เลย บางทีแค่เดินอย่างเดียวก็คงทำให้พวกเขาเหนื่อยจนแทบคลานอยู่กับพื้น
เมื่อเจ้าเมืองโล่วฮัวกลับมา เย่ว์หยางก็ตีลังกาลงมายืนกับพื้นแล้ว เขาเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วเหลือประมาณ
พอเห็นเช่นนี้นางถึงกับอึ้ง
ร่างกายของเจ้าเด็กนี่ น่าทึ่งจริงๆ เขาสามารถปรับตัวเองได้ในระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น ก่อนหน้านี้ เขาฝึกฝนตัวเองมาอย่างไรกันแน่? เขาฝึกแต่วิทยายุทธอย่างเดียวหรือ? ต่อให้ฝึกแต่วิทยายุทธอย่างเดียว แต่เขาปรับตัวเข้ากับระดับดังกล่าวภายในเวลาสั้นๆ ได้อย่างไร? ตัวของนางเองต้องใช้เวลาทั้งวันเพื่อปรับตัวให้เข้ากับข้อจำกัดในชั้นสอง ก่อนที่ในที่สุดผลกระทบก็ค่อยๆ หายไป
“นั่นก็ดีเหมือนกัน รักษาร่างกายของเจ้าให้อยู่ในสภาพพร้อมที่สุด เมื่อเราไปถึงชั้นสาม จะมีข้อจำกัดที่กล้าแข็งยิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ทันทีที่เราออกจากปราสาทของมนุษย์ไปแล้ว มีโอกาสสูงที่จะถูกปีศาจจากแดนนรกจู่โจมทำร้ายได้ เจ้าจะต้องระมัดระวังอย่างสูงสุดตลอดเวลา ต้องพร้อมต่อสู้ทุกเมื่อ
เจ้าเมืองโล่วฮัวเตือนเย่ว์หยางต่อขณะที่พวกเขาเดินเข้าประตูเทเลพอร์ตเพื่อส่งตัวไปที่หอทงเทียนชั้นสาม
เย่ว์หยางตระหนักได้ว่าปราสาทแห่งนี้ ใหญ่กว่าเมืองไป๋ฉือเสียอีก ประตูเทเลพอร์ตตั้งอยู่บนยอดเขา และที่ข้างล่างมีทหารเกราะทองเฝ้าคุ้มกันเกินกว่าร้อย ห่างออกไปมีกำแพงขนาดมหึมาสูงราวๆ 40-50 เมตรถูกสร้างติดกับภูเขา ดูเหมือนกำแพงจำนวนมากถูกก่อสร้างโดยใช้ภูเขาเป็นฐาน บนกำแพง จะมีหอเชิงเทินที่มีมือธนูและทหารคอยเฝ้าประจำการ
พอมองดูลงมา อาคารต่างๆ ที่อยู่ข้างล่างก็ยังเหมือนกัน ถูกก่อสร้างโดยใช้ภูเขาเป็นฐาน ไม่ใช่อิฐและกระเบื้อง หลักๆ ก็คือเพื่อความทนทานและดูแลง่าย
บ้านเรือนมีการจัดเรียงตัวเหมือนรังผึ้ง มองดูเผินๆ แล้วยุ่งเหยิง แต่ความจริงมีการจัดเรียงตัวอย่างลงตัวที่สุด
เป็นการช่วยประหยัดทรัพยากรธรรมชาติ โดยใช้ประโยชน์จากการที่มีภูเขาล้อมรอบ
ยังมีหินสีดำขนาดมหึมา 3 ก้อน แต่ละก้อนติดตั้งธงที่แตกต่างกันอยู่บนนั้น เย่ว์หยางจำได้ว่าธงที่อยู่ตรงกลางเป็นรูปมังกรทองเลือดเหล็กของอาณาจักรต้าเซี่ย ธงที่อยู่ด้านซ้ายเป็นธงสุนัขป่าเงินกับพระจันทร์สีทองอมม่วง เย่ว์หยางคาดว่าเป็นธงหมาป่าเทาหอนรับพระจันทร์ของอาณาจักรสื่อจิน ธงทางด้านขวาเป็นธงสีฟ้าประดับด้วยดอกโบตั๋นแดงใจกลางดอกปักด้วยด้ายสีทอง นั่นน่าจะเป็นธงของอาณาจักรเทียนหลัว มีเพียงชั้นที่สามของหอทงเทียนเท่านั้นที่จะเอาธงของอาณาจักรทั้ง 3 มาตั้งเคียงกันได้ เพราะที่นี่ไม่ใช่ทวีปมังกรทะยาน มนุษย์นักสู้ทุกคนต้องมารวมกันเพื่อต้านทานการจู่โจมอย่างบ้าคลั่งของปีศาจ ไม่ว่าจะเป็นอาณาจักรต้าเซี่ย, สื่อจิน, เทียนหลัว หรืออาณาจักรเล็กอื่นๆ พวกเขาไม่สามารถเผชิญเหล่าปีศาจทั้งหมดด้วยลำพังตัวเขาเองได้…
“ไปกันเถอะ ในเมืองเถี่ยฉวนนี้ เรายังจะปลอดภัยอยู่ตราบเท่าที่ยังไม่การโจมตีใดๆ จากกองทัพปีศาจ” เจ้าเมืองโล่วฮัวยอมให้เย่ว์หยางที่ปรับสภาพร่างกายเพื่อต่อต้านพลังจำกัด 3 เท่าในชั้นสามอย่างรวดเร็ว เขาเดินตรงไปที่ประตูเทเลพอร์ตที่อยู่ใต้ภูเขาขนาดย่อมลูกหนึ่ง
“กองทัพปีศาจโจมตีที่นี่บ่อยแค่ไหน?” เย่ว์หยางสังเกตเห็นร่องรอยหลังการต่อสู้เหลืออยู่เป็นจำนวนมาก กลิ่นคาวเลือดยังคงโชยมาในอากาศ
“กองทัพปีศาจจะโจมตีอย่างน้อยครั้งละ 1-3 เดือนเพื่อความมั่นใจ นักรบผู้คอยปกป้องสถานที่แห่งนี้แทบไม่มีเวลาได้พักหายใจ การสู้รบอาจกินเวลาหลายวันหลายคืน ถือเป็นเหตุการณ์ปกติ อย่างไรก็ตาม โชคดีที่กองกำลังชั้นยอดของ 3 อาณาจักร ได้ร่วมมือกันและบางครั้งอาณาจักรเล็กน้อยก็เข้ามาช่วยด้วย ที่แห่งนี้ยังคงยืนหยัดอยู่ได้ตั้งแต่แรกจนถึงการต่อสู้ครั้งล่าสุด
“ถ้าปีศาจที่แข็งแกร่งระดับจ้าวปีศาจเข้ามาโจมตีล่ะ ทหารเหล่านั้นจะต้านทานอยู่ไหม?” เย่ว์หยางสงสัยจริงๆ ที่แห่งนี้ไม่สามารถต้านทานพลังของจ้าวปีศาจได้แน่นอน
“เจ้าพล่ามเรื่องไร้สาระอีกแล้ว ทำไมพวกที่แข็งแกร่งระดับจ้าวปีศาจจะต้องมาที่ชั้นสามเพื่อโจมตีเมืองนี้ด้วยเล่า? พวกเขาเกือบทั้งหมดจะอยู่ที่ชั้นหกหรือไม่ก็ชั้นเจ็ด คอยต่อสู้กับพวกนักสู้ระดับสูง ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีอะไรน่าดึงดูดให้มาโจมตีที่นี่ เมื่อนักสู้ชาวมนุษย์กลับมาที่นี่ พวกเขาสามารถผลักดันพวกปีศาจให้หนีไปได้ แม้ว่าพวกปีศาจจะมีฝีมือเหนือกว่า แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกมันจะสามารถทำลายมนุษย์ได้ การพัฒนาของพวกปีศาจทำได้เพียงฝึกเพื่อให้เป็นปีศาจระดับสูง และขณะเดียวกัน ก็ทำให้เราเหล่ามนุษย์ได้เพิ่มความแข็งแกร่งไปด้วย ในกรณีนี้ก็คือการแข่งขันกันระหว่างมนุษย์กับปีศาจ
“ท่านเจ้าเมืองที่นับถือ! โปรดระวังให้ดี อาจมีปีศาจซ่อนอยู่ตามทางที่ท่านผ่านไปก็ได้ หนึ่งในขุนพลเกราะทองโค้งเคารพเจ้าเมืองโล่วฮัว
“ท่านเป็นเจ้าเมืองๆ นี้หรือ?” เย่ว์หยางตกใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น แม่นางผู้นี้ น่ากลัวจริงๆ โดดเด่นจริงๆ
“ไม่, ข้าจะเป็นเจ้าเมืองของเมืองที่น่ารังเกียจในชั้นสามได้อย่างไร? เมืองของข้าอยู่ที่ชั้นสี่” เย่ว์หยางรู้สึกอยากทิ้งตัวลงกับพื้นทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น ทรงพลัง แม่นางผู้นี้ทรงพลังมากกว่าที่เขาคิดในตอนแรกถึง 10 เท่า
นอกจากแรงโน้มถ่วงที่เพิ่มขึ้นเป็นสามเท่าเมื่อเทียบกับชั้นแรก พื้นที่ชั้นสามยังใหญ่กว่าในชั้นแรกถึง 100 เท่า
เมื่อเย่ว์หยางดูแผนที่ชั้นที่สาม ถูกปีศาจครอบครองไป 60% อีก 40% ครอบครองโดยมนุษย์ เมืองเถี่ยฉวนที่เขาเพิ่งมาถึงไม่ได้เป็นเมืองเพียงเมืองเดียว ยังคงมีเมืองที่คล้ายกันมากกว่าอีก 3 เมือง แต่ขนาดของเมืองเหล่านั้นไม่ได้ใหญ่เท่าเมืองเถี่ยฉวน เพราะเมืองเล็กๆ เหล่านั้นทำหน้าที่เป็นฐานที่มั่นตามธรรมชาติ ในแผนที่มีเกือบ 100 พื้นที่ซึ่งแสดงไว้ด้วยวงกลมสีเงิน ดูเหมือนว่าพื้นที่เหล่านี้เป็นถิ่นของอสูรทอง เนื่องจากไม่ว่ามนุษย์หรือปีศาจก็ไม่สามารถต่อกรกับพวกมันได้ พื้นที่เป็นกลางเหล่านี้จึงได้รับการดูแล
นางพญากระหายเลือดที่เจ้าเมืองโล่วฮัวกำลังพาเย่ว์หยางไปฆ่าอยู่ในพื้นที่ๆ เป็นกลางเหล่านี้แห่งใดแห่งหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ถ้าพลังของจ้าวอสูรทองปรากฏอยู่บริเวณศูนย์กลางพื้นที่เป็นกลาง จากที่เห็น นางพญากระหายเลือดที่อยู่ในบรรดาจ้าวอสูรทองชั้นสามหอทงเทียนนี้ น่าจะเป็นอสูรทองที่อ่อนแอที่สุด ทั้งนี้เป็นเพราะตามแผนที่ พื้นที่ๆ ส่งผลกับพลังที่มันปล่อยออกมาเกือบมีขนาดเล็กที่สุดในหมู่จ้าวอสูรทอง
“อย่าเข้าใจผิด ที่เหนือกว่านางพญากระหายเลือด ก็ยังมีมหานางพญาตนก่อนผู้แข็งแกร่ง มีอิทธิพลและใหญ่ที่สุดในชั้นสาม นางแค่ละทิ้งชั้นสามและย้ายไปที่ชั้นสี่แทน ธิดาของนางขึ้นครองตำแหน่งในฐานะนางพญากระหายเลือด ขณะที่นางเพิ่งจะผ่านการวิวัฒนาการแปรเปลี่ยนรูป นางยังคงอ่อนแอและตัวเล็กกว่าเมื่อเทียบกับอสูรทองอื่น มิฉะนั้นเราจะไม่สามารถสู้กับนางได้ แม้ว่ามารดาของนางพญากระหายเลือดจะจากไปแล้ว แต่นางก็ยังทิ้งหัวหน้าปีศาจซึ่งยากจะต่อสู้ด้วยไว้ถึง 2 ตน คือภูตกรงเล็บสีรุ้ง อสูรทองแดงระดับ 6 นางปีศาจดาบสังหาร อสูรทองแดงระดับ 7 นอกจากนี้ยังมีฮาร์ปี อสูรทองแดงระดับ 2 อีก 20-30 ตนและนางปีศาจแมงมุมดาบ อสูรทองแดงระดับ 3 ซึ่งจัดการกับพวกมันได้ยากจริงๆ” เมื่อเจ้าเมืองโล่วฮัวพูดอย่างนี้ เย่ว์หยางรู้สึกเหมือนกับจะเป็นลมเสียให้ได้
อย่างนั้นก็ไม่ใช่แค่มีแต่นางพญากระหายเลือด
นางพญากระหายเลือดนี้ยังมีบริวารที่คอยดูแลนาง และทั้งสองก็แข็งแกร่ง และยังมีจำนวนมาก เราจะสู้ศึกครั้งนี้อย่างไร?
ภูตกรงเล็บสีรุ้ง อสูรทองแดงระดับ 6 (ภาพหยิบยืมจากเน็ต)