ตอนที่ 4-4 มูลค่ารูปสลัก
บนถนนดรายโร้ดในเมืองเฟนไล อลิซยืนโดดเดี่ยวบนระเบียงชั้นสองของบ้านมือทั้งสองท้าวคางในขณะจ้องมองลงมาที่ถนนในช่วงคนพลุกพล่าน
หลังลินลี่ย์จากไป อลิซก็ใช้เวลาเกือบทุกวันในการเฝ้ามองดูผู้คนบนท้องถนนหวังว่าจะได้พบกับลินลี่ย์อีกสักครั้ง แต่...
“สถาบันกำลังจะเปิดสอนพรุ่งนี้แล้วข้าคงต้องเดินทางกลับในวันนี้” อลิซลอบถอนหายใจพลางชำเลืองมองถนน
นางหวังว่าลินลี่ย์จะมาหานางอีกสักครั้งแต่ผ่านมาสิบวันแล้วก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงา เสียงตะโกนเรียกของเพื่อนสนิทอย่างนีย่าไม่ได้ต้องโสตประสาทเลยแม้แต่น้อย “อลิซ เร็วเข้า!” นีย่า โทนี่ และคาลันยืนรออยู่หน้าประตู
คาลัน นีย่า และโทนี่ต่างเป็นนักเรียนของสถาบันทหารและสถาบันของพวกเขาก็อยู่ไม่ไกลจากสถาบันฝึกสอนจอมเวทของอลิซสักเท่าไรเนื่องจากทั้ง 4 ครอบครัวอาศัยอยู่ในเมืองเฟนไลเหมือนกันจึงมักเดินทางไปพร้อมกันอยู่บ่อยครั้ง
“ก็ได้ๆข้ามาแล้ว!”
อลิซเหลือบมองไปที่ถนนเป็นครั้งสุดท้ายก่อนสะพายเป้แล้วเดินลงบันไดไป
….
เป็นเวลา 3 วันหลังจากอลิซเดินทางออกจากเมืองเฟนไลลินลี่ย์ก็มายืนอยู่เบื้องหน้าที่พักของอลิซ ชะเง้อมองดูบนระเบียงเล็กๆแต่ก็ไม่เห็นใคร
“เฮ้เจ้าไปทำอะไรตรงนั้นกัน!?” ยามวัยกลางคนที่ยืนอยู่หน้าบ้านพักตระโกนใส่ลินลี่ย์
ลินลี่ย์หันมายิ้มให้อย่างสุภาพแล้วเอ่ยตอบ “สวัสดีข้ามาจากสถาบันเวลเลน อลิซเป็นเพื่อนสนิทของข้า นางยังอยู่ที่บ้านหรือไม่?”
“โอ้”ได้ยินดังนั้น ยามผู้นั้นก็เปลี่ยนท่าทีส่งยิ้มให้อย่างรวดเร็ว “อลิซออกเดินทางไปสถาบันตั้งแต่3 วันที่แล้ว นางคงกำลังอยู่ระหว่างการเดินทางเป็นแน่”
“โอว...เข้าใจแล้ว ขอบคุณมาก” ลินลี่ย์เอ่ย
ลินลี่ย์หันกลับมา ทิ้งถนนดรายโร้ดไว้เบื้องหลังเดินออกมาสักพักก็อดหันกลับไปมองระเบียงชั้นสองไม่ได้ ความผิดหวังเล็กๆพลันผุดขึ้นมาในจิตใจ
……….
บนถนนหน้าสถาบันเอินส์
แสงสีขาวฉายออกมาจากแหวนมังกรขนดและกลายเป็นชายแก่ในชุดคลุมสีขาวเดลิน โคเวิร์ทในชุดขาวเอ่ยกับลินลี่ย์อย่างยิ้มแย้ม “ลินลี่ย์เจ้ากำลังหลงรักอลิซใช่หรือไม่?”
“นิดหน่อย”ลินลี่ย์ไม่ปฏิเสธ
เดลิน โคเวิร์ทลูบเคราหัวเราะลั่น“ข้าไม่เคยคิดเลยว่าเจ้า เจ้าเด็กโง่งมอย่างเจ้าจะหลงรักหญิงสาวได้สักวัน แต่ลินลี่ย์...เจ้ากับอลิซอยู่คนละสถาบันสำหรับพวกเจ้าที่อยู่กันคนละที่แล้วมันค่อนข้างยากที่จะพัฒนาความสัมพันธ์อยู่ไม่น้อย”
“ข้ารู้คงต้องแล้วแต่พรหมลิขิต ถ้าเราเกิดมาคู่กันย่อมเป็นตามนั้นหากไม่ใช่ข้าก็จะลืมเสีย” ลินลี่ย์อดคิดไม่ได้ว่าหากเขาได้ครองคู่กับอลิซจะดีเพียงใด
พลันคิดไปถึงใบหน้าหวาดกลัวของนางยามเผชิญกับหมูศึกกระหายเลือด
ท่าทีเขินอายของนางยามพวกเขาพูดคุยกันระหว่างเดินทางกลับจากเทือกเขาอสูรเวท
และรูปโฉมของนางภายใต้แสงจันทร์สาดส่องช่างงดงามดุจเทพธิดาแห่งดวงจันทร์
…..
“รักแรกพบที่ใครเคยกล่าวถึงคงเป็นเช่นนี้กระมัง” ลินลี่ย์กล่าวกับตนเอง ตอนอายุเท่านี้เหล่าพี่น้องในหอพักของเขาต่างก็เคยคบหากับหญิงสาวกันหมดแล้วโดยเฉพาะเยลกับเรย์โนลด์ที่มีคนรักคนแรกตั้งแต่อายุน้อยกว่านี้
ลินลี่ย์อดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้ภาวนาให้ความสัมพันธ์นี้ยาวนานตราบเท่านาน
…..
ที่สถาบันเอินส์ ลินลี่ย์ยังคงเป็นนักเรียนที่มุ่งมั่นและฝึกฝนอย่างหนักทุกวันเขาจะใช้เวลาส่วนหนึ่งฝึกฝนในโรงเรียนเหล็กสกัดพลังทั้งในการเชื่อมต่อกับธาตุและแก่นพลังวิญญาณต่างเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
เพียงกระพริบตา หนึ่งเดือนก็ผ่านพ้นไป
ตามกำหนดการเดิม ลินลี่ย์และเหล่าพี่น้องจะนำรูปสลักใหม่3 ชิ้นไปยังเมืองเฟนไล เพื่อส่งมอบให้ตัวแทนของหอศิลป์พรูกซ์ ออสโทนี่
“เกือบ15,000 เหรียญทอง?แพงขนาดนั้นเชียวหรือ?” ลินลี่ย์รู้สึกประหลาดใจกับราคาของรูปสลักที่ถูกประมูลไปครั้งก่อน
ออสโทนี่หัวเราะลั่น “ท่านลินลี่ย์นี่ยังถือว่าปกติ มูลค่ารูปสลักของช่างผู้เชี่ยวชาญย่อมมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1,000 เหรียญทองและที่หอศิลป์พรูกซ์ส่งจดหมายเชิญให้ท่านก็เนื่องจากท่านเป็นจอมเวทอัจฉริยะอายุ 15ปีที่เชี่ยวชาญด้านการแกะสลักจากสถานภาพของท่านเพียงอย่างเดียวก็ทำให้ราคาของรูปสลักนี้เพิ่มขึ้นหลายเท่าจากปกติ”
“และที่สำคัญ...รูปสลักของท่านยังปกคลุมไปด้วยบรรยากาศที่เป็นเอกลักษณ์แม้ว่าผู้อื่นจะแกะสลักได้สวยงามเพียงใด ในด้านความเรียบเนียนเป็นเนื้อเดียวกันย่อมต้องมีตำหนิอยู่บ้างแต่ลวดลายแกะสลักของท่านนั้นงดงามเป็นเนื้อเดียวกันคนดูไม่สามารถบอกได้เลยว่าจุดไหนท่านใช้สิ่วตรงจุดไหนท่านใช้สิ่วปีกผีเสื้อรูปสลักจึงสมบูรณ์แบบไร้ตำหนิ”
ได้ยินดังนี้ลินลี่ย์ก็หัวเราะ
ร่องรอยจากการเปลี่ยนเครื่องมืออย่างนั้นหรือ?
ตั้งแต่เริ่มจนเสร็จสิ้นการแกะสลักของเขาใช้เพียงเหล็กสกัดตรงเพียงชิ้นเดียว ไม่ได้ใช้เครื่องมืออื่นอีกเป็นธรรมดาที่จะเรียบเนียนไร้ตำหนิ
“ลักษณะเด่นนี้ประกอบกับชาติกำเนิดของท่านในตระกูลขุนนางบรรยากาศอันเป็นเอกลักษณ์ที่แผ่ออกจากรูปสลัก และสถานภาพในปัจจุบันของท่านจึงเป็นเหตุให้รูปสลักมีราคาสูงถึง 5,000 เหรียญทองสิ่งเดียวที่ทำให้ราคาของรูปสลักไม่สูงไปว่านี้คือความบกพร่องเล็กน้อยในลวดลายการแกะสลักของท่าน”ออสโทนี่อธิบายและชื่นชม
ลินลี่ย์เข้าใจแจ่มแจ้ง
“ความบกพร่องเล็กน้อย?” ลินลี่ย์สั่นหัวเพราะเขาใช้เพียงเหล็กสกัดตรง แม้ว่าจะให้ลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์เพียงใดแต่ในด้านประสิทธิภาพ ย่อมเป็นธรรมดาที่ไม่สามารถเทียบกับเครื่องมีเฉพาะอย่างสิ่วปีกผีเสื้อและสิ่วโค้งได้เลย
ในขณะเดียวกันก็ต้องถอนหายใจอย่างอดไม่ได้
รูปสลักเพียง 3 ชิ้นกลับมีราคาสูงถึง 15,000 เหรียญทองเงินจำนวนนี้ได้มาอย่างง่ายดายนัก ถ้ามุ่งมั่นแกะสลักสัก 1 เดือนคงทำได้สัก 10ชิ้น
รูปสลัก 10 ชิ้นหมายถึงเงิน 50,000 เหรียญทอง!
“ข้าใช้เวลา2 เดือนในเทือกเขาอสูรเวท ฝ่าภัยอันตรายและประสบการณ์เสี่ยงตายนับครั้งไม่ถ้วนหลังจากสังหารเหล่านักฆ่าไปมากมายยังได้เพียง 70,000 เหรียญทองการแกะสลักนี่ช่างไม่ต่างอะไรกับการขโมยเงินเสียจริง”ถอนหายใจอีกครั้งอย่างอดไม่ได้
มูลค่ารูปสลักของลินลี่ย์ถือว่ามีราคาสูงแม้แต่ในหมู่ผู้เชี่ยวชาญด้วยกัน
“ถ้าผู้เชี่ยวชาญด้านการแกะสลักยังทำเงินได้ขนาดนี้แล้วปรมาจารย์ด้านการแกะสลักเล่า...” หัวใจลินลี่ย์กระตุกเบาๆ
ยิ่งลินลี่ย์รู้จักกับอาชีพนี้มากเท่าไรก็ยิ่งประหลาดใจมากเท่านั้นเหมือนว่าในวงการนักแกะสลักเองก็มีความแตกต่างอย่างมากในเรื่องของรายได้ ขนาดในสหภาพศักดิ์สิทธิ์เองยังมีผู้เชี่ยวชาญด้านการแกะสลักอยู่ไม่ถึงร้อยคนบอกได้เลยว่าหายากเพียงใด
“ท่านลินลี่ย์ได้โปรดฝึกฝนอย่างหนัก ข้าเชื่อว่าท่านจะกลายเป็นปรมาจารย์ด้านการแกะสลักที่ยอดเยี่ยมในสักวัน”ออสโทนี่กล่าวอย่างกระตือรือร้น
เหล่าปรมาจารย์ด้านการแกะสลักไม่เพียงแต่สร้างรูปสลักที่มีมูลค่ามหาศาลเท่านั้นพวกเขายังมีสถานะทางสังคมที่สูงส่งอีกด้วยยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโครงสร้างประติมากรรมโบราณแม้แต่เหล่าขุนนางที่ทรงอำนาจก็ไม่อาจดูแคลน
ปรมาจารย์!
ช่างเป็นสมญานามที่ยิ่งใหญ่เสียจริงไม่ใช่สิ่งที่มีแค่เงินและอำนาจจะหามาได้มีเพียงอัจฉริยะบุคคลที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของศาสตร์แต่ละแขนงเท่านั้นที่จะได้รับเกียรติขนานนามว่า ‘ปรมาจารย์’