ตอนที่ 3-26 สีม่วงในสายลมยามราตรี (2)
ในยามราตรี เหล่าพี่น้องจากหอพัก 1987 กำลังเดินอยู่บนถนนมุ่งสู่สถาบันเอินส์ ต่างพากับพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นใน2 เดือนที่ผ่านมา
“ร้ายกาจถึงขนาดนั้น?” เรย์โนลด์ตกตะลึงเมื่อเลิกเสื้อขึ้นแล้วเห็นรอยแผลเป็นคาดยาวอยู่บนแผ่นอกของลินลี่ย์เขากลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว จอร์จที่เดินอยู่ข้างๆเงียบสนิทไม่มีคำพูดใดๆมีเพียงเยลที่หัวเราะลั่น “ฮ่าฮ่า พวกเจ้าช่างอ่อนประสบการณ์เสียจริงเมื่อข้ายังเด็ก ข้าก็ได้เห็นสิ่งที่เลวร้ายกว่านี้มามากแล้ว”
“พี่ใหญ่เยล เจ้าพูดจริงหรือ?” เรย์โนลด์พูดด้วยความประหลาดใจ
เยลยิ้มอวดโอ่ “แน่นอนข้าย่อมพูดความจริง ข้าได้เห็นอะไรมามากเช่นกันยกตัวอย่างการทรมานนักโทษจนตาย หรือบังคับให้มนุษย์สู้กับอสูรเวทด้วยมือเปล่าโดยมีพวกคนรวยวางเดิมพันอยู่รอบๆเป็นสิ่งที่เหี้ยมโหดอำมหิตยิ่ง”
ได้ยินคำพูดของเยล ลินลี่ย์ก็สามารถสร้างมโนภาพในใจ
“ดีจริงๆ ที่ได้เข้ามาเรียนในสถาบัน” จอร์จถอนหายใจ
ลินลี่ย์พยักหน้าอย่างเห็นด้วย ในเวลาค่ำคืนเช่นนี้จะสามารถพบเห็นเหล่าคู่รักเดินด้วยกันตามถนน บ้างกุมมือกันบ้างก็นั่งเคียงกันบนหลังอสูรเวท ชีวิตในสถาบันช่างสะดวกสบายนัก
“ถูกต้อง พี่ใหญ่เยล ทำไมเจ้าไม่ใช้เวลาคืนนี้ร่วมกับคนรักเจ้าเล่า? เหตุใดจึงรีบออกมานัก?” เรย์โนลด์ถามขึ้นทันที
เยลกล่าวอย่างไม่พอใจ “คนรัก? พี่น้องเราเพิ่งเดินทางกลับมาจากเทือกเขาอสูรเวทหลังจากเผชิญสถานการณ์เฉียดตายยังจะให้ข้าไปใช้เวลาอยู่กับหญิงสาวอีกอย่างนั้นหรือ? เรย์โนลด์ จำคำข้าไว้นะ: พี่น้องเปรียบเหมือนแขนขาในขณะที่ผู้หญิงเปรียบเหมือนเสื้อผ้า พวกนางมีอยู่เพื่อความสำราญเท่านั้น”
ท่าทีไม่พอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเรย์โนลด์ทันที
“ลินลี่ย์!” จู่ๆ ก็มีน้ำเสียงประหลาดใจดังขึ้นมาจากที่ห่างออกไป
ลินลี่ย์และคนอื่นๆต่างหันไปมองร่างระหงเพรียวบางของหญิงสาวผู้งดงามผู้มีผมสีทองที่กำลังวิ่งเข้ามาอย่างยินดีเมื่อมาถึงเบื้องหน้าของลินลี่ย์นางก็กล่าวอย่างยินดี “ลินลี่ย์เจ้ากลับมาจากเทือกเขาอสูรเวทแล้วอย่างนั้นหรือ? ช่างน่ายินดียิ่ง เจ้าหายไปถึง 2 เดือนทำเอาข้าเป็นห่วงมากเจ้าบาดเจ็บหรือไม่?”
“ดีเลีย, ข้าสบายดี” ลินลี่ย์หัวเราะขณะตอบ
ดีเลียเป็นอีกคนที่ลินลี่ย์ได้พบเมื่อเข้ามาศึกษาในสถาบันพวกเขาสนิทสนมกันพอสมควร เวลาเด็กหนุ่มอยู่กับดีเลีย ลินลี่ย์รู้สึกผ่อนคลายและเป็นธรรมชาติเหมือนกับตอนเขาอยู่กับพี่น้องในหอพัก1987
“ดีเลีย รถม้าของท่านลุงกำลังรอเราอยู่ อย่ามัวแต่เสียเวลา” น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้น
เมื่อหันไปมอง ลินลี่ย์เห็นเด็กหนุ่มในชุดคลุมยาวยืนห่างออกไปเป็นพี่ชายของดีเลีย ดิ๊กซี่ หนึ่งในสองอัจฉริยะของสถาบันเอินส์นั่นเอง ชุดของดิ๊กซี่สะอาดสะอ้านและประณีตไม่มีฝุ่นละอองหรือรอยยับแม้สักรอย ดวงตาทั้งสองกระจ่างและเยือกเย็น
“โอว!” เอ่ยด้วยน้ำเสียงผิดหวัง ดีเลียมองลินลี่ย์ “ลินลี่ย์! ท่านพ่อสั่งให้ข้าและท่านพี่กลับบ้าน รถม้าของเรารออยู่ด้านนอกแล้วข้าต้องขอตัวก่อน”
“ไม่เป็นไร, ดีเลีย, ไว้ค่อยคุยกันตอนเจ้ากลับมาก็ได้” ลินลี่ย์ยิ้มตอบคำ
“ก็ได้ งั้นไปก่อนนะ” ดีเลียดูผิดหวังที่ไม่มีเวลามากพอสนทนากับลินลี่ย์ ดิ๊กซี่เดินมาหาพวกเขาเช่นกันเขาโอบไหล่ดีเลียและเริ่มเดินจากไป แต่ทันใดนั้น ดิ๊กซี่ก็หันมาจ้องลินลี่ย์“ลินลี่ย์ ข้าได้ยินว่าเจ้าสำเร็จการฝึกฝนในเทือกเขาอสูรเวทแล้วขอแสดงความยินดีด้วย”
ลินลี่ย์ตะลึง
ดิ๊กซี่ผู้นี้พูดกับเขาจริงๆ หรือ?
ความเย็นชาและการตีตนออกห่างจากผู้อื่นของดิ๊กซี่เป็นที่เล่าลือกันทั่วในสถาบันเอินส์คนส่วนใหญ่มักรู้สึกว่าตนเองต่ำต้อยและกดดันเมื่อยืนใกล้กับดิ๊กซี่โดยเฉพาะยามเมื่อเขาใช้สายตาคมนั้นจ้องมองก็สร้างแรงกดดันมากพอให้คนหนึ่งเสียสติได้
“โอ้ ขอบคุณ” ลินลีย์ตอบ
ดิ๊กซี่เพียงแต่พยักหน้าและพาน้องสาวเดินออกจากประตูสถาบันไป
….
ออสโทนี่เหลือบมองลินลี่ย์อย่างระมัดระวังและถอนหายใจอย่างพิศวง “ลินลี่ย์ข้าต้องกล่าวว่าเจ้าเป็นอัจฉริยะ ยอดอัจฉริยะ! เด็กหนุ่มอายุ 15 ผู้เป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะของสถาบันอันดับหนึ่งบนแผ่นดินยูลานและยังเป็นผู้เข้าถึงทักษะชั้นสูงเหลือเชื่อในศิลปะงานประติมากรรม”
“คำเดียวที่จะจำกัดความเจ้าได้คือมหัศจรรย์!”
“หากไม่นับที่ท่านเป็นอัจฉริยะด้านเวทแล้ว แม้แต่ในโลกของศิลปะ ในยุคสมัยนี้นักแกะสลักส่วนใหญ่ที่มีคุณสมบัติเพียงพอจะได้รับคำเชิญให้มาตั้งซุ้มส่วนตัวในหอผู้เชี่ยวชาญนี้ได้ล้วนมีอายุอย่างน้อย40 ปี เจ้าถือเป็นคนที่มีอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ มีอัจฉริยะบุคคลเพียง 2 คนที่สามารถเปรียบกับเจ้าได้แต่ความแตกต่างของเจ้า...ไม่เพียงแต่เป็นปฏิมากรอัจฉริยะ แต่เป็นจอมเวทอัจฉริยะด้วยโอว...อัจฉริยะจริงๆ”
คำชื่นชมของออสโทนี่ทำให้ลินลี่ย์เขินจนไม่รู้จะพูดอะไร
“ออสโทนี่ อย่ามัวแต่เสียเวลา รีบๆทำให้เสร็จ พวกเรา 4พี่น้องต้องไปสังสรรค์ต่ออีก” เยลบ่น
ตอนนี้ออสโทนี่เหมือนจะเริ่มรู้สึกตัว เขารีบร้อนดึงบัตรเครดิตเวทสีเงินออกจากปึกเอกสารยิ้มแย้มแล้วส่งมอบให้ลินลี่ย์ “ลินลี่ย์ บัตรเครดิตเวทสีเงินนี้ออกโดยธนาคารทอง 4จักรวรรดิ เพื่อแสดงว่าเจ้าเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านประติมากรรมของเรา ในอนาคตเงินที่ได้จากการผลงานศิลปะของเจ้าจะถูกโอนเข้าบัญชีที่เชื่อมโยงกับบัตรใบนี้”
“ตอนนี้ บัตรเครดิตเวทสีเงินใบนี้ยังไม่ได้ระบุเจ้าของ โปรดใช้ลายนิ้วมือของเจ้าแสดงความเป็นเจ้าของเพื่อการใช้งานในอนาคตของเจ้าด้วย”ออสโทนี่มอบบัตรเครดิตเวทให้ลินลี่ย์ด้วยความเคารพ และกล่าวอย่างกระตือรือร้น“ลินลี่ย์ ข้าอยากถามว่าเจ้าจะส่งงานประติมากรรมของเจ้ามาอีกหรือไม่?”
ลินลี่ย์พยักหน้าเล็กน้อย “ข้ายังมีอีก 3 ชิ้น”
ออสโทนี่ยิ้มเฉิดฉันท์ทันที
….
ค่ำคืนนั้น ณ สวรรค์น้ำหยก ลินลี่ย์ จอร์จและหญิงบริการอีก 2คนกำลังนั่งอยู่ตามลำพัง พูดคุยและหัวเราะอย่างสนุกสนานในขณะที่เรย์โนลด์และเยลขึ้นไปเปิดห้องร่วมกับหญิงบริการเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว
“ให้ตายสิ เจ้าสองคนนั่น ทั้งพี่ใหญ่เยลทั้งน้องสี่...” ลินลี่ย์จิบไวน์แก้วหนึ่งแล้วพูดกับจอร์จที่กำลังหัวเราะกับบทสนทนาของหญิงสาว“พี่รอง หัวข้าเริ่มมึนไปหมดแล้ว ข้าจะออกไปสูดอากาศสักครู่”
“ตามสบาย” จอร์จตอบแล้วหันกลับไปพูดคุยกับคู่สนทนาต่อ
ลินลี่ย์เดินลงบันไดและก้าวออกจากสวรรค์น้ำหยก เมื่อออกจากอาคารลินลี่ย์ก็สัมผัสถึงสายลมเย็นสบายพัดผ่านช่วยให้จิตใจเขาปลอดโปร่ง เมื่อเทียบกับบรรยากาศในสวรรค์น้ำหยกแล้วด้านนอกกลับรู้สึกโล่งสบายและสงบกว่ามาก ลินลี่ย์เริ่มออกเดินเล่นไปตามถนนรอบเมืองเฟนไล
สายลมเย็นยามค่ำคืนช่างสดชื่น
มีคฤหาสน์ของชนชั้นสูงจำนวนหนึ่งตั้งอยู่บนถนน แต่เมื่อเทียบกับถนนใบไม้เขียวแล้วก็สัมผัสได้ว่าบริเวณนี้เป็นของตระกูลที่มีอำนาจด้อยกว่าและบนระเบียงชั้นสองของคฤหาสน์แห่งหนึ่ง อลิซกำลังยืนรับสายลมอยู่เช่นกัน
เมื่อมองดูดวงจันทร์ส่องสว่างในท้องนภาใสกระจ่าง อลิซอดคำนึงถึงลินลี่ย์มิได้ชายหนุ่มที่ช่วยชีวิตนางไว้
เวลานั้น ขณะที่อลิซตกอยู่ในความกลัว เขาได้ปรากฏกายประหนึ่งลงมาจากสรวงสวรรค์สังหารหมูศึกกระหายเลือดและช่วยชีวิตนางไว้การกระทำนั้นสั่นคลอนจิตใจของนางอย่างลึกซึ้งเหมือนว่าเหตุการณ์ในครานั้นได้ประทับลงบนดวงวิญญาณของนาง
“พี่ลินลี่ย์ช่างสุขุมนัก แม้กระทั่งเวลากล่าวถึงทฤษฎีเวทเขาก็ยังน่าหลงใหล”รอยยิ้มบางๆปรากฏบนในหน้าของอลิซยามนึกถึงครานั้น
ในตอนนั้น อลิซก็เห็นร่างหนึ่งกำลังเดินอยู่บนถนนเบื้องล่างใบหน้าของเขาช่างดูคุ้นตานัก เมื่อเพ่งดูชัดๆแล้วนางก็จำเขาได้ในทันทีรอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้า นางโบกมือและตะโกนเรียกเขา “พี่ลินลี่ย์ พี่ลินลี่ย์!”
ลินลี่ย์ที่กำลังดื่มด่ำกับสายลมเย็นยามค่ำคืนบนท้องถนนมองขึ้นไปด้านบนเมื่อได้ยินเสียงเรียก
บนระเบียงไม่ไกลออกไปมากนักปรากฏร่างโปร่งในชุดสีม่วง แสงจันทร์นวลส่องสว่างอยู่เบื้องหลังชายกระโปรงสีม่วงพริ้วไหวเมื่อต้องสายลม ผมยาวสยายแนบลำตัว ทันใดนั้นลินลี่ย์ก็พลันได้กลิ่นกายอ่อนๆของอลิซ
กลิ่นกายที่ชวนหลงใหล “อลิซ...” ลินลี่ย์ไม่สามารถห้ามตัวเองไม่ให้เดินเขาหาระเบียงนั้นได้เลย