ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 64 ศิษย์เอ๋ย อย่าทำให้อาจารย์ลุงของเจ้าอับอายเกินไป
ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 64 ศิษย์เอ๋ย อย่าทำให้อาจารย์ลุงของเจ้าอับอายเกินไป
“เป็นเคล็ดวิชาลับระดับสวรรค์อย่างแท้จริง…”
“เพลิงกรรมบงกชแดง!”
ในขณะนี้เหออู๋ซวงซึ่งยืนอยู่ข้างหลังสหายเต๋าเทียนทงอก็ได้เผยสายตาที่อิจฉาออกมาเช่นกัน เขาเป็นบุตรแห่งสวรรค์และมีสถานะสูงส่ง อย่างไรก็ตาม เขายังไม่มีเคล็ดวิชาลับระดับสวรรค์ให้ฝึกฝนด้วยซ้ำ
เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจ้าวว่านเอ๋อที่เพิ่งเข้ามาสำนักได้หนึ่งเดือนนั้น เย่ชิวก็ได้สอนเคล็ดวิชาลับระดับสวรรค์ให้นางแล้ว
การดูแลศิษย์เช่นนี้คืออะไรกัน
“ไม่น่าแปลกใจเลยที่นางไร้ซึ่งความหวาดกลัว นางได้ซ่อนความแข็งแกร่งของนางไว้นี่เอง”
ทุกคนตกใจและมองไปยังเย่ชิวด้วยความประหลาดใจ
ฉีอู๋ฮุ่ยมองไปยังเย่ชิวด้วยท่าทางที่น่าเกลียดและกล่าวว่า “ศิษย์น้องเย่ เจ้าเต็มใจที่จะมอบเคล็ดวิชาลับระดับสวรรค์ให้กับศิษย์ที่เพิ่งเข้าสำนักหรือ”
เย่ชิวยักไหล่และพูดว่า “ข้าไม่เคยปิดบังอะไรจากศิษย์ของข้า ข้าจะสอนทุกอย่างที่นางอยากเรียน ในสายตาของข้า ข้าไม่สนใจพื้นหลังของพวกเขา ตราบใดที่พวกเขาเป็นศิษย์ของข้าและศึกษาอย่างถ่อมตน ข้ายินดีที่จะสอนพวกเขาทุกอย่าง”
ทุกคนส่งสายตาอิจฉาทันทีเมื่อได้ยินเช่นนี้
ช่างใจกว้างเกินไป พวกเขาสามารถเรียนรู้อะไรก็ได้ที่พวกเขาต้องการ เหตุใดเคล็ดวิชาลับระดับสวรรค์จึงดูไร้ค่าราวกับของหาง่ายเช่นนี้
สิ่งที่ทำให้เมิ่งเทียนเจิ้งและคนอื่น ๆ ประหลาดใจก็คือเย่ชิวไปเอาเคล็ดวิชาลับเหล่านี้มาจากไหน อาจเป็นเคล็ดวิชาล้ำค่าที่สืบทอดกันมาของขุนเขาเมฆาม่วงหรือไม่
ขุนเขาทุกแห่งต่างมีเคล็ดวิชาลับเฉพาะเป็นของตนเอง คนนอกจึงไม่รู้อะไรมากนัก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้ว่ามรดกที่ซวนเทียนเจินเหรินทิ้งไว้ให้เย่ชิวนั้นมีมากมายเพียงใด
คำพูดของเย่ชิวส่งผลกระทบอย่างมากต่อทุกคนที่อยู่ตรงนั้น
บางคนเริ่มรู้สึกเสียใจขึ้น หากพวกเขารู้ว่าขุนเขาเมฆาม่วงนั้นดีเลศเช่นนี้ พวกเขาคงจะคำนับเย่ชิวเป็นอาจารย์ของไปแล้วในตอนนั้น
ทว่าพวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากเสียใจ ทำได้เพียงเฝ้าดูคนอื่นเรียนรู้สิ่งที่พวกเขาต้องการเท่านั้นและก้าวตามหลัง ใช้เคล็ดวิชาลับทั่วไปในการฝึกฝน
ฉีอู๋ฮุ่ยกัดฟันเพราะคำพูดของเย่ชิวได้เอาชนะใจผู้คนทันที
ใครจะกล้าปฏิเสธอาจารย์ผู้ไม่เคยปิดบังอะไรจากศิษย์เช่นนี้กันบ้าง
แม้แต่หลินชิงจู้ที่ยืนอยู่ข้างหลังเย่ชิวก็รู้สึกเป็นเกียรติจากก้นบึ้งของหัวใจ หลังจากได้เห็นสีหน้าของปรมาจารย์ขุนเขาเหล่านี้แล้ว นางก็มีความสุขมากที่นางมีอาจารย์ที่ปฏิบัติต่อนางราวกับครอบครัว
แม้แต่เซียวอี้ก็รู้สึกว่าสถานะของเขาได้เพิ่มขึ้น ตอนนี้เขายืนอยู่ในฝ่ายของขุนเขาเมฆาม่วง เขารู้สึกยืนดีมากเมื่อเห็นสายตาอิจฉาริษยารอบตัวเขา
ฮี่ฮี่ เทพเย่ก็คือเทพเย่ อ่า… ความรู้สึกนี้ช่างสุดยอดยิ่งนัก พวกเจ้าอิจฉาใช่หรือไม่ จงอิจฉาต่อไป ดูไว้ นี่คือสิ่งที่ยอดฝีมือควรกล่าว อาจารย์จะปิดบังศิษย์ได้อย่างไร เกรงว่าศิษย์จะทำให้อาจารย์อดตายหรือ
เซียวอี้รู้สึกสบายใจอย่างมากและเขารู้สึกเหมือนวิญญาณของเขาได้หลุดออกร่างก็ว่าได้ การได้ติดตามยอดฝีมือเช่นนี้ทำให้เขามีท่าทางราวกับตนเองยอดฝีมือคนนั้นก็ว่าได้
บนลานประลอง การแสดงออกของหลินอี้บูดบึ้งเป็นอย่างมากเมื่อเขาเห็นว่าเปลวไฟของเขาถูกอีกฝ่ายกลืนกินไปจนหมด เขารู้สึกละอายใจอย่างยิ่งเมื่อเห็นสายตาเหยียดหยามที่อยู่ด้านล่างลานประลอง
ตั้งแต่ต้นเขาเป็นคนที่โอ้อวดก่อน ทว่าเมื่อเริ่มต่อสู้กันเขากลับเป็นฝ่ายด้อยกว่า
ในอนาคตเขาจะมีหน้าในสำนักเยียวยาสวรรค์ได้อย่างไร
“บัดซบ!” หลินอี้โกรธจัดด้วยความอัปยศอดสูและชักกระบี่ออกมาทันที เนื่องจากเปลวเพลิงของเขาไม่ได้อยู่ระดับเดียวกันกับอีกฝ่าย เขาจะอาศัยพละกำลังของเขาเพื่อบดขยี้นางและกอบกู้ศักดิ์ศรีกลับคืนมา
กระบี่เล่มนั้นได้ฟาดฟันอย่างดุร้ายด้วยความรวดเร็วเป็นอย่างมาก ทุกคนต่างคิดว่าการต่อสู้อาจจบลงในชั่วพริบตา
ทุกคนเริ่มกังวลเกี่ยวกับจ้าวว่านเอ๋อ แม้ว่าเมื่อครู่นางจะน่าทึ่งและครอบครองเปลวไฟที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกก็ตาม ทว่านางเพิ่งเข้ามาในสำนักได้เพียงเดือนเดียว ระดับพลังยุทธ์ของนางมีมากเพียงใดกัน
“ระวัง” มีคนตะโกน ทว่านางไม่สนใจเขา
จ้าวว่านเอ๋อยังคงยืนนิ่งราวกับภูเขา เมื่อนางเห็นว่าหลินอี้มาอยู่ข้างหน้านางแล้ว นางจึงยกมือขวาขึ้นเบา ๆ และกลิ่นอายขอบเขตสวรรค์ก็ปะทุขึ้น
ทันใดนั้นนิ้วสองนิ้วก็ได้หนีบกระบี่ของหลินอี้ไว้อย่างแม่นยำ
“นี่…”
“ขอบเขตสวรรค์…”
“เป็นไปได้อย่างไรกัน”
ฉีอู๋ฮุ่ยยืนขึ้นทันทีและหันไปมองเย่ชิวที่สงบนิ่ง
“นางบรรลุขอบเขตสวรรค์หลังจากบ่มเพาะเพียงหนึ่งเดือน นี่มันพรสวรรค์อันใดกัน”
แม้แต่สหายเต๋าเทียนทงยังแสดงสีหน้าตกใจ ในทางกลับกัน เมิ่งเทียนเจิ้งดูสงบกว่ามาก เขาดาดเดาได้ตั้งแต่แรกแล้ว ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่หลินชิงจู้มอบให้เขาในตอนนั้นยังคงแจ่มแจ้งอยู่ในใจของเขา
การต่อสู้ในขณะนี้เปลี่ยนเป็นไร้ความหมายทันทีเมื่อการฝึกฝนขอบเขตสวรรค์ของจ้าวว่านเอ๋อถูกเปิดเผยออกมา
นางได้เตะหลินอี้ออกจากลานประลอง และการต่อสู้ก็จบลง
ในเดือนที่ผ่านมา นางได้ต่อสู้กับหลินชิงจู้หลายครั้ง ดังนั้นประสบการณ์การต่อสู้ของนางจึงไม่ได้ย่ำแย่นัก
หลังจากการต่อสู้สิ้นสุดลง จ้าวว่านเอ๋อก็เผยรอยยิ้มอย่างอ่อนโยนและมองไปยังผู้ตัดสินซูเฟิง
“การประลองนัดแรกของการประลองยุทธ จ้าวว่านเอ๋อแห่งขุนเขาเมฆาม่วงกับหลินอี้แห่งขุนเขากระบี่เร้นลับ จ้าวว่านเอ๋อชนะ”
“มันจบแล้ว”
ทุกคนนั้นนิ่งเงียบ ก่อนที่ใครจะทันได้โต้ตอบ การประลองก็ได้สิ้นสุดลงแล้ว
“เหลือเชื่อ นางเข้าสู่ขอบเขตสวรรค์ภายในหนึ่งเดือนได้อย่างไรกัน”
“เป็นไปได้ไหมว่าขุนเขาเมฆาม่วงมีสมบัติสวรรค์นับไม่ถ้วนและมอบเม็ดยาล้ำค่าแก่นาง”
ทุกคนมองไปยังเย่ชิวด้วยความสงสัย ทว่าเขาไม่ได้อธิบายอะไร
หลังจากประกาศ จ้าวว่านเอ๋อก็ได้เดินลงมาอย่างสง่างามและกลับไปยังด้านข้างของเย่ชิว
“ท่านอาจารย์ ข้าทำภารกิจสำเร็จแล้ว”
เย่ชิวมีความสุขมาก แน่นอนว่าเขาได้ยินการสนทนาทั้งหมดรอบตัวเขา
น่าพอใจยิ่งนัก
อย่างไรก็ตาม เขายังคงสงบนิ่งราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เขาจงใจพูดกับจ้าวว่านเอ๋อด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ศิษย์เอ๋ย ข้าบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่าให้แสดงความเมตตาและอย่าทำให้อาจารย์ลุงฉีของเจ้าต้องอับอาย”
นี่คือความอัปยศอดสูอันใด
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ดังออกมา ทั้งสถานที่ก็เงียบลง พวกเขามองไปยังสีหน้าที่ดำสนิทของฉีอู๋ฮุ่ยทันควัน
ความโหดร้ายของประโยคนี้ร้ายแรงยิ่งกว่าการโจมตีด้วยพละกำลังจากปรมาจารย์ยุทธขั้นสมบูรณ์เสียอีก
จ้าวว่านเอ๋อเข้าใจว่าเย่ชิวหมายถึงอะไรและแสร้งทำเป็นหดหู่ นางขอโทษฉีอู๋ฮุ่ยทันที “อาจารย์ลุงฉี ข้าขอโทษด้วย ข้าไม่ได้คิดว่าเขาจะอ่อนแอเช่นนี้ ข้าผิดไปแล้ว”
ฉีอู๋ฮุ่ยโมโหทันทีที่ที่ได้ยิน เขาตบเก้าอี้ด้วยความโกรธเกรี้ยวและลุกขึ้นยืน พร้อมมองไปยังเย่ชิวและจ้าวว่านเอ๋ออย่างเย็นชา
บัดซบ อาจารย์และศิษย์คนนี้จงใจกระทำเช่นนี้ใช่หรือไม่
“ศิษย์พี่ฉี นางนั้นไร้ความรู้สึก โปรดยกโทษให้นางสักครั้ง”
สีหน้าของฉีอู๋ฮุ่ยมืดลงกว่าเดิมเมื่อได้ยินเย่ชิวเกลี้ยกล่อม
“ฮึ่ม…” ฉีอู๋ฮุ่ยสะบัดแขนเสื้อด้วยความโกรธและนั่งลงโดยไม่พูดจา
ในตอนแรกเขาคิดว่าชัยชนะอยู่ในกำมือของตนและพร้อมที่จะทำให้เย่ชิวเสียหน้า ใครจะไปคิดว่าโชคชะตาจะพลิกทันที เป็นเขาเองที่อับอายขายขี้หน้า
ในตอนนี้เขามีเจตนาสังหารแฝงอยู่
ศิษย์จากขุนเขาอื่นต่างหัวเราะแทบตายเมื่อเห็นสิ่งนี้ พวกเขาไม่ได้คาดหวังเลยว่าอาจารย์ลุงเย่ผู้ซึ่งสงบเสงี่ยมจะเจ้าเล่ห์เพียงนี้
“ฮ่าฮ่า อาจารย์ลุงเย่ช่างโหดเหี้ยมเกินไป! ช่างเป็นคำพูดที่โหดร้ายยิ่งนัก”
“ข้าตัดสินใจแล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าคือสาวกตัวยงของอาจารย์ลุงเย่”
“ข้าสามารถจินตนาการได้ว่าอาจารย์ลุงฉีอาจมีเจตนาสังหารด้วยว้ำ”
“ทว่าด้วยเหตุผลบางอย่าง ข้ากลับรู้สึกดียิ่งนัก”
อาจเป็นเพราะฉีอู๋ฮุ่ยเป็นผู้อาวุโสฝ่ายวินัยมาหลายปีและได้รุกล้ำคนอื่นมากเกินไป
หลายคนแอบหัวเราะเมื่อเห็นเขาต้องทนทุกข์ ในทางกลับกัน ศิษย์ของขุนเขากระบี่เร้นลับต่างก้มหัวลง พวกเขาไม่ได้เย่อหยิ่งเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปและรู้สึกละอายใจจนไม่กล้าสู้หน้าใคร