ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 63 ตกตะลึงอีกครา
ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 63 ตกตะลึงอีกครา
บรรยากาศตอนนั้นแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก ภายนอกนั้นปรมาจารย์ขุนเขาทั้งสองต่างดูสุภาพ ทว่าเบื้อหลังนั้นกลับแข่งขันกัน
ศิษย์ที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาก็เช่นกัน
เบื้องหลังฉีอู๋ฮุ่ยเป็นหลี่ไค่ซือ ซึ่งมองไปยังหลินชิงจู้ที่อยู่ไม่ไกลด้วยสายตาที่ซับซ้อน จากนั้นมองไปยังฉีอู๋ฮุ่ยข้างหน้าเขา เขาก้มหัวลงและเผยให้เห็นสีหน้าที่ด้อยกว่า
เขาไม่สามารถเข้าใจได้ว่าเหตุใดศิษย์ที่ไม่มีใครต้องการในโถงหยกพิสุทธิ์ในเวลานั้นจึงได้ดิบได้ดีกว่าเขา
ในขณะนี้ หัวใจของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน
เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นอัจฉริยะที่เป็นศูนย์กลางของความสนใจและถูกปรมาจารย์ทุกคนแย่งชิงกัน ทว่าตอนนี้เขาอยู่เพียงขอบเขตนิ้วทมิฬขั้นที่ 2 หลังจากเข้าสู่สำนักเป็นเวลาสามเดือน ทว่าหลินชิงจู้ได้มาถึงขอบเขตนี้ภายในห้าวันเพียงเท่านั้น
ในช่วงเวลานี้ เขารู้สึกได้ถึงการดูถูกเหยียดหยามจากอาจารย์ของเขา อาจารย์ของเขาไม่ได้ทัศนคติเหมือนกับวันแรกอีกต่อไป
เขามองไปยังเย่ชิวซึ่งนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะจากระยะไกล กล่าวตามตรง เขารู้สึกอิจฉาหลินชิงจู้มาก เขาอิจฉานางที่ได้พบกับอาจารย์ที่ดี อาจารย์ที่คอยดูแลนางและปกป้องนางด้วยความจริงใจ
ยิ่งไปกว่านั้น ศิษย์ของขุนเขาเมฆาม่วงมีความสามัคคีมาก ซึ่งแตกต่างจากขุนเขากระบี่เร้นลับซึ่งมีศิษย์มากมาย ทุกคนต่างต่อสู้เพื่อความโปรดปราน ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
ไม่มีใครสังเกตเห็นความผิดปกติของหลี่ไค่ซือได้ในขณะนี้ เขาเป็นเหมือนกับเด็กกำพร้าและโดดเดี่ยวมากกว่า เขายืนเงียบ ๆ และมองดูคนข้าง ๆ สนทนากัน เขาพูดคุยและหัวเราะตาม แต่เขาไม่สามารถกลมกลืนได้เลยแม้แต่น้อย
หลังจากผ่านไม่นาน
เย่ชิวดูเวลาและกล่าวกับจ้าวว่านเอ๋อว่า “ไปเถอะ”
“เจ้าค่ะ…” จ้าวว่านเอ๋อหยุดยิ้มและเดินไปยังลานประลอง
“มันกำลังเริ่ม มันกำลังเริ่ม ในที่สุดมันก็เริ่มต้นขึ้นแล้ว”
“การประลองคู่แรกของการประลองยุทธคือศิษย์จากขุนเขาเมฆาม่วงและขุนเขากระบี่เร้นลับ เหมือนว่าจะมีการแสดงให้รับชมแล้ว”
ทุกคนต่างตื่นเต้นและพูดคุยกันขณะที่พวกเขาเฝ้าดูจ้าวว่านเอ๋อเดินขึ้นลานประลอง
ทุกคนรู้ว่าเย่ชิวและฉีอู๋ฮุ่ยนั้นไม่ถูดัน ดังนั้นการประลองครั้งนี้ต้องดุเดือนไม่น้อย
เกือบครึ่งหนึ่งของศิษย์ได้มารอชมการประลองครั้งนี้ ทำให้ลานประลองอื่น ๆ มีคนรับชมน้อยมาก
“ข้าได้ยินมาศิษย์น้องจากขุนเขาเมฆาม่วงดูเหมือนจะเพิ่งเข้าสำนักเมื่อเดือนที่แล้ว นางคงไม่ได้แข็งแกร่งนักใช่หรือไม่”
“ข้าไม่รู้ อย่างไรก็ตามเหมือนว่าจะมีการแสดงให้ชมแล้ว”
เมื่อร่างสีแดงที่งดงามของจ้าวว่านเอ๋อได้ปรากฏขึ้นบนลานประลอง ฉีอู๋ฮุ่ยก็ยิ้มและหันไปส่งสัญญาณกับศิษย์ที่อยู่ข้างหลังเขา “เจ้าไปเถอะ พยายามให้ดี อย่าทำให้ลุงเย่ของเจ้าผิดหวังเช่นกัน”
รอยยิ้มของเขานั้นมีความหมายที่ลึกซึ้งกว่านั้น ใครก็ตามที่มีสายตาเฉียบแหลมสามารถบอกได้ว่าสิ่งนี้ไม่ได้เป็นรอยยิ้มที่เป็นมิตรอย่างแน่นอน
“ท่านอาจารย์ ไม่ต้องกังวลไป ข้าจะไม่ทำให้ลุงเย่ต้องผิดหวัง” หลินอี้เผยรอยยิ้มที่มีเลศนัย เขามองไปยังเย่ชิวอย่างลึกซึ้งและกระโดดลงไปทันที
เขาปรากฏตัวพร้อมกับแสงสีแดงเพลิง
ครู่หนึ่งบรรยากาศก็เพิ่มขึ้นจนถึงจุดสูงสุด
สหายเต๋าเทียนทงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยและพูดว่า “สหายเต๋าฉี ศิษย์ของเจ้าฝึกฝนเคล็ดวิชาลับอัคคีด้วยหรือ”
ฉีอู๋ฮุ่ยซ่อนความสุขไว้ในใจและกล่าวอย่างถ่อมตนว่า “ถูกต้อง ศิษย์คนนี้เกิดมาพร้อมกับเปลวเพลิงที่ผิดปกติ เขาบ่มเพาะเคล็ดวิชาลับอัคคีมาสองสามปีแล้ว ทว่าก็ไม่เคยเผยให้ใครเห็น”
“ฮ่าฮ่า เจ้าถ่อมตัวเกินไป! เขาเกิดมาพร้อมกับเปลวไฟที่ไม่ธรรมดาและมีร่างกายที่ยอดเยี่ยม อัจฉริยะดังกล่าวเป็นเพียงศิษย์ไร้ประโยชน์ในสายตาของเจ้า นั่นไม่ได้หมายความว่าศิษย์ของเจ้าล้วนไม่ธรรมดาและเกิดมาพร้อมกับกระดูกศักดิ์สิทธิ์หรอกหรือ”
สหายเต๋าเทียนทงยิ้มและลูบเคราของเขา จากนั้นเขาก็มองไปยังเย่ชิวและเห็นว่าเขายังคงสงบและมั่นคงราวกับภูเขา เขาอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าศิษย์ของเย่ชิวมีความพิเศษอย่างไรกันแน่
ฉีอู๋ฮุ่ยยังคงโอ้อวดคุยโวต่อไป เขาพอใจกับผลงานของลูกศิษย์มาก เขายังคงรอคอยที่จะทำให้เย่ชิวต้องอับอายในภายหลัง
“สหายเต๋าเทียนทง แม้ว่าศิษย์ของข้าคนนี้เกิดมาพร้อมกับเปลวเพลิงที่ผิดปกติ ทว่าเมื่อเทียบกับศิษยทั้งสองของศิษย์น้องเย่ที่เกิดมาพร้อมกับกระดูกศักดิ์สิทธิ์และมีพรสวรรค์ที่น่าอัศจรรย์แล้วยังห่างชั้นมาก พวกนางเป็นอัจฉริยะที่แท้จริง”
ฉีอู๋ฮุ่ยจงใจยกย่องจ้าวว่านเอ๋อเพราะเขาต้องการทำให้เย่ชิวเสียหน้าหลังจากที่นางพ่ายแพ้
อย่างไรก็ตาม เขาไม่รู้ว่าสิ่งต่าง ๆ จะเป็นไปในทิศทางที่เขาจินตนาการไว้หรือไม่
เย่ชิวเหลือบมองเขาและพูดอย่างเฉยเมยว่า “ศิษย์พี่ฉี ศิษย์ของข้าอาจมีพรสวรรค์ก็จริง ทว่านางเพิ่งเริ่มบ่มเพาะเป็นเวลาหนึ่งเดือนเท่านั้น”
“นางจะเปรียบเทียบกับศิษย์ของศิษย์พี่ได้อย่างไร ศิษย์ของท่านอยู่ในสำนักมาสามสี่ปีแล้วใช่หรือไม่ ระดับพลังยุทธของเขาควรอยู่ในขอบเขตสวรรค์แล้ว”
สีหน้าฉีอู๋ฮุ่ยมืดลง เขารู้ว่าเย่ชิวจงใจกล่าวถึงจำนวนปีในสำนักเพื่อหาข้อแก้ตัวให้ตนเอง ทำให้ไม่ใช่เรื่องน่าอายแม้ว่าเขาจะพ่ายแพ้ในภายหลังก็ตาม
สหายเต๋าเทียนทงมองไปยังทั้งสองคนและยิ้ม
เหออู๋ซวงที่อยู่ข้างหลังเขาจ้องมองไปยังจ้าวว่านเอ๋อ สัญชาตญาณตามธรรมชาติของเขาบอกเขาว่าจ้าวว่านเอ๋อได้ไม่ง่ายดายอย่างที่เย่ชิวกล่าวอย่างแน่นอน
บนลานประลอง หลินอี้ยิ้มอย่างมั่นใจและโค้งคำนับ “หลินอี้จากขุนเขากระบี่ซ่อนเร้น ศิษย์น้อง โปรดชี้แนะข้าด้วย”
จ้าวว่านเอ๋อคำนับกลับและกล่วว่า “จ้าวว่านเอ๋อจากขุนเขาเมฆาม่วง โปรดชี้แนะข้าด้วยเช่นกัน”
ผู้ตัดสินซูเฟิงเดินไปคั่นระหว่างพวกเขาสองคนแล้วถามว่า “พวกเจ้าพร้อมหรือยัง”
“ข้าพร้อมแล้ว”
ทั้งสองกล่าวพร้อมกัน ซูเฟิงพยักหน้าและกล่าวว่า “ข้าขอประกาศว่าการประลองนัดแรกของการประลองยุทธ จ้าวว่านเอ๋อแห่งขุนเขาเมฆาม่วงกับหลินอี้แห่งขุนเขากระบี่เร้นลับได้เริ่มขึ้นแล้ว”
ทุกคนรู้สึกตื่นเต้นทันทีเมื่อได้ยินว่าการประลองยุทธได้เริ่มขึ้นแล้ว ทั้งสองคนในลานประลองก็พร้อมที่จะต่อสู้แล้วเช่นกัน
หลินอี้ชักกระบี่ของเขาออกมาอย่างเชื่องช้างและไม่ได้ซ่อนกลิ่นของเขา กลิ่นอายของขอบเขตนิ้วทมิฬขั้นที่ 9 ได้ปะทุขึ้นทันที
ทุกคนตกตะลึงและถอนหายใจกับขอบเขตพลังยุทธ์ของเขา
จ้าวว่านเอ๋อยังคงไม่ขยับเขยื้อนและยืนอยู่อย่างเงียบงัน
เสื้อผ้าสีแดงสดของนางปลิวไสวไปตามสายลม ดวงตาของนางยังคงมองเห็นได้ชัดเจนภายใต้ผมสีดำของนาง นางปิดบังรอยยิ้มไว้ ดูราวกับเทพธิดาจากสวรรค์ที่บังเอิญตกลงมายังโลกมนุษย์ อารมณ์ของนางเต็มไปด้วยความสง่างาม มห้ดึงดูดสายตาอันเร่าร้อนของศิษย์ชายจำนวนนับไม่ถ้วน
ความเฉยเมยของนางเปลี่ยนเป็ยนความดูถูกเหยียดหยาม เมื่อเห็นเช่นนี้หลินอี้จึงรู้สึกโกรธเกรี้ยวทันที
“ศิษย์น้อง รับมือ!” หลินอี้ตวัดกระบี่ในมือของเขาและลูกบอลเพลิงก็ได้พุ่งเข้าหาจ้าวว่านเอ๋อทันที
“เหตุใดนางไม่หลีกเลี่ยง”
ทุกคนตกใจมากเมื่อเห็นว่าจ้าวว่านเอ๋อไม่มีความตั้งใจที่จะหลบเลี่ยงการโจมตีนี้
เป็นไปได้ไหมว่านางไม่สามารถตอบโต้ได้
ด้านล่างลานประลอง ฉีอู๋ฮุ่ยดูเหมือนจะเห็นแสงแห่งชัยชนะและกำลังจะกล่าวอะไรกับเย่ชิว
ทันใดนั้นเหตุการณ์บนลานประลองก็เปลี่ยนไป เพลิงกรรมได้ปะทุรอบร่างกายของจ้าวว่านเอ๋อเมื่อลูกบอลเพลิงของหลินอี้โจมตีมา
ในชั่วพริบตา นางได้ดูดซับลูกบอลเพลิงนี้จนหมด ตั้งแต่ต้นจนจบ นางไม่แม้แต่จะขยับเขยื้อนแม้แต่ก้าวเดียว
“นี่…”
“เป็นไปได้อย่างไร…”
ครู่หนึ่งทั้งลานประลองต่างเงียบลง เมิ่งเทียนเจิ้งมีสายตาที่แหลมคมสามารถระบุได้อย่างชัดเจน
“เพลิงกรรมบงกชแดง”
“อะไรกัน…”
แม้แต่สหายเต๋าเทียนทงก็ตกใจ ในฐานะปรมาจารย์ยุทธขั้นสมบูรณ์เขาจะไม่เคยได้ยินเรื่องเปลวไฟเช่นนี้ได้อย่างไร นี่คือเปลวไฟที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก ทว่าศิษย์ของขุนเขาเมฆาม่วงครอบครองเปลวไฟนี้ไว้ในร่างกายของนาง
สหายเต๋าเทียนทงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจหลังจากมองดูเย่ชิวอย่างลึกซึ้งและพบว่าเขายังคงสงบเช่นเคย
“ไม่แปลกใจเลยที่เขาไร้กังวล ข้าเข้าใจแล้ว…”
ปัง…
ฉีอู๋ฮุ่ยไม่ได้พูดอะไรสักคำ เขาตบที่จับเก้าอี้ข้างใต้อย่างรุนแรง สีหน้าของเขาดูน่าเกลียดเป็นอย่างมาก