ตอนที่แล้วยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 60 รางวัลของผู้ชนะเลิศลำดับที่หนึ่ง!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 62 อย่าทำให้อาจารย์ลุงของเจ้าผิดหวัง

ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 61 สหายเต๋าเทียงทง


ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 61 สหายเต๋าเทียงทง

คำพูดของเมิ่งเทียนเจิ้งทำให้ทั้งสำนักเยียวยาสวรรค์ตกตะลึง

ทุกคนแสดงความโลภออกมาผ่านสายต่อ

การต่อสู้ได้เริ่มขึ้นก่อนที่การประลองยุทธจะเริ่มขึ้นเสียอีก

บนลานประลอง ฉีอู๋ฮุ่ยมองไปยังเย่ชิวด้วยความดูถูกเหยียดหยามและกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าศิษย์น้องเย่มีความตั้งใจที่จะรับรางวัลนี้ไป”

เย่ชิวตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะยิ้มอย่างใจเย็นและกล่าวว่า “ศิษย์พี่ฉีต้องล้อข้าข้าเล่นแล้ว ขุนเขาเมฆาม่วงของเรามีคนน้อยมาก ศิษย์ของขุนเขาเรายังไม่มีประสบการณ์ ข้าจะถือว่าการประลองยุทธครั้งนี้เป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ ทว่าข้าไม่มีความคิดอื่นเกี่ยวกับรางวัลนี้”

ทุกคนจะเชื่อเรื่องวาจาไร้สาระของเย่ชิวได้อย่างไรกัน

พวกเขามักจะได้ยินว่าศิษย์อัจฉริยะของขุนเขาเมฆาม่วงได้บรรลุขอบเขตนิ้วทมิฬ ขั้นที่ 1 หลังจากเข้าสำนักได้เพียงห้าวันเท่านั้น ตอนนี้ผ่านไปสามเดือนแล้วไม่รู้ว่าระดับพลังยุทธ์ของนางจะเพิ่มขึ้นมากเพียงใด

นิสัยของเย่ชิวคือการแสร้งทำเป็นว่าตนอ่อนแอ ก่อนที่จะปะลุพลังออกมาทำให้ทุกคนตะลึง

ลูกศิษย์ของเขาก็คงเหมือนกับเขา

ปรมาจารย์ขุนเขาคนอื่นต่างสาปแช่งอยู่ภายในใจ ทว่าพวกเขาไม่สามารถพูดอะไรได้

หมิงเยว่ดึงชายเสื้อของเย่ชิวแล้วกระซิบว่า “ศิษย์น้อย เหตุใดเจ้าดูไร้กังวลยิ่งนัก ศิษย์พี่ฉีกำลังรอคอยวันนี้ หากขุนเขาเมฆาม่วงของเจ้าพ่ายแพ้ เขาจะไม่ยอมปล่อยโอกาสทำให้เจ้าอับอายไปอย่างแน่นอน”

เย่ชิวตกตะลึง เขามองไปยังหมิงเยว่อย่างมีเลศนัย ทำให้นางรู้สึกเขินอายเล็กน้อย

“ศิษย์พี่หญิงท่านเป็นห่วงข้าหรือ”

“ไปลงนรกซะ ใครกันที่เป็นห่วงเจ้า! เจ้าควรจะจะถูกคัดออกไปในรอบแรก เช่นนี้ข้าจะไม่ต้องกังวลว่าขุนเขาวารีนภาจะได้รับลำดับสุดท้าย” หมิงเยว่กล่าวพร้อมหน้าแดงก่ำราวกับมะเขือเทศ จากนั้นนางเดินหนีไปราวกับโจรลักขโมยก็ว่าได้

เย่ชิวยักไหล่ เขาจะไม่ยอมอ่อนข้าอย่างแน่นอน การที่ฉีอู๋ฮุ่ยจะทำให้เขาขายหน้าก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นนี้

ไม่นานพิธีเปิดก็สิ้นสุดลง ฉีอู๋ฮุ่ยขึ้นไปพูดสองสามคำ กล่าวโดยสรุปคือเพื่อให้ทุกคนมั่นใจว่าผู้ตัดสินจะรักษาความยุติธรรมและจะไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

ไม่แน่ว่าอาจยกเว้นขุนเขากระบี่เร้นลับ…

เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มและจากไปหลังจากจับสลากแล้ว

วันนี้เป็นวันแรกของการประลองยุทธ ลานประลองแปดแห่งถูกสร้างขึ้นบนสนามฝึกซ้อมไว้ก่อนแล้ว

เย่ชิวกล่าวอำลาเมิ่งเทียนเจิ้งและกลับไปยังที่ของขุนเขาเมฆาม่วง

“ท่านอาจารย์” สตรีสองคนหยุดการสนทนาและโค้งคำนับเมื่อเห็นเย่ชิวเดินมา

“ผู้อาวุโส ฉีอู๋ฮุ่ยช่างบัดซบเกินไป ไม่คาดคิดว่าเขาจะทำการควบคุมการจับสลากด้วยตนเอง” เซียวอี้สาปแช่งออกมา

เย่ชิวไม่สนใจ ตั้งแต่เริ่มต้นเขาเดาได้ว่าฉีอู๋ฮุ่ยต้องทำอะไรบางอย่างอย่างแน่นอน ทว่านั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ แม้ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร เขาก็จะสยบด้วยพลังที่แท้จริง

เย่ชิวมองไปยังศิษย์สองคนของเขาที่ยืนอยู่อย่างเงียบงัน พวกเขาไม่ได้ได้รับผลกระทบทางจิตใจมากนัก สิ่งนี้ทำให้เย่ชิวรู้สึกโล่งใจมาก จากนั้นเขาก็มองไปยังเซียวอี้ที่กำลังสาปแช่งคนอื่นด้วยความดูถูกเหยียดหยาม

“เวรเอ๊ย! ชายชราคนนี้ชั่วเกินไป เขาไม่สามารถคดโกงได้อย่างเปิดเผย ดังนั้นเขาจึงเล่นอุบายเช่นนี้ นี่เป็นเพียงการประลองนัดแรก ทว่าศิษย์พี่ชิงจู้และศิษย์พี่ว่านเอ๋อได้เผชิญหน้ากับศิษย์จากขุนเขากระบี่เร้นลับถึงสองคนแล้ว”

“ศิษย์พี่ชิงจู้อาจชนะได้ หากศิษย์พี่ว่านเอ๋อไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่และพ่ายแพ้ เราจะไม่อับอายหรือ”

เซียวอี้สาปแช่ง ทว่าสีหน้าของจ้าวว่านเอ๋อมืดลงและตบเขาทันที

“เจ้าบัดซบ เจ้าต่างหากที่แพ้! หากเจ้าไม่พูดก็ไม่มีใครหาว่าเจ้าเป็นใบ้!”

ข้าดูอ่อนแอเพียงนั้นหรือ จ้าวว่านเอ๋อบูดบึ้งเป็นอย่างมาก แม้ว่าระดับพลังยุทธ์ของนางจะไม่สูงเท่ากับของหลินชิงจู้ ท่าวนางก็ยังคงเป็นยอดฝีมือขอบเขตสวรรค์ขั้นที่ 1

ในเดือนที่ผ่านมา นางได้ดูดซับพลังของกระดูกสมบัติอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดก็บรรลุขอบเขตสวรรค์ได้ ขณะที่นางกำลังคิดที่จะแสดงเคล็ดวิชาของนางให้ท่านอาจารย์ของเห็นในการประลองยุทธครั้งนี้ เซียวอี้ก็ได้ถามถึงความแข็งแกร่งของนาง

ใครกันจะสามารถทนต่อวาจาไร้สาระเช่นนี้ได้

“ไม่ใช่ ศิษย์พี่ว่านเอ๋อ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น” การตบครั้งนี้ทำให้เซียวอี้วิงเวียนและมึนงงเป็นอย่างมาก ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความคับแค้น “ข้าไปถามคนข้าง ๆ เมื่อครู่นี้ ข้าได้ยินมาว่าระดับพลังยุทธ์ของคู่ต่อสู้ของท่านบรรลุขอบเขตนิ้วทมิฬขั้นที่ 9 แล้ว ฉีอู๋ฮุ่ยได้มอบหมายให้เขามาจัดการกับท่านเป็นพิเศษ ข้าแค่เป็นห่วงท่าน”

จ้าวว่านเอ๋อดึงเสื้อคลุมสีแดงของนาง เมื่อนางได้ยินว่าอีกฝ่ายอยู่เพียงขอบเขตนิ้วทมิฬขั้นที่ 9 นางก็กังวลน้อยลง

“ไว้พูดคุยทีหลัง” เซียวอี้กำลังจะอธิบายต่อ ทว่าเย่ชิวโบกมือและขัดจังหวะเขา เขามองไปยังฉีอู๋ฮุ่ยในระยะไกล “ยังมีเวลาอีกครึ่งชั่วยามในการเตรียมตัวก่อนที่การประลองจะเริ่มขึ้น ไปเตรียมตัวได้แล้ว จากที่ข้ามองดูเมื่อครู่ มียอดฝีมือมากมายเข้าร่วมการประลองยุทธครั้งนี้”

“ข้าไม่ขอให้พวกเจ้าได้รับลำดับใด ๆ กลับมา เพียงแค่พยายามให้ดีที่สุด หากพวกเจ้าพบกับอันตรายก็สามารถยอมรับความพ่ายแพ้ได้โดยตรง ข้าจะไม่โทษพวกเจ้าอย่างแน่นอน ในใจของข้าไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าความปลอดภัยของพวกเจ้า” เย่ชิวกล่าวออกมาอย่างจริงจัง

เมื่อทั้งสองได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกตื้นตันใจเป็นอย่างมาก พวกเขากำหมัดแน่น ความเมตตาของอาจารย์ที่มีต่อพวกเขานั้นหนักหนาราวกับภูเขา และยังห่วงใยพวกเขามาก

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเขาไม่สามารถทำให้อาจารย์อับอายได้ แล้วนับประสาอะไรกับฉีอู๋ฮุ่ย พวกเขาจะไม่มีโอกาสนี้ให้อีกฝ่ายแน่นอน

“ท่านอาจารย์ไม่ต้องกังวล! พวกเราจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังอย่างแน่นอน” หลินชิงจู้ กล่าวอย่างหนักแน่น นางเตรียมตัวสำหรับการประลองครั้งนี้มาสามเดือนแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาที่นางจะแสดงให้เห็นแล้ว

สิ่งที่เกิดนขึ้นที่โถงหยกพิสุทธิ์เมื่อสามเดือนก่อนยังคงตราตรึงอยู่ภายในใจของนางจนถึงตอนนี้

หลังจากมองดูหลินชิงจู้อย่างลึกซึ้งแล้วเย่ชิวก็กล่าวอย่างเฉยเมยว่า “เอาล่ะ ตราบใดที่เจ้ามั่นใจ ก็จงทำตามที่พวกเจ้าต้องการ”

ทว่าเย่ชิวแอบปลื้มปิติไม่น้อย ฮิฮิ ยอดเยี่ยม ข้าต้องการจิตวิญญาณการต่อสู้ของพวกเจ้า ทุบตีพวกเขาให้ตายไปเสีย

หลังจากกลับไปยังพื้นที่พักผ่อนที่จัดเตรียมไว้เป็นพิเศษสำหรับขุนเขาเมฆาม่วงโดยศิษย์ของขุนเขาแรก หลินชิงจู้และจ้าวว่านเอ๋อก็เข้าสู่สมาธิอย่างรวดเร็ว พวกเขาต้องการที่จะฟื้นตัวสู่สภาวะสูงสุดก่อนจะถึงการประลองยุทธ

ในทางกลับกัน เซียวอี้รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น เขาเดินไปรอบ ๆ และดูสาวงามอย่างสบายใจ เย่ชิวโกรธเกรี้ยวเมื่อเห็นท่าทางที่ไร้ประโยชน์ของอีกฝ่าย เจ้าทำตัวเป็นผู้ใหญ่กว่านี้เหมือนข้าหน่อยไม่ได้หรือ เจ้ามองดูเงียบ ๆ ไม่เป็นหรือ

ในตอนบ่าย เมิ่งเทียนเจิ้ง ฉีอู๋ฮุ่ยและผู้อาวุโสที่สองสามคนได้นั่งอยู่ด้านล่างลานประลอง

“ฮี่ฮี่ สหายเต๋าเมิ่ง! ข้าได้ยินมานานแล้วว่าการประลองยุทธ์เจ็ดขุนเขาของสำนักเยียวยาสวรรค์เป็นหนึ่งในการชุมนุมที่สำคัญในดินแดนรกร้างตะวันออก ข้าเฝ้ารอวันนี้มาหกสิบปีและในที่สุดก็มีโชคชะตาที่ได้รับชในวันนี้”

ชายชราในชุดคลุมสีเทากล่าวด้วยรอยยิ้มจาง ๆ ข้างเขาเป็นเมิ่งเทียนเจิ้งที่กำลังลูบเคราและยิ้มโดยไม่พูดอะไร

ชายคนผู้นี้เป็นผู้อาวุโสคนใหญ่ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งทะเลสาบสวรรค์ สหายเต๋าเทียนตง อาจารย์ของเหออู๋ซวง

ตำนานเล่าว่าเขาอยู่ใกล้กับขอบเขตยอดยุทธอย่างมาก เทียบได้กับเมิ่งเทียนเจิ้ง ยอดฝีมือปรมาจารย์ยุทธขั้นสมบูรณ์

ทั้งสองคนเป็นสหายที่ดีต่อกันมาหลายปี เมื่อพวกเขายังเด็ก พวกเขายังเป็นคู่แข่งกันอีกด้วย

ในระหว่างการประลองยุทธนี้ จู่ ๆ อีกฝ่ายก็มาแสดงความเคารพโดยบอกว่าต้องการร่วมชมประลองยุทธเจ็ดขุนเขาของสำนักเยียวยาสวรรค์

เมิ่งเทียนเจิ้งก็ไม่ได้ปฏิเสธ ท้ายที่สุด การประลองยุทธเจ็ดขุนเขาก็เทียบเท่ากับการสนทนาเต๋า ปรมาจารย์ขุนเขาทั้งเจ็ดมีสิทธิ์ที่จะเชิญผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ มารับชมและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้

“อย่างไรก้ตาม ข้าได้ยินมาว่า… สำนักของเจ้ามีปรมาจารย์ขุนเขาของเจ้าได้บรรลุขอบเขตปรมาจารย์ยุทธตั้งแต่อายุยังน้อย นอกจากนี้ เขายังทำให้พี่น้องตระกูลหลี่ทั้งสามคนของภูเขาสวรรค์บาดเจ็บสาหัสด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ข้าสงสัยว่านี่เป็นจริงหรือไม่” สหายเต๋าเทียนทงถามลองเชิงด้วยความไม่มั่นใจ

เหออู๋ซวงที่อยู่ข้างหลังก็ได้เงยหน้าขึ้นทันที ครั้งนี้เขาได้ติดตามอาจารย์มายังสำนักเยียวยาสวรรค์เพื่อเห็นแก่เย่ชิว หลังจากที่ได้เห็นเคล็ดวิชากระบี่ของเย่ชิวครั้งล่าสุด เขาก็นอนไม่หลับและคลุ้มคลั่งเป็นอย่างมาก

เมิ่งเทียนเจิ้งมองอีกฝ่ายด้วยความตกใจและสับสน เย่ชิวมีชื่อเสียงจนแพร่กระจายไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทะเลสาบสวรรค์แล้วหรือ เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ใบหน้าที่แก่ชราของเมิ่งเทียนเจิ้งก็เผยรอยยิ้มออกมา เขายืดอกและรู้สึกภาคภูมิใจอย่างยิ่ง ราวกับจะบอกว่านั่นคือศิษย์น้องของข้าเอง

“สหายเต๋า หากข้าจำไม่ผิด ผู้ที่เจ้ากำลังพูดถึงน่าจะเป็นศิษย์น้องของข้าจากขุนเขาเมฆาม่วงใช่หรือไม่” เมิ่งเทียนเจิ้งกล่าวช้า ๆ

ในใจเขามีความสุขอย่างมาก ทว่ากลับมีสีหน้าสงบราวกับสุนัขก็ว่าได้

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด