ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 58 เริ่มการประลองยุทธเจ็ดขุนเขา
ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 58 เริ่มการประลองยุทธเจ็ดขุนเขา
ตอนเช้าที่มีหมอกปกคุลม
หลินชิงจู้และจ้าวว่านเอ๋อกำลังรออยู่ลานหน้าห้องฝึกซ้อมของขุนเขาเมฆาม่วง
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด เย่ชิวก็ค่อย ๆ ผลักประตูเปิดออก
“อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะท่านอาจารย์” ทั้งสองคนโค้งคำนับ
เย่ชิวพยักหน้าและมองไปยังขุนเขาแรก
วันนี้เป็นวันเริ่มการประลองยุทธศิษย์ของขุนเขาต่าง ๆ ได้มุ่งหน้าไปยังขุนเขาแรกก่อนแล้ว
“อาวุโส…”
เย่ชิวกำลังจะพาศิษย์ของเขาออกไป ทว่าก็มีชายหนุ่มเดินมาเสียก่อน ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเซียวอี้
“ฮิฮิ… ผู้อาวุโส ท่านกำลังจะไปงานประลองยุทธใช่หรือไม่” เซียวอี้เดินไปอย่างไร้ยางอาย
เย่ชิวมองเขาด้วยความตกใจและคาดเดาเจตนาของอีกฝ่ายได้อย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่านายน้อยเซียวคนนี้จะไม่มีที่ยืนบนขุนเขาเมฆาม่วง
นอกเหนือจากการบ่มเพาะแล้ว เซียวอี้จะคอยดูแลและกระตุ้นความคืบหน้าของการก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากนั้น ไม่มีอะไรอื่นที่เขาสามารถทำได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขาที่จะมาที่อาศัยในสำนักเยียวยาสวรรค์ ดังนั้นเขาจะพลาดงานสำคัญครั้งหนึ่งในชีวิตนี้ไปได้อย่างไร
ดังนั้นเมื่อเขาเห็นว่าเย่ชิวกำลังเตรียมที่จะออกเดินทาง เขาจึงรีบมาหาเย่ชิวทันที
ก่อนที่เซียวอี้จะเดินไป เขาได้ทักทายหลินชิงจู้และจ้าวว่านเอ๋อและกล่าวทันทีว่า “ก่อนที่ข้าจะมา ท่านพ่อบอกข้าว่าการลองยุทธเจ็ดขุนเขาของสำนักเยียวยาสวรรค์เป็นหนึ่งในการประลองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแดนรกร้างตะวันออก และมีความสำคัญเป็นพิเศษ เขาบอกข้าว่าหากมีโอกาสข้าต้องลองไปดูเอง”
“ข้าได้สังเกตในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาจึงรู้ว่าวันนี้มีการลองยุทธ ผู้อาวุโสช่วยพาข้าไปเปิดโลกใบใหม่ได้หรือไม่ ไม่ต้องกังวลผู้อาวุโส ข้าได้เปลี่ยนเป็นคนใหม่แล้ว ข้าจะไม่สร้างปัญหาให้ท่านอย่างแน่นอน”
ความหวาดกลัวต่อเย่ชิวของเขายังคงมีอยู่เช่นเคย ดังนั้นเขาจึงกล่าวอย่างนุ่มนวล หากเย่ชิวไม่เห็นด้วย เขาจะหันหลังกลับไปทันที
เย่ชิวมองเขาด้วยความสนุกสนานและพูดว่า “เอาล่ะ ในเมื่อเจ้าปฏิบัติได้ดีไม่น้อย เจ้าสามารถตามมาได้”
เด็กคนนี้ช่างเจริญหูเจริญตา ชายที่สามารถยอมจำนนและยืนหยัดต่อได้นั้นหายากไม่น้อย
นอกจากนี้ เย่ชิวได้เห็นทุกสิ่งที่อีกฝ่ายกระทำในช่วงเวลานี้ เขายุ่งกับการจัดการขุนเขาเมฆาม่วงและกระทำหลายสิ่งหลายอย่าง
เมื่อได้ยินเย่ชิวว่าเห็นด้วย เซียวอี้ก็อยากไปแสดงความดีใจกับหลินชิงจู้และจ้าวว่านเอ๋อทันที
อย่างไรก็ตาม จ้าวว่านเอ๋อเพียงปิดปากของนางและยิ้ม นางไม่ได้เลือกที่จะแสดงความยินดีกับเขา ส่วนหลินชิงจู้มองดูเขาด้วยความเหยียดหยามและหันหลังเดินจากไป
“เอ่อ…” เซียวอี้ยืนอย่างงุ่มง่าม ทว่าเขาก็ไม่สนใจ เขาคุ้นเคยกับบุคลิกของพวกนางแล้วและก็ยังเข้ากันได้ดี
เย่ชิวเดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้าและกล่าวว่า “ถึงเวลาแล้ว ไปกันเถอะ”
ขณะที่เขาพูด เขาก็ได้บินตรงไปยังขุนเขาแรกทันที ตอนนี้เขาไม่ต้องการความช่วยเหลือจากสมบัติใด ๆ ในการบินอีกต่อไป เขาสามารถเหาะเหินในอากาศได้อย่างสมบูรณ์และรวดเร็วเป็นอย่างมาก หลังจากบรรลุขอบเขตอนันตะมรรคาผู้นั้นจะสามารถเคลื่อนย้ายพริบตาได้ หลังจากบรรลุขอบเขตปรมาจารย์ยุทธ ระยะการเคลื่อนย้ายพริบตาก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นมากโข
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ทั้งสามตามทัน เขาไม่ได้เลือกที่จะใช้การเคลื่อนย้ายพริบตา
เมื่อเห็นว่าเย่ชิวเป็นคนแรกที่นำ หลินชิงจู้ก็เรียกใช้กระบี่เมฆาม่วงออกมาทันทีและบินตามไปด้วยกระบี่ของนาง
จ้าวว่านเอ๋อก็ตามมาติด ๆ นางเรียกกระจับของนางออกมาและบินออกไปราวกับนกฟีนิกซ์สยายปีก การเคลื่อนไหวของนางนั้นสง่างามเป็นอย่างมาก กระจับนั้นเป็นอาวุธล้ำค่าที่เย่ชิวมอบให้นาง ซึ่งเป็นสมบัติที่ฉีอู๋ฮุ่ยได้มอบให้เขา
น่าเสียดายที่สมบัตินี้ไม่ได้กระตุ้นระบบตอบแทนหมื่นเท่า มันเป็นเพียงสิ่งประดิษฐ์วิญญาณธรรมดาเท่านั้น
หลังจากที่จ้าวว่านเอ๋อตามไป เซียวอี้ก็ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เขารีบเรียกกระบี่และมุ่งไปข้างหน้าทันที เขารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมากเมื่อรู้ว่าตนจะได้เห็นการประลองยุทธที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสำนักเยียวยาสวรรค์
ไม่กี่นาทีต่อมา
บนขุนเขาแรกหน้าโถงหยกพิสุทธิ์ต่างเต็มไปด้วยคววามแออัดและมีชีวิตชีวา
ศิษย์ของขุนเขาต่าง ๆ อยู่ที่นี่มาก่อนแล้ว นอกเหนือจากเหล่าศิษย์ที่เข้าร่วมในการประลองยุทธแล้ว ยังมีเหล่าศิษย์จำนวนมากที่มาชมงานครั้งนี้
“นี่ พวกเจ้าคิดว่าขุนเขาใดจะได้ลำดับหนึ่งในการประลองยุทธครั้งนี้”
“ข้าคิดว่าหากศิษย์พี่ใหญ่ไม่เข้าร่วม ขุนเขากระบี่เร้นลับและขุนเขาหวนวายุมีโอกาสชนะมากที่สุด”
“ข้าได้ยินมาว่าศิษย์พี่ใหญ่ของขุนเขากระบี่เร้นลับฉีฮ่าวได้บรรลุขอบเขตสวรรค์แล้ว ความแข็งแกร่งของเขานั้นไม่อาจหยั่งรู้ได้”
“แม้ว่าศิษย์พี่ลู่อวินเซิงจากขุนเขาหวนวายุจะค่อนข้างมีโอกาสน้อย ทว่าระดับการบ่มเพาะของเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าฉีฮ่าวเลยแม้แต่น้อย อันที่จริงข้ารู้สึกว่าเขาแข็งแกร่งกว่าด้วยซ้ำ”
“ไม่ถูกต้อง เจ้าไม่คิดว่าขุนเขาเมฆาม่วงจะมีโอกาสบ้างหรือ”
ทุกคนหัวเราะเมื่อได้ยินสิ่งนี้
“ฮ่าฮ่า ข้ายอมรับว่าลุงเย่แห่งขุนเขาเมฆาม่วงนั้นทรงพลัง”
“ทว่าศิษย์ของเขาอยู่ในสำนักเพียงสามเดือนเท่านั้น ระดับการบ่มเพาะที่นางสามารถบรรลุสูงสุดก็คงอยู่ในขอบเขตนิ้วทมิฬ นางจะมีโอกาสชนะได้อย่างไร”
“ในความคิดของข้า ศิษย์พี่หญิงหลิวแห่งขุนเขาวารีสวรรค์อาจมีโอกาสสูงกว่า”
ทุกคนพูดคุยกันอย่างออกรสและรวมตัวกันที่จัตุรัสเพื่อหารือเกี่ยวกับผู้ที่จะสามารถชนะเลิศการประลองยุทธครั้งนี้
ในขณะนี้มีลำแสงบินอยู่บนท้องฟ้า ทุกคนต่างเงยหน้าขึ้น
บนแสงนั้นมีฝูงชนหนาแน่นอยู่ด้วยกัน ผู้ที่นำมาคือปรมาจารย์ขุนเขาของขุนเขากระบี่เร้นลับ ฉีอู๋ฮุ่ย
ข้างหลังเขาคือฉีฮ่าวนั่นเอง
“ทุกคนต่างบอกว่าศิษย์พี่ใหญ่ของขุนเขากระบี่เร้นลับมีความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดาและทรงพลังอย่างยิ่ง ตอนแรกข้าไม่เชื่อนัก ทว่าตอนนี้ข้าเชื่อแล้ว”
ฉีฮ่าวยืนอยู่ในฝูงชนก็เป็นเหมือนกับดาวรุ่งที่ดึงดูดความสนใจของทุกคน ท้ายที่สุดเขาเป็นผู้ที่มีโอกาสชนะเลิศมากที่สุด
ฉีฮ่าวเผยรอยยิ้มที่มั่นใจและรู้สึกสงบเมื่อเขาสัมผัสได้ถึงสายตาชื่นชมของผู้คนรอบตัว เขารู้สึกยินดีที่ได้เป็นศูนย์กลางของความสนใจ
ในขณะนี้เองก็มีลำแสงอีกดวงหนึ่งสว่างวาบขึ้น
“ฮ่าฮ่า ศิษย์พี่ฉี ข้าคิดว่าข้าเร็วแล้ว ทว่าท่านกลับเร็วกว่าข้า” นอกจากหยางอู๋ตี๋แล้วก็ไม่มีใครอื่นที่สามารถกล่าวออกมาอย่างกล้าหาญเช่นนี้
ฉีอู๋ฮุ่ยเหลือบมองอีกฝ่ายอย่างเย็นชาและไม่พูดอะไร
ไม่นานก็มีอีกร่างหนึ่งค่อย ๆ ร่อนลงมาจากท้องฟ้า ร่างที่งามไร้ที่ตินั้นได้ดึงดูดความสนใจของทุกคนในทันที
หยางอู๋ตี๋และฉีอู๋ฮุ่ยตกตะลึงเมื่อเห็นว่าเป็นหมิงเยว่
“กลิ่นอายของขอบเขตปรมาจารย์ยุทธ”
ทั้งคู่ต่างเห็นความรู้สึกไม่อยากเชื่ออยู่ภายในสายตาของกันและกัน
หมิงเยว่ได้บรรลุขอบเขตปรมาจารย์ยุทธแล้ว เช่นนั้นนางจะไม่เป็นปรมาจารย์ยุทธที่อายุน้อยที่สุดนอกเหนือจากเย่ชิวหรอกหรือ
ทันใดนั้นพวกเขารู้สึกกดดันอย่างทวีคูณ หยางอู๋ตี๋ส่ายหัวด้วยความไม่เชื่อ
หนึ่งเดือนที่ผ่านมาหมิงเยว่ยังอยู่ขอบเขตชีวาเร้นลับขั้นสมบูรณ์ ทว่าหนึ่งเดือนต่อมานางได้บรรลุขอบเขตปรมาจารย์ยุทธแล้ว
“หมิงเยว่เจินเหรินบรรลุขอบเขตปรมาจารย์ยุทธแล้ว ช่างน่าเหลือเชื่อเกินไป”
“ในสำนักเยียวยาสวรรค์ของเรานอกเหนือจาก เจ้าสำนัก อาจารย์ฉีอู๋ฮุ่ยจากขุนเขากระบี่เร้นลับและอาจารย์ลุงเย่จากขุนเขาเมฆาม่วงแล้ว ก็ยังมียอดฝีมือขอบเขตปรมาจารย์ยุทธอีกคนหนึ่งเช่นกัน”
“ฮิฮิ ครั้งนี้มีอะไรให้ชมไม่น้อย! ข้าได้ยินมาว่าขุนเขาเมฆาม่วงและขุนเขากระบี่เร้นลับนั้นเป็นปรปักษ์ต่อกันมาตลอด ข้าสงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นในการประลองยุทธครั้งนี้ ข้าตั้งหน้าตั้งตารอชมไม่ไหวแล้ว”
“ใช่แล้ว เหตุใดข้าไม่เห็นผู้คนจากขุนเขาเมฆาม่วงเลย พวกเขาลืมเวลาหรือ”
ทันใดนั้นก็มีแสงสีม่วงสาดลงมาจากท้องฟ้า
บนท้องฟ้า ร่างสีขาวค่อย ๆ ร่อนลงมาจากแสงสีม่วง
“เป็นอาจารย์ลุงเย่จากขุนเขาเมฆาม่วงและลูกศิษย์ของเขา”
ทุกคนต่างรู้สึกปิติ พวกเขาได้ยินมาตลอดว่าอาจารย์ลุงที่อายุน้อยที่สุดของสำนักเยียวยาสวรรค์มีความสามารถล้ำลึกที่ยากจะหยั่งรู้
อย่างไรก็ตาม พวกเขาเคยได้ยินทว่ายังไม่เคยเห็นเย่ชิว ทุกคนจึงเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ในที่สุดขุนเขาเมฆาม่วงก็ปรากฏ ทุกคนต่างมองไปด้วยความประหลาดใจ
ดวงตาของฉีอู๋ฮุ่ยเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมในขณะที่เขามองไปยังร่างนั้น เขารู้ว่าคนที่เขาเกลียดที่สุดได้มาถึงแล้ว