ตอนที่ 82 หล่อกว่าแสนเท่า
มือกระบี่หญิงชาววังคาดไม่ถึงว่าจะกลับกลายเป็นแบบนี้ พลางมองดรุณีที่กำลังกอดเย่ว์หยาง นางถามว่า “พี่อยู่! ท่านรู้จักเขาด้วยหรือ?”
ดรุณีนางนั้นมีลักษณะของสุขุมาลชาติฉายแววของคนฉลาด ดวงตานางกระจ่างใส ฟันขาว นางเอื้อมมือออกมายีหัวของเย่ว์หยางด้วยความเอ็นดู ท่าทีแสดงออกว่ามีความสุขอย่างหาที่เปรียบมิได้ปรากฏชัดบนใบหน้าของนาง ขณะที่ตอบว่า “เชี่ยนเชี่ยน!, นี่คือเสี่ยวซาน (เจ้าสาม) ของตระกูลเรา ปกติเขาจะเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน ไม่เคยย่างเท้าออกนอกประตูบ้านเลย ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าจะพบเขาในวันนี้… เสี่ยวซาน! นี่องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนนะ”
คำพูดที่นุ่มนวล นิสัยที่ดูสุภาพของนาง เมื่อดรุณีที่สุภาพและนิสัยดีกำลังแนะนำอย่างนี้ เย่ว์หยางก็รู้ขึ้นมาได้ทันที
ไม่ใช่คนรักลับอะไรเลย
สุภาพสตรีนางนี้คือญาติผู้พี่ของเขา เย่ว์อยู่
โชคดีที่นางเดินมาทักทายเย่ว์หยาง มิฉะนั้นนักท่องเที่ยวต่างมิติคงไม่สามารถจำนางได้ เขาอาจจะพลาดท่าโดยเผยให้เห็นพิรุธในสถานะของเขาก็ได้
พอได้ยินว่านางคือญาติของเขา เย่ว์หยางถอนหายใจด้วยความโล่งอก เรื่องที่เขากลัวที่สุด คือกลัวว่านางจะเป็นคนรักลับๆ ของเจ้าเด็กผู้น่าสงสาร ทำนองว่ามีสัญญารักมั่นนิรันดรผูกพันกันและกันภายใต้แสงจันทร์ ถ้าจำนางไม่ได้ อย่างนั้นเรื่องทั้งหมดจบลงแน่นอน เย่ว์หยางรู้สึกว่าเกือบไปจริงๆ
อย่างน้อยสิทธิ์ที่จะเริ่มการพูดคุยก็อยู่ในการควบคุมของเขา คงไม่ใช่เรื่องง่ายถ้านางอยากพบความลับด้วยการพูดคุยกับเขา
ตอนนี้เขาต้องระวังมากยิ่งขึ้น เนื่องจากเขาพบญาติผู้นี้แทน
เขาไม่อาจพูดคุยผิดได้เมื่อคุยกันถึงเรื่องตระกูลนี้
“องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนหรือ?” เมื่อเย่ว์หยางได้เย่ว์อยู่แนะนำให้รู้จัก เขาเข้าใจว่า ตัวของเขาก่อนหน้านี้ไม่รู้จักมือกระบี่หญิงชาววัง ใจของเขาค่อยสงบลงเล็กน้อย โชคดีที่นางไม่ใช่ธิดาตระกูลเสวี่ย มิฉะนั้น เขาคงไม่สามารถอธิบายได้ทั้งหมด แต่กลับกลายเป็นว่ามือกระบี่หญิงชาววังนี้เป็นราชธิดาองค์หนึ่ง เขาสงสัยว่านางเป็นองค์หญิงจากต้าเซี่ย, เทียนหลัว หรือสื่อจิน 3 อาณาจักรใหญ่กันแน่
“เจ้าไม่รู้จักองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนเหรอ?” ถึงตอนนี้แม้แต่เย่ว์อยู่ญาติของเขาก็ประหลาดใจ บรรดารุ่นผู้เยาว์ในโลกนี้ ยังมีคนที่ไม่รู้จักองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนด้วยหรือ? หากจะมีก็คือคุณชายสามแห่งตระกูลเย่ว์ผู้ไม่เคยย่างเท้าออกนอกบ้านเลย…
“งั้นเจ้าก็คือ สะ(หวะ)… คุณชายสามแห่งตระกูลเย่ว์ใช่ไหม?”
มือกระบี่หญิงชาววังมองดูเย่ว์หยางด้วยความสงสัย ในที่สุดดูเหมือนนางจะไขปริศนาก่อนหน้านั้นได้เมื่อนางได้ยินการแนะนำของเย่ว์อยู่
ไม่น่าแปลกใจที่เจ้าเด็กนี่ถูกสมาชิกตระกูลและคนอื่นๆ มองว่าเป็นสวะ มันคงแปลกที่ว่าถ้าคนอย่างเขามุ่งฝึกวิทยายุทธ์เหมือนอย่างนางแทนที่จะตั้งใจฝึกทักษะอัญเชิญก็คงไม่ถูกคนอื่นเรียกว่าสวะแน่ ความรู้เรื่องสัตว์อัญเชิญของเขาเป็นที่สุดของที่สุดของความย่ำแย่ เขาไม่รู้ว่าผลแห่งภูมิปัญญาเป็นอาหารเฉพาะสัตว์อสูรและมนุษย์จะกลายเป็นคนโง่ถ้าพวกเขากินมัน ไม่น่าแปลกใจที่ผู้อาวุโสในตระกูลของเขาถึงกับผิดหวังเขามากและให้สมญาเขาว่าสวะ อย่างไรก็ตาม เจ้าเด็กนี่เป็นสวะจริงๆ หรือ? บรรดาความรู้สึกที่นางได้จากทักษะธรรมชาติสัมผัสรู้ทั้งหก พลังที่ซ่อนเร้นของเจ้าเด็กนี่อาจเหนือกว่านาง ถ้าเขาจับคู่กับสัตว์อสูรที่โดดเด่น เขาอาจสามารถขึ้นไปอยู่จุดสูงสุดของเขตแดนนักสู้ก็ได้
พอคิดดูดีๆ อีกครั้ง มันค่อยสมเหตุสมผลจริงๆ
บิดาของเขา เย่ว์ชิว กลายเป็นนักสู้ระดับ 7 (เหนือมนุษย์) ก่อนอายุ 40 เขาเกือบจะเข้าขอบเขตปราณก่อกำเนิด แล้วลูกชายจะเป็นสวะไปได้อย่างไร?
คุณชายสามแห่งตระกูลเย่ว์นี้จะต้องมีคนคอยส่งเสริมเขาอย่างลับๆ คล้ายกับนางที่ได้รับการสั่งสอนโดยอาจารย์ผู้มีพรสวรรค์ มิฉะนั้นเขาคงไม่สามารถมีพลังที่น่าตระหนกอย่างนี้ นางคาดว่าพฤติกรรมที่ไม่ทำตัวให้เด่นนี้คงเป็นเรื่องที่อาจารย์ของเขาต้องการให้ทำเป็นแน่ มือกระบี่หญิงชาววังมองดูดาบจันทร์เสี้ยวที่หลังของเขาและดาบฮุยจินที่แขวนอยู่ที่สะเอว นางก็ยิ่งมั่นใจในข้อสันนิษฐานของนาง
แม้ว่านางคิดว่าเจ้าเด็กผู้นี้จะซ่อนความลับไว้มากหลายกว่านี้ มือกระบี่หญิงชาววังก็ไม่สนใจสืบสาวต่อไป
นางรู้ว่านักสู้ผู้แข็งแกร่งมักจะมีนิสัยแปลกๆ เหมือนอย่างอาจารย์ของนาง ผู้ห้ามมิให้นางแสดงความสามารถอัญเชิญให้คนอื่นๆ ได้เห็นแม้จะเป็นพระบิดาของนางก็ตาม ถ้ามิใช่เป็นแบบนั้น ทำไมคุณชายสามถึงขังตัวเองอยู่แต่ภายในบ้าน ปฏิเสธที่จะออกนอกบ้านในช่วงเวลาหลายปีมานี้? ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะไม่ต้องการทำตัวเด่น ทำไมเขาถึงยินดีให้คนอื่นๆ เรียกตนเองว่าสวะ แทนที่จะแสดงความสามารถให้ปรากฏต่อชาวโลก?
“ข้าจุนหยวนเป็นธิดาคนที่ 18 ของกษัตริย์จุนอู๋ ข้าไม่ชอบให้สหายเรียกข้าว่าองค์หญิง เหล่ามิตรสหายของข้าจึงเรียกนามของข้าในสมัยยังเด็กว่า เชี่ยนเชี่ยน แต่สำหรับเจ้า สถานะของเจ้าแตกต่างไปบ้าง เจ้าน่ะพูดจากะล่อน ข้าจะยอมให้เจ้าเรียกว่าเชี่ยนเชี่ยนต่อเมื่อเจ้ายอมพูดความจริง”
เมื่อมือกระบี่หญิงชาววังพูดจบ นางหันไปหาเย่ว์อยู่และอธิบายว่า “พี่เย่ว์อยู่! น้องชายของท่านคนนี้ไม่เคยพูดความจริงเลย ข้ายังปวดหัวกับคำพูดของเขาอยู่”
เย่ว์อยู่รีบปิดปากนางและใช้น้ำเสียงอ่อนโยนกล่าวว่า “เชี่ยนเชี่ยน! ทุกคนพยายามปกป้องผลประโยชน์ของเขา เสี่ยวซานมักจะขังตัวเองอยู่ในบ้านเสมอ เขาไม่เคยเห็นโลกภายนอก บางทีเขาคงกลัวเจ้ามากจนไม่กล้าพูดความจริง เสี่ยวซาน! ขอโทษองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนเถอะนะ นางเกลียดคนโกหกที่สุด นั่นเพราะนางจะปวดหัวทุกครั้งที่ได้ยินคนพูดโกหก ความซื่อสัตย์เป็นสิ่งสำคัญสำหรับมิตรภาพ ไม่มีอะไรต้องปิดบังกันระหว่างสหาย นอกจากนี้ องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนจะไม่พยายามล้วงความลับของเจ้า ถ้าเจ้ามีนะ แต่เจ้าไม่ยอมพูดความจริงแม้แต่คำเดียว นั่นเป็นนิสัยที่ไม่ดีเลยจริงๆ”
“ได้เลย, ข้ารับรองว่าข้าจะพูดวาจาสัตย์ ทำแต่สิ่งดีๆ จากนั้นก็ไปบวชเป็นพระ รับรองได้เลยว่าข้าจะเป็นเหมือนไข่มุกแท้ที่บริสุทธิ์” เย่ว์หยางดูเหมือนจะเอาจริงเอาจังเมื่อพูดคำนี้ แต่แอบลิงโลดอยู่ในใจ
พูดความจริงกับแม่นางนั้นน่ะหรือ?
หาที่ตายชัดๆ
ตอนนี้เขารู้ว่าดรุณีนางนี้ไม่สามารถฟังเรื่องโกหกได้ นั่นเป็นข่าวดีสำหรับเขา เขาจะพูดแต่เรื่องโกหกในอนาคตทำให้หัวนางแทบระเบิดด้วยความเจ็บปวด
ในอนาคต นางจะมีเรื่องปวดหัวทันทีที่นางเห็นเขา ถ้าเป็นกรณีนั้น เขาก็ปลอดภัย
เย่ว์หยางผู้กำลังคิดทำเรื่องเลวร้าย รู้สึกเหมือนว่าเขาอยู่ในที่สูงได้เปรียบในสนามต่อสู้ ในที่สุดเขาก็ได้รู้จุดอ่อนของมือกระบี่หญิงชาววังหลังจากทนต่อความยากลำบากอยู่นาน
“มาทดสอบกันเลย เจ้าได้ดาบจันทร์เสี้ยวมาจากไหน?” พอฟังว่าทุกเรื่องที่เจ้าเด็กคนนี้พูดมีแต่เรื่องโกหก มือกระบี่หญิงชาววังรู้สึกเหนื่อยใจจริงๆ แต่นางยังตัดสินใจให้โอกาสเขาพูดความจริง
“ข้าเก็บมันได้” ยามเมื่อโกหกเย่ว์หยางตาไม่กระพริบ หน้าไม่มีแดง
“เจ้าเก็บมาจากไหน?” มือกระบี่หญิงชาววังตั้งคำถามเย่ว์หยางต่อไป
“ก็ที่หน้าประตูของข้า” เย่ว์หยางตอบ
มือกระบี่หญิงชาววังเกือบเอาหัวตัวเองโขกกับพื้น เจ้าสามารถเก็บดาบจันทร์เสี้ยวของขุนพลปีศาจได้จากหน้าประตูของเจ้าด้วยหรือ? แต่นางไม่ได้ทำอะไรกับเจ้าเด็กหน้าด้านผู้นี้ ดังนั้นนางแค่เปลี่ยนคำถาม
“ข้าฝึกฝนวิชาตัดหัวเหล็ก” เย่ว์หยางตอบแทบจะทันที มือกระบี่หญิงชาววังและเย่ว์อยู่ทรุดลงกับพื้นพร้อมกัน
วิชาตัดหัวเหล็กเป็นทักษะที่น่าเบื่อ ถึงจะไม่ได้เป็นทักษะที่ต่ำสุดที่ทหารรับจ้างเรียนรู้ก็ตาม ถ้ามีการจัดอันดับวิทยายุทธยอดแย่ในโลกนี้ วิชาตัดหัวเหล็กจะอยู่ในอันดับต้นๆ แน่นอน
มือกระบี่ชาววังหยุดและค่อยๆ ถามอีกครั้ว “เจ้าได้ลูกไฮดรามาจากไหน?”
เย่ว์หยางสวมบทของผู้เฒ่าจางคนซื่อ มองและตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ข้าขโมยมันมา”
มือกระบี่หญิงชาววังไม่ยอมให้โอกาสเย่ว์หยางคิด นางถามยิงคำถามเขาต่อไป “เจ้าขโมยมาจากใคร?”
ใครจะรู้ว่าเย่ว์หยางสามารถโกหกได้โดยไม่ต้องคิด “ซือคงไจซิง”
(เย่ว์หยางอ้างตัวละครจากเรื่องเล็กเซียวหงส์ จอมขโมยซือคงเตี๋ยแช)
เย่ว์อยู่ตอนแรกก็คิดว่าเป็นเรื่องโกหก แต่เมื่อนางได้ยินชื่อและแซ่นางก็เลยคิดว่าเขาพูดเรื่องจริง นางทำอะไรไม่ถูกได้แต่ตกใจว่า “เสี่ยวซาน! เจ้าขโมยทรัพย์สินของคนอื่นมาได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นสัตว์อสูรชั้นดีอย่างไฮดราอีกด้วย รีบๆ เอาไปคืนคนที่เจ้าขโมยมาเลยนะ”
มือกระบี่หญิงชาววังมึนจนพูดไม่ออก ไม่ได้ถามถึงความมีอยู่ของซือคงไจซิงผู้นี้แล้วเขาขโมยลูกไฮดรามาได้อย่างไร
แต่นางอัศจรรย์ใจที่ทักษะในการโกหกของคุณชายสาม ทำได้โดยไม่กระพริบตาเลย
เจ้าเด็กนี่เกิดมาเป็นจอมโกหกโดยแท้ เขาไม่ได้รู้สึกผิดอะไร แม้จะโกหกไปมากขนาดนั้น
“เจ้าคิดว่าตัวเองหล่อหรืออัปลักษณ์?” คราวนี้มือกระบี่ชาววังเตรียมใช้ความจริงพิสูจน์การโกหกของเขา ตราบใดที่เขาตอบ นางก็สามารถแฉเขาได้
“ข้าคิดว่า ข้าดูธรรมดานะ แต่ข้าคิดว่าข้าหล่อกว่าเฟิงชิชา, หยานโพ่จุนและเสวี่ยทันหลางอยู่นิดนึง” เย่ว์หยางพูดถ่อมตนอย่างมาก
“นิดนึงของเจ้าน่ะ แค่ไหนกัน?”
“มากกว่านิดนึงก็คือ ดีกว่า 99,999 เท่า” เมื่อเย่ว์หยางตอบ เย่ว์อยู่ที่กำลังปวดหัวกับการฟังคำพูดของเขาก็ล้มลงกับพื้นอีกครั้ง
“ทำไมถึงไม่เป็น แสนเท่าเลยล่ะ?” มือกระบี่หญิงชาววังถามอย่างสงสัย
“ถ้าพวกนั้นเสียโฉมแล้ว อย่างนั้นก็จะเป็นแสนเท่า” พอฟังคำตอบของเย่ว์หยาง มือกระบี่หญิงก็ยังคงปวดหัวจนแทบระเบิดอยู่ดี
“อย่างนั้น เจ้าก็หมายความว่า พวกเขาไม่ได้แตกต่างจากคนเสียโฉมเลยสินะ?” พอมองหน้าของเจ้าเด็กบ้าที่เหมือนสัตย์ซื่อถือมั่น มือกระบี่หญิงถึงกับถอนหายใจอย่างหนักหน่วง หน้าด้านจริงๆ
“สรุปว่าเจ้าหมายความว่า หยานโพ่จุนและคนอื่นๆ หล่อมากกว่าคนเสียโฉมสินะ” เย่ว์หยางสั่นหัวแสดงว่าไม่เห็นด้วย
“…” มือกระบี่หญิงชาววังพูดไม่ออกเมื่อได้เห็นเช่นนั้น
พอเห็นเย่ว์หยางฉีกยิ้มเต็มใบหน้าเหมือนอาทิตย์ฉายแสง นางร่ำๆ อยากจะชกเจ้าเด็กนี่ให้กระเด็นยิ่งนัก
นางเคยพบคนหน้าหนามาก่อน แต่ไม่เคยพบคนที่หน้าด้านขนาดเจ้าเด็กนี่
มีคนแบบนี้อยู่ในโลกได้อย่างไรกัน ไม่เคยยอมพูดความจริงแม้แต่คำเดียว? ถ้าการทำตัวไม่เด่นเป็นคำสั่งของอาจารย์ของเขา อย่างนั้นความหน้าด้านต้องเป็นนิสัยดั้งเดิมของเขา ไม่น่าเป็นไปได้ที่เขาจะได้นิสัยนี้มาจากการสั่งสอนของอาจารย์ของเขา
เย่ว์อยู่รู้ว่าถ้ายังเป็นไปแบบนี้อยู่ แม้ว่าพวกนางจะถามเป็นล้านคำถาม พวกนางก็คงไม่ได้ความจริง ญาติผู้น้องของนางตั้งใจจะหยอกล้อองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนเท่านั้น
นางถามเขาอย่างตรงไปตรงมาว่า “เสี่ยวซาน! เจ้ามีกลุ่มที่เข้ามาในหอทงเทียนด้วยหรือไม่? ถ้าไม่มีเจ้าเข้าร่วมกับเราก็ได้นะ”
คำพูดของนางทำให้เย่ว์หยางโดดผางด้วยความตกใจ ร่วมกับกลุ่มเย่ว์อยู่ ถ้านางขอให้ร่วมในฐานะคนตระกูลเดียวกัน เขาจะทำอย่างไร?
ยิ่งกว่านั้น กับมือกระบี่หญิงชาววังที่คอยจับผิดเรื่องโกหกอยู่ข้างๆ เขา ทำให้เขาต้องระมัดระวังคำพูด วิถีการดำรงชีวิตของเขาแบบนั้น ลำบากเกินไป มันจะดีกว่ามากถ้าเขาอยู่กับเย่คง เจ้าหมูตอนไห่และคนอื่นๆ ร่วมฝึกด้วยกัน ยิ่งกว่านั้น ยังมีอี้หนานผู้ที่ทำให้เขารู้สึกอิสระ ชีวิตเปี่ยมสุขของเขาเริ่มขึ้นแล้ว เมื่อคิดเรื่องนี้ได้ เย่ว์หยางรีบสั่นหัว “แม่สี่ต้องการให้ข้ามาตามหาน้องเย่ว์ปิง และตอนนี้ข้าตั้งใจจะพานางกลับบ้าน องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนก็ปล้นกันเกินไป นางชิงผลแห่งภูมิปัญญาและกิ่งแห่งพฤกษาชีวิต ของเหล่านั้นข้าตั้งใจจะให้เป็นของขวัญเย่ว์ปิง”
“หลังจากฟังเรื่องไร้สาระของเจ้าอยู่นาน ในที่สุดข้าก็ได้ฟังเรื่องจริงเสียที แม้ว่าจะมีบางส่วนที่โกหกอยู่ แต่ก็นับว่าไม่เลว” มือกระบี่หญิงชาววังถอนหายใจอย่างพอใจทันที เหมือนกับว่า พอฝนซา ฟ้าก็สดใสทันที นางตบหลังเย่ว์หยางเบาๆ กล่าวว่า “ข้าไม่รู้เลยว่าเด็กหน้าหนาอย่างเจ้า ก็เป็นพี่ชายที่แสนดีกับเขาได้ด้วย”
“จะเป็นพี่ชายที่แสนดีได้ ก็ต้องมีกล่องบรรจุกิ่งพฤกษาแห่งชีวิตและผลแห่งภูมิปัญญาในมือก่อน” เย่ว์หยางเตือนนางคล้ายกับว่านางฉกสมบัติเขาไป ถ้านางไม่มอบให้เขาเร็วๆ เขาจะฆ่าคนชิงทรัพย์แล้ว
“ข้าให้กิ่งแห่งพฤกษาชีวิตได้ เพราะในที่สุดเจ้าก็พูดความจริงส่วนหนึ่ง” หญิงมือกระบี่ชาววังให้กล่องลายปักที่ยังมีไออุ่นของกายนาง มีกลิ่มหอมของสาวบริสุทธิ์เจืออยู่ แก่เย่ว์หยาง
“แล้วผลแห่งภูมิปัญญาล่ะ?” เย่ว์หยางยื่นมือออกมา และทวงสมบัติต่อ..
***********************