ตอนที่ 77 เติมปุ๋ย
มีเจ้าโง่เง่าบัดซบคนหนึ่งที่จะกล้าเผชิญหน้ากับขุนพลปีศาจจำนวนหลายสิบ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีปีศาจจำนวนเป็นแสนอยู่ที่ด้านหลังของพวกมันอีก
ปฏิกิริยาแรกของเย่ว์หยางคือวิ่งเข้าไปหาลูกไฮดราตัวที่ใกล้ที่สุด เขาเตรียมกอดมันไว้ตัวหนึ่งไม่ว่าจะเป็นหรือตาย จากนั้นอัญเชิญคัมภีร์ชั้นทองแดงของเขาออกมา เพื่อให้ม่านพลังปกป้องเขาไว้ แล้วใช้ม้วนเทเลพอร์ตพากลับไปอยู่ใต้ต้นโอ๊คหมื่นปี ภายใต้สถานการณ์ที่เขาไม่ถูกโจมตี การสู้กับไฮดราเต็มวัย เป็นเรื่องที่เปลืองกำลัง แต่คงไม่มีปัญหาเมื่อสยบลูกไฮดราได้
แต่ขุนพลปีศาจจะยอมปล่อยให้เย่ว์หยางจากไปได้ตามใจชอบหรือ?
แทบจะในทันทีเมื่อเย่ว์หยางขยับ ขุนพลปีศาจทั้งหมดก็ขยับตามด้วยเช่นกัน
เย่ว์หยางพบว่าเครื่องมือเทเลพอร์ตในแดนปีศาจ เป็นอะไรที่แตกต่างจากที่ใช้ในทวีปมังกรทะยาน ถ้านักรบในทวีปมังกรทะยานต้องการใช้ม้วนเทเลพอร์ต พวกเขาจะต้องเปิดมันและอัญเชิญมันด้วยพลังภายในของพวกเขา
ช่วงก่อนนั้น เขามัวแต่ให้ความสนใจหลบหนีมากเกินไปโดยไม่ดูให้ดีเสียก่อน แต่เวลานี้ เย่ว์หยางเห็นได้ชัดเจนทีเดียว พวกขุนพลปีศาจโยนวัตถุสีดำลงมาแทบจะพร้อมกัน ดูเหมือนว่าจะเป็นลูกบอลสีดำขนาดเท่ากำปั้น ก่อนที่มันสัมผัสใครก็ตาม มันจะแตกโดยไม่มีเสียงแล้วกลายเป็นลำแสงสีดำ ภายในพื้นที่ครอบคลุมไปด้วยลำแสงสีดำ แต่ละลำแสงจะตั้งเป้าหมายเทเลพอร์ตไปยังพื้นที่ซึ่งกำหนดไว้ ถ้าเย่ว์หยางไม่ละโมบและยืนกรานที่จะล็อคคอลูกไฮดราไว้ ด้วยพลังการเคลื่อนไหวของเขาลูกบอลเทเลพอร์ตของปีศาจคงยากที่จะกระทบเขาได้ แต่ตอนนี้.. เย่ว์หยางปฏิเสธที่จะโอนอ่อนผ่อนตามและผ่อนให้ลูกไฮดราดิ้นรนจนถูกเทเลพอร์ตไปยังสมรภูมิมรณะอีกแห่งหนึ่ง ไม่ใช่แต่เพียงแค่นั้น ตอนนี้ไม่ใช่เป็นแค่ขุนพลปีศาจตนเดียวที่เขาต้องเผชิญหน้าด้วย แต่เป็นขุนพลปีศาจ 5 ตนที่เขาต้องต่อสู้พร้อมกันทีเดียว
หลังจากขุนพลปีศาจ 5 ตนเข้ามาในพื้นที่สมรภูมิมรณะ พวกมันตั้งใจแล้วว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยมนุษย์ผู้นี้ไปจากที่นี้ทั้งที่ยังมีชีวิต พวกมันปรึกษาหารือกันถึงวิธีรับมือเย่ว์หยาง
เย่ว์หยางไม่เข้าใจเรื่องที่พวกขุนพลปีศาจคุยกัน เนื่องจากพวกมันคุยกันด้วยภาษาปีศาจ
แม้ว่าเขาจะสามารถเข้าใจพวกมันได้ แต่เขาก็ไม่มีเวลาสนใจพวกมัน
ลูกไฮดราที่เขาล็อคคอมันไว้กำลังดิ้นรนด้วยพลังของมันเต็มที่ แม้ว่ามันจะเป็นแค่ลูกสัตว์อสูร และมีเพียงแค่ 3 หัว แต่ขนาดของลูกไฮดราก็ยังใหญ่กว่าวัวเสียอีก และคอทั้ง 3 ของมันก็ยาวคล้ายคองูเหลือม แต่หัวของลูกไฮดราก็ยังโตกว่าหัวงูเหลือม (เต็มวัย) และยิ่งไปกว่านั้น เขาแปลกๆ และครีบที่ยังปรากฏอยู่ ฟันของมันคมพอๆ กับใบมีด และแต่ละครั้งที่มันกัดอย่างคคุ้มคลั่ง มักจะทำให้เย่ว์หยางลำบากเสมอ
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า!” พอเห็นฉากตลก 5 ขุนพลปีศาจถึงกับกุมท้องตัวเองหัวเราะกันลั่น
พวกมันรู้สึกทันทีว่า เจ้ามนุษย์หนุ่มน้อยนี้ไม่ได้ตั้งใจโจมตีแดนปีศาจ
สิ่งเดียวที่พวกมันไม่เข้าใจก็คือ เจ้าเด็กตัวแสบนี่ ใช้ม้วนเทเลพอร์ตประสาอะไร ถึงได้ส่งเข้ามาในสมรภูมิรบโบราณ? เขาเคยมาที่นี่ก่อนหรือ?
5 ขุนพลปีศาจยังสงสัยอยู่ว่า ถ้าพวกเขาจับตาดูและปล่อยเจ้ามนุษย์น้อยผู้นี้ไว้ก่อน บางทีเขาอาจไม่รอดโดนไฮดรากินทั้งเป็นก็ได้ มีหลายครั้งที่มนุษย์ลงมาต่อสู้ภายในดินแดนปีศาจ แต่เจ้าเด็กนี่อ่อนแอที่สุด ทำให้พวกเขาตลกได้มากที่สุด พวกเขาไม่เคยเห็นคนงี่เง่าอย่างอย่างนี้จากบรรดานักรบทั้งหมดที่เข้ามาถึงที่นี่
ไฮดราทั้ง 3 หัวจนล้มลงหมดฤทธิ์
ณ ตรงนั้นเอง พวกขุนพลปีศาจพากันหัวเราะจนตัวงอ
“เจ้ามนุษย์! นี่เจ้ากะจะทำให้พวกข้าขำจนขาดใจตายใช่ไหม? เทียบกับการใช้พลังของเจ้าแล้ว ทำให้พวกข้าขำตาย ได้ผลมากกว่าจริงๆ!” ขุนพลปีศาจคนที่สูงที่สุดลุกขึ้นยืนแล้วพูดด้วยภาษาชาวทวีปมังกรทะยาน พอเขาพูดจบ ขุนพลปีศาจอีก 4 ตนหัวเราะกับแบบไม่ยั้งอีกครั้ง
“ข้ายอมแพ้ได้ไหม?” ขณะที่เย่ว์หยางถามอย่างนี้ พวกขุนพลปีศาจที่อยู่ด้านตรงข้ามหัวเราะลั่น คราวนี้ถึงกับหัวเราะจนน้ำตาไหล
ไอ้หนูนี่คงนึกว่าที่นี่คือผับมั้ง?
ในสมรภูมิมรณะ ต้องมีฝ่ายหนึ่งตายและมีอีกฝ่ายหนึ่งรอด มิฉะนั้น ต่อให้เป็นจ้าวปีศาจก็จากไปไม่ได้ กฎโบราณนี้ใครๆ ก็ไม่สามารถล่วงละเมิดได้
ขุนพลปีศาจที่ตัวเตี้ยที่สุด พยักหน้ากล่าวอย่างจริงใจว่า “ข้าจะอนุญาตให้เจ้ายอมแพ้ แต่ต้องหลังจากเจ้าตายแล้วนะ ฮ่าฮ่าฮ่า!”
เย่ว์หยางเห็นว่าเขาไม่มีทางเลือก ดูเหมือนว่าทวีปมังกรทะยานและดินแดนปีศาจ ยังคงเป็นอริต่อกันและกันจริงๆ และไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกลมเกลียวกับอีกฝ่าย ในชั่ววินาที นักท่องเที่ยวข้ามโลกก็เปลี่ยนจากผู้รักสันติมาเป็นพวกบ้าต่อสู้ หลักการที่เขาได้รับแนะนำแต่แรกคือถ้าหลีกเลี่ยงการต่อสู้ได้ เขาก็จะไม่สู้ ถ้าสู้กันแต่แรก เขาคงเอาชีวิตอีกฝ่ายหนึ่งไปแล้ว เย่ว์หยางอัญเชิญคัมภีร์ทองแดงของเขาออกมา และเรียกต้นดอกหนามทองที่ยังคงย่อยแขนของเจ้าปีศาจฮาซินไม่เสร็จออกมา และให้มันทำการฝังรากกับพื้น
“นักอัญเชิญระดับฝึกหัดหรือ? ต้นดอกหนามหรือ?” 5 ขุนพลปีศาจถึงกับตะลึง พวกเขากำลังจ้องเย่ว์หยางเหมือนกับว่ากำลังดูคนบ้า คนๆ เดียวกับคัมภีร์อัญเชิญพื้นฐานระดับกลาง บังอาจเข้ามาสู้ในแดนปีศาจ?
“เอ่อ..เจ้าเตรียมตัวให้เรียบร้อยก่อนก็ได้ เสร็จเมื่อไหร่ค่อยบอกเรา” ขุนพลปีศาจที่ตัวสูงที่สุดพูดอย่างนี้ด้วยความใจกว้างมาก
“เจ้าเลือกได้นะว่าจะตายแบบไหน! จะถูกตัดเป็นชิ้นๆ, แขวนคอตาย, จมน้ำตาย, หรือถูกเผาตาย, ทั้งหมดนี้ให้เจ้าเลือกอย่างไหนก็ได้ หรือว่าเจ้ามีไอเดียแนวคิดวิธีตายใหม่ๆ ก็ย่อมไม่เป็นปัญหาเลย, โอ..จริงสิ จะให้ข้าจารึกชื่อของเจ้าบนหลุมศพว่ายังไงดี? เขียนอย่างนี้ดีไหม?”ระวัง! พวกแกจะติดเชื้อโง่จากข้า!” ขุนพลปีศาจผู้ตัวเตี้ยที่สุด ยังกล่าวคำนี้อย่างจริงจัง
“บอกตามตรงเลยนะว่า เจ้าจะเป็นคู่ต่อสู้คนแรกที่ข้าพบว่า ข้าไม่ได้รู้สึกว่าจะประสบความสำเร็จแต่อย่างใดเลยหลังจากเอาชนะเจ้าได้…” ขุนพลปีศาจผู้มีปีกยังคงถอนใจไม่หยุด
“ข้าจะไปนอนสักครู่ ฆ่ามันเสร็จค่อยมาเรียกข้าก็แล้วกัน” ขุนพลปีศาจผู้ตัวอ้วนเหมือนหนอนล้มลงนอนอย่างสบายอารมณ์
“เนื่องจากพวกเจ้าทั้งหมดไม่ต้องการทำ อย่างงั้นข้าจะทำเอง สำหรับพวกมนุษย์ ข้าไม่ออมมืออยู่แล้ว” ขุนพลปีศาจที่ตัวเตี้ยที่สุดและเป็นตนเดียวที่ไม่สวมเกราะเวท แต่สวมเสื้อแนบผิวแปลกเดินออกมาจากกลุ่มขุนพลปีศาจ จากที่เห็นใบหน้าของมันแห้ง มีกระแสปราณดำไหลออกมาและตาของมันทอประกายสีแดง
มันกวัดแกว่งกรงเล็บปีศาจ และเรียกคัมภีร์อัญเชิญสีเงินที่มีปราณดำเปล่งออกมา
จากนั้น แสงสีแดงปรากฏออกมาจากคัมภีร์อัญเชิญเงิน
ดูเหมือนว่ามันกำลังพึมพำกับตัวเอง
หลังจากผ่านไปนาน เสียงเฟี้ยวแหลมที่ทำให้คนขนลุกผมชันจนถึงปลายผมเปล่งออกมาจากสัตว์อสูร
เย่ว์หยางสั่นเล็กน้อยขณะมองดูแสงไฟ เขารู้สึกถึงพลังแสงสีแดงระเบิดได้เป็นล้านครั้ง ถ้าฮุยไท่หลางกระโจนเข้าไปในใจกลางแสงสีแดง ร่างของมันจะระเบิดเป็นเสี่ยงๆ ยังดีที่เขารู้อันตรายของแดนปีศาจแล้ว และตัดสินใจไม่พาฮุยไท่หลางมาด้วย เขาทิ้งมันไว้ใต้ต้นโอ๊คหมื่นปี ปล่อยให้มันรอเย่ว์ปิงกับอี้หนาน ในขณะเดียวกันเขาก็หวังว่ามันจะกลายเป็นหมากตัวหนึ่งที่เขาวางไว้เป็นเครื่องหมายบนพื้นเทเลพอร์ต ถ้ามีอะไรผิดพลาด จนทำให้เขาติดอยู่ในแดนปีศาจตลอดไป ไม่สามารถกลับมาได้ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยเป็น 2 เท่า เย่ว์หยางยังคงทำเป้าหมายเทเลพอร์ตไว้บนตัวฮุยไท่หลาง
แสงสีแดงระเบิดตามมาด้วยเสียงกึกก้อง พายุรุนแรงกระหน่ำต่อเนื่อง คลื่นกระแทกที่รุนแรงปะทะกับโล่ห์แสงของเย่ว์หยางจนสะเทือน
แผ่นดินแตกระแหง และลาวาสีแดงพ่นรดไปบนพื้น
ขุนพลปีศาจที่อยู่ในชุดเสื้อดำ ใช้กรงเล็บกดลงบนคัมภีร์เงินเบาๆ และบริกรรมคาถาอีกครั้ง ลูกบอลไฟลูกหนึ่งลอยขึ้นมาจากลาวา และพื้นที่โดยรอบเริ่มมีเปลวไฟโหมกระหน่ำ พื้นที่ๆ มีลาวาไหลผ่านมีขนาดไม่ใหญ่ กว้างราวๆ 10 เมตรหรือมากกว่านั้น แต่ภายใต้เปลวไฟโหมกระหน่ำ พื้นที่ก็ขยายตัว ในที่สุดก็กลายเป็นสายธารเปลวไฟไหลไปทุกที่
พลังอัญเชิญสัตว์ประจำธาตุงั้นหรือ?
เย่ว์หยางยังทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ขมวดคิ้ว เป็นไปตามคาด พวกขุนพลปีศาจมีคัมภีร์อัญเชิญ ยากที่จะจัดการได้
โชคดี ที่ขณะนี้ดูเหมือนว่าแค่ขุนพลปีศาจที่มีคัมภีร์อัญเชิญก็คือปีศาจผอมนี้ ยังไม่รวมกับคนอื่นๆ
ขุนพลปีศาจชุดดำคือศัตรูตัวจริง แม้ว่าเขาเพิ่งจะแสดงออกว่าเป็นคนอ่อนแอไปแล้วแท้ๆ แต่เขาก็ยังคงไม่ประมาทเย่ว์หยาง ดูเหมือนว่าปีศาจตนนี้จะน่ากลัวที่สุดและจัดการได้ยากที่สุดในบรรดาขุนพลปีศาจทั้ง 5 …
แม้เป็นการกระทำของขุนพลปีศาจ เย่ว์หยางก็ยังเข้าใจได้หลายเรื่อง
ขุนพลปีศาจเหล่านี้เข้าใจจุดอ่อนอสูรของมนุษย์ได้ดีทีเดียว อสูรของมนุษย์เกือบทั้งหมดเป็นประเภทสัตว์ร้ายหรือไม่ก็สัตว์ปีก บนพื้นผิวของกระแสลาวาและเปลวไฟที่ลุกกระหน่ำ เป็นไปไม่ได้ที่พวกมันส่วนมากจะอยู่รอดได้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องสู้ ถ้าเขาพาฮุยไท่หลางมาด้วย มันคงเป็นได้แค่ไม้ประดับ ในทางตรงกันข้ามปีศาจในแดนปีศาจหลายชนิดไม่กลัวไฟ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปีศาจจากนรก สำหรับพวกมันแล้วเปลวไปฆ่าพวกมันไม่ได้ มันจะรู้สึกเหมือนปลาที่อยู่ในน้ำ มีแต่จะทำให้พวกมันเพิ่มพลังขึ้นหลายเท่า
“เอาล่ะ, เราจะมาเล่นด้วยกับเจ้า บางครั้ง ได้หยอกเย้าหนอนตัวน้อยบ้างก็ยังค่อยมีความหมาย” ขุนพลปีศาจที่ตัวสูงที่สุดเรียกเปลวไฟดำออกมาเคลือบกระบี่เล่มมหึมาของเขาพลางเดินออกมา ขณะที่เขาสาวเท้าออกมาเปลวไฟก็ลุกโหมอย่างบ้าคลั่ง เขาไม่ได้รับอันตรายเลยและมีเพียงร่องรอยเปลวไฟไหม้ตรงเท้าของเขาเท่านั้น
“ข้าหวังว่าเจ้าหนูนี่ จะไม่ตายเร็วเกินไปนะ” ขุนพลปีศาจที่ตัวเตี้ยที่สุดกวัดแกว่งขวานของเขา และอัญเชิญหัวกะโหลกงงงวยออกมาติดไว้ที่หัวขวาน
หัวขวานกลายเป็นขวานกะดูกที่น่ากลัว นัยน์ตาปีศาจส่องแสงสีเขียว และมีจุดรอบๆ ขวานดูแปลกและน่าขยะแขยง
เบื้องหลังพวกเขา ขุนพลปีศาจที่มีปีกและขุนพลปีศาจอ้วนยังไม่ยอมขยับและแค่ชมการต่อสู้และยิ้มเต็มหน้าเท่านั้น
พวกเขาไม่คิดว่าเด็กหนุ่มชาวมนุษย์ที่อยู่ต่อหน้าพวกเขาจะสามารถเอาชนะขุนพลปีศาจทั้ง 3 ที่ร่วมมือต่อสู้กันได้ ยิ่งไปกว่านั้้นพวกเขายังอยู่ภายใต้อสูรเฉพาะธาตุอย่างลาวาและอสูรไฟนรก เด็กฝึกใช้คัมภีร์สามารถอัญเชิญสัตว์อสูรได้เพียงตัวเดียว เจ้าเด็กนั่นเรียกต้นดอกหนามไปแล้ว ไม่สามารถเรียกอสูรตัวที่สองออกมาได้ แม้ว่าต้นดอกหนามจะเป็นอสูรสายพฤกษา ซึ่งโดยธรรมชาติจะข่มอสูรในนรกได้ และพัฒนาให้ถึงระดับทองได้ ขณะที่ต้นดอกหนามนี้ มีระดับต่ำเกินไป ดูเหมือนว่าไม่น่าจะสูงกว่าระดับ 2 และมันยังคงเป็นต้นอ่อนที่กำลังเติบโต แล้วมันจะใช้ได้อย่างไรกัน?
อัญเชิญต้นดอกหนามเป็นการต่อสู้ที่ไร้ประโยชน์ก่อนตายเท่านั้นเอง
“ดูเหมือนว่าข้าจะระวังตัวมากขึ้นแล้ว พลังวิญญาณของต้นดอกหนามยังคงทรงพลังมาก” ขุนพลปีศาจที่ตัวสูงที่สุดเริ่มจะเยาะเย้ยและหัวเราะเยาะเย่ว์หยาง
“ข้าจะบอกให้ สหายเก่า ดูให้ดี เป็นไปไม่ได้ที่ต้นดอกหนามนี้จะพ่นพิษตามที่มันต้องการได้ มันยังคงย่อยอะไรบางอย่างอยู่ ข้าสงสัย มันกินอะไรเข้าไป? เรามาเริ่มสู้กันได้แล้ว ทำไมมันยังย่อยไม่เสร็จเสียที?” ขุนพลปีศาจตัวเตี้ยร่วมกับขุนพลปีศาจตัวสูงล้อมเย่ว์หยางเอาไว้ขณะที่พวกเขาจู่โจม
พวกเขาตั้งใจจะทำลายม่านพลังคุ้มกันของเย่ว์หยางด้วยดาบเพลิงกับขวานกระดูก คุกคามทางจิตใจเขาและใช้ประโยชน์จากวิธีนี้
สำหรับพลังโจมตีของต้นดอกหนาม พวกเขาไม่สนใจมัน
พอเห็นปีศาจสองสหายเดินไปคุยไปและไม่สนสิ่งที่อยู่รอบตัวพวกเขา ใบหน้าของเย่ว์หยางปรากฏรอยยิ้มที่ลี้ลับทันที
“เอ๋?” ขุนพลปีศาจชุดดำคอยสังเกตท่าทางของเย่ว์หยางต่อเนื่อง เขารู้สึกว่าพฤติกรรมของเจ้าหนุ่มนี่ น่าอึดอัดมาก แต่เขาไม่แสดงสีหน้าว่ากลัวหรืออึดอัดอะไรเลย นี่ผิดปกติมากเกินไป
เป็นไปได้ว่า เขาจงใจแสดงว่าเป็นคนอ่อนแอหรือเปล่า?
ความคิดนี้แว่บเข้ามาในหัวของขุนพลปีศาจชุดดำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากเขาเห็นรอยยิ้มลี้ลับบนใบหน้าของเย่ว์หยาง เหมือนกับว่าสายฟ้าแว่บผ่านเขาไป
ก่อนที่เขาจะส่งเสียงเตือนสหายของเขา เย่ว์หยางได้หลบออกมาจากม่านแสงของเขาแล้ว
พุ่งผ่านพวกเขาไปราวกับดาวตก
ไม่มีใครเห็นความเคลื่อนไหวหรือรูปร่างเขาชัดเจน
เมื่อเขาปรากฏตัวอีกครั้ง ขุนพลปีศาจข้างหลังเขาก็ล้มลงดังตึงไปเรียบร้อยแล้ว
“อ๋า..ปุ๋ยชั้นดีนะนี่!” เย่ว์หยางใช้มีดของเขาแทงที่หัวใจของขุนพลปีศาจทั้ง 2 จากนั้นลากขุนพลปีศาจทั้งคู่ที่ยังมีเลือดไหลเข้าไปในม่านแสง เขาเรียกหน่อของต้นดอกหนามออกมา 2 หน่อ พอหน่อทั้ง 2 อ้าปากขนาดยักษ์ของมันและกินขุนพลปีศาจทั้ง 2 ที่ยังดิ้นรนอยู่ทั้งเป็น แม้แต่ดาบเปลวไฟและขวานกะโหลกก็กลืนลงไปทั้งหมด จากนั้นหน่อทั้งสองก็ขยายรากออกไปและเชื่อมกับต้นใหญ่จนทำให้พลังงานที่ได้จากการย่อยไหลเข้าไปในต้นหลักอย่างต่อเนื่อง
“อ๋า…”
เหตุการณ์นี้เหมือนกับถูกฟ้าผ่า จนทำให้ขุนพลปีศาจที่เหลืออีก 3 ตนพูดอะไรไม่ออก
ขุนพลปีศาจทั้งสอง ถูกต้นดอกหนามกินโดยไม่อาจต่อต้านแข็งขืนได้อย่างไร? กะ..เกิดเรื่องบ้าอะไรกันแน่? เจ้าเด็กแสบเพิ่งทำอะไรลงไป?
********************