ตอนที่ 69 ร้านขายการ์ดเซรีน
หลินเว่ยและพวกที่เหลือถูกปราบราบคาบ พวกเขาอยู่ในเมืองสามวิญญาณมานาน แต่ไม่เคยประสบกับการเสียท่าเช่นนั้นมาก่อน
เหลาอี้เงยหน้าทันที “เจ้าผู้นั้นเป็นแค่นักสู้ระดับสามแต่กลับมีขุนพลวิญญาณระดับหกได้ยังไง?”
คำถามนี้เรียกความสนใจของคนอื่นๆ ได้ ถูกแล้ว เห็นได้ชัดว่าถังเทียนเป็นแค่นักสู้ระดับสามแต่เขาสามารถครอบครองขุนพลวิญญาณระดับหกได้ยังไง? สำหรับตระกูลใหญ่ที่มีการสะสมสิ่งของมายาวนานการได้รับขุนพลวิญญาณจะทำได้ง่ายกว่าการฝึกฝนวิชายุทธมากนัก ดังนั้นพวกเขาจึงมีประสบการณ์มากกว่าคนธรรมดาในเรื่องการศึกษาขุนพลวิญญาณ พวกเขาค้นพบมานานแล้วว่าสำหรับนักสู้ทุกคน พวกเขาสามารถครอบครองขุนพลวิญญาณที่มีระดับสูงกว่าตัวเขาอย่างมากที่สุดเพียงหนึ่งระดับเท่านั้น
ถ้ามีระดับที่ไม่เข้ากันระหว่างขุนพลวิญญาณและวิทยายุทธซึ่งต่างกันมากกว่าสองระดับอาจทำให้เกิดสถานการณ์อันตรายได้เป็นอย่างมาก
หวี่ซีไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง “บางทีอาจเป็นเพราะขุนพลวิญญาณอีกตนหนึ่งที่อยู่ข้างๆเขาก็ได้ และเป็นขุนพลวิญญาณที่แปลกประหลาดที่ไม่มีหน้า ข้ากะคำนวณระดับพลังปราณเที่ยงแท้ของเขาไม่ได้และข้าเกรงว่าเขามีที่มาที่ไม่ธรรมดา”
หัวหลิงเม้มปากทำนัยน์ตาแดง “ความจริงเขาดุด่าข้าที่ไม่รู้มารยาทที่เหมาะสม เขาน่ารังเกียจมาก”
หวี่ซีสูดหายใจลึกก่อนพูดต่อ“นี่คือสาเหตุที่ข้าสงสัยที่มาของเขา ปลดและเสนอดาบกระบี่ ข้าเคยอ่านเรื่องนี้ในหนังสือมาก่อน นี่คือธรรมเนียมโบราณที่เชลยซึ่งยอมจำนนและส่งมอบอาวุธของพวกเขา จนถึงเดี๋ยวนี้ไม่มีใครทำอย่างนี้อีกต่อไปแล้ว แต่เขายังสังเกตเห็นข้อธรรมเนียมโบราณอย่างนี้....”
สีหน้าคนอื่นๆ เขียวคล้ำ สำหรับตระกูลใหญ่อย่างพวกเขา มารยาทเป็นเครื่องหมายบ่งสถานะของพวกเขา พวกเขามีเกียรติประวัติยาวนานของตระกูลเก่า และทั้งตระกูลและสายตระกูลจะพยายามรักษาเกียรติประวัติของตระกูลชั้นสูงอันยาวนานนี้ไว้เพื่อให้เป็นธรรมเนียมมารยาทให้พวกเขาดูสง่างามและสุขุมและนั่นคือวิธีที่พวกเขาสามารถเยาะเย้ยตระกูลที่เริ่มตั้งตัวได้
ถ้าถังเทียนได้ยินเรื่องทั้งหมดนี้ เขาคงถือว่าเป็นเรื่องไร้สาระแน่นอน
แต่สำหรับหลินเว่ยและพวกพ้อง พวกเขาเคร่งเครียดและจริงจังเพราะพวกเขารู้เป็นอย่างดีว่าพวกตระกูลใหญ่นั้นแสวงหาธรรมเนียมโบราณอย่างเด็ดเดี่ยวเพียงไหน
“ปลดและส่งมอบกระบี่เหรอ? ข้าไม่เคยได้ยินธรรมเนียมเช่นนั้นมาก่อน” หลินเว่ยส่ายหน้า “ไปเอามาจากยุคไหนกัน?”
“ยุคสามกองทัพใหญ่” หวี่ซีตอบ
คนอื่นๆ ปากอ้าค้างและเหลาอี้พูดตะกุกตะกัก “ขะข้าไม่คิดเลยว่าจะมีตระกูลใหญ่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานอย่างนั้นคงเหลืออยู่”
“ไม่มีแน่นอน” หลินเว่ยยืนยัน “แต่มันอาจเป็นตระกูลสาขาที่บรรพบุรุษสืบสายเลือดย้อนไปถึงยุคนั้นได้”
หวี่ซีถามทันที “ใครสังเกตได้ว่าเขาแขวนกระบี่ไว้ตรงไหนในตอนท้าย?”
“ดูเหมือนจะแขวนไว้บนร่างนกกระจอกเทศ” หลินเว่ยนึก
“ใช่แล้ว, มันถูกแขวนไว้ข้างอาน ข้าไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่า แต่ข้าเคยเห็นภาพวาดกองทัพดาวกางเขนใต้อยู่สองสามภาพที่พวกเขาจะแขวนรางวัลชัยชนะไว้ในจุดเดียวกัน” หวี่ซีพูดต่อ “ยิ่งกว่านั้น, การปลดและเสนอกระบี่เป็นการฉลองการยอมแพ้ด้วย”
ทุกคนมองดูอย่างงงงวย
หวี่ซีเป็นคนรอบคอบในรายละเอียดมาก และตระกูลครอบครัวของนางมีเบื้องหลังที่โดดเด่นที่สุดในสี่คนนั้น ดังนั้น นางจึงมีความรู้มากกว่าพวกเขา นอกจากนี้นี่เป็นรายละเอียดที่ไม่เด่นและเพราะเป็นรายละเอียดที่ไม่เด่น จึงปรากฏว่าน่าเชื่อถือมากขึ้น
หนุ่มน้อยผู้นั้น... มีเบื้องหลังเช่นไรกันแน่?
ทุกคนยืนซึม เนื่องจากตระกูลของพวกเขาไม่สนใจพวกเขาไม่ว่าพวกเขาจะเกเรเพียงไหนก็ตาม อย่างไรก็ตาม ถ้าพวกเขารุกรานตระกูลชั้นสูงอื่น ตระกูลของพวกเขาก็จะต้องประสบภัยเช่นกัน หัวหลิงเริ่มโอดครวญและร้องไห้
หวี่ซีพยายามปลอบคนอื่นๆ “อย่าห่วงเลย ถ้าเขาเป็นคนที่เราคิดไว้จริงๆ เนื่องจากเขาเห็นพ้องให้เราไถ่ถอนตัวเอง ก็หมายความว่าการกระทบกระทั่งของพวกเราที่ผ่านมา ได้รับการแก้ไขแล้ว”
ทุกคนก็ยังซึมเซาเหมือนเดิม
※※※※※※※※※
ถังเทียนลืมเรื่องอึดอัดขัดใจก่อนหน้านั้นหมดสิ้น
เขาขี่นกกระจอกเทศและวิ่งไปตามถนนและดึงดูดสายตาจากคนผ่านไปมาได้มาก นกกระจอกเทศอาจดูไม่งดงามแต่ขนาดที่ใหญ่ของมันคู่กับความคล่องแคล่วรวดเร็วของมัน ทำให้ทุกคนทึ่ง
“โห, โห, ว้าว.. ลุงปิง งั้นเดิมทีพวกลุงก็ยิ่งใหญ่ขนาดนี้เชียว สามารถขี่เจ้านกนี่ได้ทุกวัน” ถังเทียนกอดคอนกกระจอกเทศและร้องออกมาอย่างตื่นเต้น เขาไม่เคยเดินทางอย่างรวดเร็วมาก่อน เหมือนกับว่าเขากำลังเหินบิน
“มีแต่เพียงพวกทหารใหม่เท่านั้นถึงได้ขี่นก” ปิงที่เหาะตามมาข้างหลังถังเทียนตอบตามปกติ
“อย่างนั้นท่านใช้อะไรเป็นพาหนะ?” ถังเทียนถามอย่างข้องใจ
“..... ข้าก็ขี่นกเหมือนกัน...” ปิงมองดูว่างเปล่า แต่ก็รีบเสริม “ในฐานะผู้สอน ข้าต้องทำให้เป็นตัวอย่างที่ดี ไม่ใช่เป็นเพราะข้าอ่อนแอแน่นอน...”
“เมื่อตอนนั้น, ต้องเป็นเรื่องที่น่าดีใจที่สามารถได้ขับขี่นกกระจอกเทศและบุกตะลุยพร้อมกับพวกมันทุกวัน” ถังเทียนรู้สึกว่าต้องเป็นเรื่องสนุกมากที่สามารถเดินทางได้รวดเร็วได้ทุกวัน
“ความจริงมันน่าเบื่อมาก” ปิงตอบตามตรง “เจ้าจะรู้สึกคลื่นไส้หลังจากขี่มันนานเกินไป
“โอว, จริงเหรอ? แต่มันน่าสนุกออกอย่างนั้น ทำไมลุงถึงรู้สึกคลื่นไส้เล่า?” ถังเทียนไม่อาจนึกถึงเหตุผลออก
“กลยุทธของนกกระจอกเทศรวมเอาหัวข้อหลักหกข้อและหัวข้อรองอีกสิบสามข้อ เจ้าจะสอบผ่านได้ต่อเมื่อเจ้าทำคะแนนได้ 70%” ปิงอธิบาย
“โอ้โฮ, ดูเหมือนฟังแล้วน่าสนุกมาก” ถังเทียนตาเบิกกว้าง
“สนุกมากงั้นหรือ?” ปิงหยัน “หัวข้อง่ายที่สุดก็คือวิ่งผ่านหลักไม้ที่วางสุ่มไว้สิบสองหลักภายในสองวินาที”
ถังเทียนตะลึง “เป็นไปไม่ได้”
วิ่งผ่านหลักสิบสองหลักภายในสองวินาทีเป็นไปไม่ได้แน่นอน แม้ว่านกกกระจอกเทศจะระเบิดพลังออกมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ แต่อย่างสูงที่สุดมันสามารถบรรลุได้แค่มาตรฐานระดับหก แต่เพราะรูปร่างและน้ำหนักมหึมาของมัน ทำให้มันมีแรงเฉื่อยสูง ดังนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะแสดงความสามารถที่ซับซ้อนในระยะเวลาสั้นๆ
“เป็นไปไม่ได้หรือ?” ปิงเสียงแข็งตามปกติ “มันง่ายมาก”
ง่าย?
ถังเทียนอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนอุทาน “ลุงปิง, ฉันไม่รู้ว่าลุงน่ากลัวมากเมื่อตอนนั้น อย่างนั้นทำไมลุงไม่สอนกลยุทธนกกระจอกเทศให้ฉันเล่า?”
“กลยุทธเหล่านี้ล้าสมัยไปแล้ว” เสียงของปิงมีสำเนียงความโศกเศร้าอยู่ด้วย “หลายสิ่งหลายอย่างถูกกำหนดให้ล้มเหลวไม่มีค่า”
“ทำไมล่ะ?” ถังเทียนส่ายหัว “ในความเห็นของฉันมันน่ากลัวจะตาย สิ่งง่ายๆ หลายอย่างที่ลุงพูดฉันไม่คิดว่าหลายๆ คนจะสามารถทำมันได้”
“เวลาเป็นผู้พิพากษาที่ยุติธรรมที่สุด”เสียงของปิงกลับคืนสู่ปกติ “ความพินาศก็หมายความว่ายุคของมันกลายเป็นอดีตไปแล้ว”
ถังเทียนอยากเถียง แต่ที่ปลายถนนเขาเหลือบไปเห็นสิ่งที่ดึงดูดความสนใจเขาทันที “ร้านขายการ์ดเซรีนอยู่ตรงนั้นกระจอกเทศน้อย! ไปกันเถอะ”
นกกระจอกเทศใช้ขาข้างเดียวเอนตัวและมุ่งหน้าไปที่ร้านเซรีนอย่างเอิกเกริก
ในสายตาของปิงที่ลอยตัวตามหลังถังเทียนเป็นเหมือนกับว่าเขากำลังเห็นทหารใหม่ในครั้งกระโน้น
เมื่อมาถึงทางเข้าร้าน ถังเทียนเบรคฉุกเฉินทำให้เจ้านกกระจอกเทศหยุดและไถลมาอย่างต่อเนื่อง
ถังเทียนโดดลงจากหลังนกกระจอกเทศ
“เอ๋? หุ่นกลนกกระจอกเทศบรอนซ์นี่นา” หญิงงามผมแดงวิ่งออกมาดูนกกระจอกเทศและตาของนางเป็นประกายทันที นางเดินวนรอบนกกระจอกเทศแตะตรงโน้นบ้างตรงนี้บ้าง มีปากอ้าค้างเป็นครั้งคราว
“คุณคือเซรีนใช่ไหม?” ถังเทียนมองดูหญิงงามที่อยู่เบื้องหน้าเขา
ผมของเธอสีแดงเพลิงเหมือนเปลวไฟ กระโปรงหนังดำสั้นเต่อและฟิตเปรี๊ยะเน้นให้เห็นสัดส่วนโค้งเว้าสมบูรณ์แบบถุงน่องสีดำ รองเท้าส้นสูงที่ส้นแหลมสูง หน้าอกสมส่วนน่ารัก ริมฝีปากแดงน่าหลงใหลคู่ดวงตาสีฟ้าเหมือนน้ำทะเลกับขนตางอนยาวและมีไฝสามแฉกอยู่ใต้นัยน์ตาซ้ายของเธอ
“น้องชาย เจ้าจะว่ายังไงถ้าพี่สาวอยากจะได้นกกระจอกเทศตัวนี้?” สาวงามผมแดงเงยหน้าขึ้นและยิ้มสดใสพร้อมทั้งโปรยเสน่ห์ที่ทำให้คนเห็นหัวใจปั่นป่วนได้
ถังเทียนส่ายศีรษะ “ไม่ได้แน่นอน”
ยิ้มของหญิงงามชะงักค้างเธอระบายลมหายใจและบ่นไปพลาง “ยังอายุน้อยเกินไปหรือนี่? โปรยเสน่ห์อย่างนี้ใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไปหรือนี่?”
ถังเทียนไม่สนใจ เขาถามทื่อๆ “คุณคือเซรีนหรือเปล่า?”
สาวงามผมแดงลุกขึ้นยืนสะบัดผมสีแดงและตอบอย่างยั่วยวน “ข้าชื่อเซรีนนั่นเอง น้องชายถ้าเจ้าต้องการตัวข้า ข้าจะยอมเลย ขอแค่เพียงนกกระจอกเทศนี้เท่านั้น”
นางชม้ายชายตาให้ถังเทียน และโปรยหว่านเสน่ห์ถึงขนาดที่คนที่เดินผ่านไปมาเดินลงท่อระบายน้ำโดยไม่รู้ตัว
นางก้มตัวใช้เสน่ห์ทุกทางที่ทำได้เสียงของนางกระเส่าเย้ายวนใจ “อย่างนั้นข้าจะทำให้เจ้าต้องการข้า”
ถังเทียนส่ายหน้ายืนกราน “ข้าชอบเชียนฮุ่ยเพียงคนเดียวเท่านั้น”
เซรีนอารมณ์ค้าง นางยืดตัวขึ้น ลักษณะทอดเสน่ห์หายไปหมดไม่เหลือร่องรอย นางกล่าวเป็นเชิงเสียใจ “งั้นพูดไปเจ้ามีธุระอะไรกับข้า”
“ข้ามาซื้อการ์ดวิญญาณที่นี่” ถังเทียนเปิดเผยวัตถุประสงค์ที่เขามาเยือน
“เข้ามาสิ” เซรีนพูดเย็นชาและเข้าไปในร้าน
ถังเทียนเดินตามเข้าไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขาตะลึงเมื่อเห็นผนังที่เต็มไปด้วยการ์ดวิญญาณ หวีเป่าพูดถูก ร้านการ์ดเซรีนมีการ์ดระดับต่ำ การ์ดระดับสูงสุดที่ถังเทียนเห็นเป็นเพียงการ์ดระดับห้า แต่มีการ์ดประหลาดและการ์ดหายากอยู่มากมาย
“ใครแนะนำเจ้าให้มาที่นี่?” เซรีนจุดบุหรี่สูบและปรือตาลงครึ่งหนึ่งอยู่กับบรรยากาศที่ง่วงเหงา “อย่าบอกข้านะว่าเจ้าหาพบด้วยตัวเอง ร้านข้าไม่ใช่ร้านโด่งดัง”
“หวีเป่า” ถังเทียนตอบ
เซรีนตะลึงคำตอบของเขาไม่ใช่สิ่งที่เธอคาดหวังไว้ ทันใดนั้นเธอยื่นหน้าเข้า “นกกระจอกเทศตัวนี้ได้มาจากร้านเขาด้วยใช่ไหม?”
“เดาได้ถูก!” ถังเทียนตอบ “เราซื้อจากกองขยะของเขาแล้วประกอบขึ้นด้วยตัวเอง”
“เจ้าประกอบขึ้นด้วยตัวเองเหรอ?” เซรีนยืดตัวและวางบุหรี่ของนางลง
“ใช่แล้ว, ลุงปิงเป็นคนประกอบมันขึ้นมา” ถังเทียนชี้ไปที่ปิงที่กำลังลอยอยู่
เซรีนสังเกตเห็นขุนพลวิญญาณทั้งสองที่ด้านหลังถังเทียนอยู่นานแล้ว โดยเฉพาะปิง หน้าของปิงคล้ายกระดานว่างเปล่าและเป็นที่ดึงดูดได้ง่ายเกินไป พอได้ยินว่านกกระจอกเทศถูกปิงประกอบขึ้นมา นัยน์ตาของนางจึงดูแปลกๆ
นางพ่นควันและพูดอย่างมีความหมาย “ความสามารถเช่นนั้นในเรื่องเครื่องกลโบราณ เขาต้องเป็นคนที่น่ากลัวแน่นอน”
“นั่นก็ถูก” ถังเทียนพยักหน้าเห็นด้วย “ลุงปิงน่ากลัวมาก”
เอาล่ะ...มีเบาะแสอะไรบ้างที่จะเก็บเกี่ยวมาจากเด็กคนนี้ได้บ้าง... ท่าทีไร้เดียงสาเช่นนั้น
เซรีนเท้าข้อศอกลงบนโต๊ะและเกยคางของตนเองภายใต้แสงสลัวในร้าน นางดูเหมือนประติมากรรมที่มีเสน่ห์ “เอาล่ะ, กลับมาที่เรื่องการ์ด, เจ้าต้องการซื้อการ์ดอะไร, พ่อหนุ่ม?”