ตอนที่ 67 ขอคิดก่อนว่าอะไรกำลังสั่น
ท่าทีของเย่ว์หยางทำให้ขุนพลปีศาจโกรธหัดฟัดหัวเหวี่ยง
อย่างไรก็ตาม เจ้านี่ไม่ใช่คนโง่
แม้เมื่อมันโกรธมาก มันก็ไม่สูญเสียหลักการคิดอย่างมีเหตุผล มันเข้าใจว่าเจ้ามนุษย์ผู้นี้สามารถชกจมูกมันได้โดยที่มันตอบโต้ไม่ได้เลย เขาไม่ใช่คนดีที่จะกระตุ้นให้โกรธได้ เขาไม่มีจุดอ่อนที่แน่นอนเหมือนกับอีกสี่คน แม้จะแบกผู้หญิงอยู่บนหลังอีกคน เขาก็ยังพุ่งเข้ามาชกมันได้ เจ้านี่ไม่ใช่ศัตรูที่จะจัดการได้ง่ายเสียแล้ว ขุนพลปีศาจกวัดแกว่งดาบคู่ของมันก่อนจะถอยออกมาราว 30 เมตรล้วงแก้วผลึกออกมาเพื่ออัญเชิญสัตว์อสูรของมัน
พอเห็นว่าขุนพลปีศาจไม่มีคัมภีร์อัญเชิญ เย่ว์หยางถอนหายใจโล่งอก เขาเกลียดการเจอกับคู่ต่อสู้ที่มีคัมภีร์อัญเชิญ โล่ห์ป้องกันที่เป็นเหมือนเปลือกไข่นั้น น่ารำคาญเกินไป ไม่เพียงแต่ยอมรับไม่ได้เท่านั้น แต่มันยังยอมให้ศัตรูหลบหนีไปได้ง่ายด้วย
โชคดีที่เจ้านี่ไม่มีคัมภีร์อัญเชิญ มีแต่ดาบคู่ที่ดูเหมือนดาบไข่ ทหารปีศาจมีดจันทร์เสี้ยว
ถ้าทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ดาบไข่ของเจ้าปีศาจนี้จะตกเป็นของเขา
ดาบ Warglaive of Azzinoth หรือดาบไข่ อย่างไรก็ตาม ดาบโค้งคู่ที่ถือโดยขุนพลปีศาจดูเหมือนจะแตกต่างจากดาบไข่ในตำนานบ้างเล็กน้อย มันโค้งไม่เหมือนกันและเน้นไปเพียงด้านหนึ่ง มันสามารถใช้สร้างความเสียหายให้ศัตรูได้มากแทนที่จะเป็นแค่ของดูสวย แต่เย่ว์หยางไม่ถือสา ความจริง เขาน้ำลายไหลแล้วเมื่อเห็นดาบวิเศษคู่นี้ เขากำหนดไว้เรียบร้อยแล้วว่านี่คือดาบไข่ในรูปแบบอาวุธของปีศาจนรก นอกจากดาบ “ฟรอสท์โมร์น” (เกมวอร์คราฟท์) ดาบไข่ (วอร์คราฟท์) เป็นอาวุธที่ดูเท่ห์ที่สุดแล้ว ขณะที่มันพูดต่อไปว่า “เจ้าจะถูกกำจัดเมื่อ”ดาบไข่“ปรากฏออกมา”. แล้วจะได้เห็นกันว่าดาบไข่ทรงอานุภาพขนาดไหน
ดาบ ฟรอสท์โมร์น เนื่องจากเขาเข้ามาในแดนปีศาจได้แล้ว เขาจะดำเนินชีวิตตามคาดหวังได้อย่างไร หากเขาไม่สามารถนำดาบไข่กลับออกไปได้?
“ฮุยไท่หลาง, แกรออะไรอีก? ไปสิ”
เมื่อสิ้นคำสั่งของเย่ว์หยาง ฮุยไท่หลางก็เคลื่อนไหวทันที
อีกด้านหนึ่ง อสูรอัญเชิญของขุนพลปีศาจ เป็นอสูรสายเสริมพลัง เพิ่งจะเริ่มกระบวนการเสริมพลังเท่านั้นในขณะที่ฮุยไท่หลางกระโจนเข้าใส่ ขุนพลปีศาจนึกไม่ถึงว่าเย่ว์หยางจะไร้ยางอายถึงขนาดนี้ โดยลืมข้อเท็จจริงที่ว่าเขาก็เพิ่งลอบโจมตี, แล้วยังปล่อยหมาของเขาเข้ามาก่อกวนกระบวนการ.. แน่นอนว่าเย่ว์หยางไม่คิดอย่างนั้น ใช้สุนัขจัดการคนอื่นเป็นธรรมเนียมชั้นสูงของคนจีนโบราณ หากมิใช่เทพเอ้อหลางเสินใช้สุนัขของเขาช่วยจัดการซึงหงอคง (เห้งเจีย) เขาจะเอาชนะซึงหงอคงได้หรือไม่ก็ยังเป็นปัญหาอยู่
แน่นอนว่า ปล่อยสุนัขมาก่อกวนเป็นเรื่องสำคัญมาก
ตอนนี้ขุนพลปีศาจอ่อนแอมาก
อสูรที่มันอัญเชิญออกมายังไม่เสร็จสิ้นกระบวนการเสริมพลัง จำเป็นต้องใช้เวลามากกว่า 2-3 วินาทีเพื่อดึงพลังออกมาใช้ได้เต็มที่ แต่มันถูกบังคับให้หยุดกระบวนการหลอมรวม
ร่างของขุนพลปีศาจกับอสูรของมันดูเหมือนถูกพลังที่มองไม่เห็นบังคับให้ติดกัน และทั้งสองก็ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้เลยสักนิ้ว เจ้ามนุษย์นักรบผู้น่าชังคนนี้ ต้องเป็นคนโง่ที่เชี่ยวชาญกลยุทธ์ต่อสู้แทนที่จะใช้อสูรอัญเชิญที่ทำสัญญามาต่อสู้ เจ้ามนุษย์โง่ผู้นี้ ซ้อมมันจนมึนงงและเห็นดาวเต็มไปหมด สิ่งที่ทำร้ายจิตใจของขุนปีศาจอย่างรุนแรงก็คือพฤติกรรมต่อมา บุรุษผู้นี้ชิงดาบคู่ไปจากมือของมันและใช้มันได้คล่องแคล่วกว่าตัวเจ้าของเอง ตัดซ้าย-ขวา ฟันล่าง-บน, ควง หมุน สังหาร เป็นอาวุธหมุนที่มีวิธีใช้เฉพาะ เหมือนกับว่าดาบคู่เสี้ยวจันทร์นี้ออกแบบมาให้เขาได้ใช้ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทนต่อแรงพายุดาบหมุนของเจ้าเด็กนี่ได้
“ดาบไข่ของเจ้าก็ไม่เลวอยู่หรอก เสียดายที่คุณภาพไม่ค่อยดี ขุนพลปีศาจระดับเจ้าใช้ของวิเศษระดับทองแดงได้อย่างไร?” เย่ว์หยางแสดงความไม่พอใจต่อเขาเล็กน้อย
“มนุษย์! เจ้ายั่วโมโหข้าเกินไปแล้ว”
แม้ว่าเป็นมนุษย์ผู้มีวิทยายุทธ์สูงมีพลังมาก แต่เขาก็ไม่มีสัตว์อัญเชิญ นี่คือจุดอ่อนยิ่งใหญ่ของเขา
แม้ว่าหมาป่าปีศาจหลังเหล็กชั้นทองแดงระดับ 4 จะมีความแข็งแกร่ง แต่มันก็เป็นแค่สัตว์อสูรที่ดุร้าย และไม่มีอะไรที่น่ากลัวมาก
ในฐานะที่เป็นขุนพลปีศาจชั้นสูงระดับ 5 ไม่เคยนึกเลยว่ามนุษย์คนหนึ่งผู้ไม่มีอสูรที่ทำสัญญา มุ่งแต่ใช้กลยุทธ์ต่อสู้และใช้หมาป่าที่มีความสามารถต่อสู้ได้ในระดับสูงก็สามารถเอาชนะมันได้ เจ้ามนุษย์ผู้นี้คิดว่าใช้ดาบจันทร์เสี้ยวตัดเขาให้เป็นส่วนๆ ก็สามารถเอาชนะมันได้หรือ? น่าขันสิ้นดี เขาคงไม่รู้หรือว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจครอบงำโลกได้เนื่องจากพวกมันมีร่างกายที่แข็งแกร่ง?
ตราบใดที่หัวใจไม่ถูกทะลวง ตราบใดที่หัวไม่ขาด ตราบนั้นมันก็ยังต่อสู้ได้ต่อไปโดยเรี่ยวแรงไม่ตกเลย
ดาบจันทร์เสี้ยวคู่แค่เอามาใช้ช่วยให้เขาโจมตีได้เท่านั้น สิ่งที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาก็คือร่างกายที่มีความทนอย่างมาก
ขุนพลปีศาจสูดลมหายใจลึกๆ และหลอมรวมกับอสูรอัญเชิญของเขา “กิ้งก่าปีศาจ”
ตลอดทั้งร่างของมันเริ่มเปลี่ยนไปอย่างช้าๆ เขายาวโค้งปลายแหลมคนงอกขึ้นบนหัว กลีบเล็บเปลี่ยนเป็นกรงเล็บเหล็กแหลมคมจนตัดหินได้ กล้ามเนื้อของมันปูดโปนออกมามีเกล็ดหนาปกคลุมผิวเอาไว้ ข้างหลังของมันมีหางหยาบงอกยาวออกมาที่ปลายหางมีเงี่ยงเหล็กแหลม ปีกเนื้อบางเบางอกออกจากหลังช่วยให้มันร่อนได้ไกลยามกระโดดขึ้นไปในอากาศ
เย่ว์หยางเห็นว่าเล็บของขุนพลปีศาจสามารถยืดยาวได้ตามที่มันปรารถนา สามารถเจาะหินดำได้ลึกจริงๆ ขณะที่มันตัดผ่านพื้น
ในทันใดนั้น เขาแสดงอาการประหลาดใจอย่างมาก
“คราวนี้ลองเจอ พลังและความเร็วของข้าที่เพิ่มขึ้นจากเมื่อก่อนถึง 5 เท่า จงสั่นเข้าไป..ร้องไห้เข้าไป เจ้ามนุษย์อ่อนแอและไร้พลังเอ๋ย!” ขุนพลปีศาจระเบิดเสียงหัวเราะลั่น
ด้วยการเคลื่อนไหวฉับเดียว เขาร่อนตรงมาที่เย่ว์หยางจากบนท้องฟ้า เย่ว์หยางใช้ดาบจันทร์เสี้ยวต้านรับการโจมตีของเขา แต่ขุนพลปีศาจใช้ฝ่ามือปัดออกอย่างง่ายดาย คงมีแค่บาดแผลเล็กน้อยเพียงสายเดียว มันยกมืออีกข้างหนึ่ง ขุนพลปีศาจดูเหมือนจะผ่าท้องฟ้าออกเป็นส่วน ขณะที่เขาตะกุยกรงเล็บมาที่เย่ว์หยาง เย่ว์หยางรีบหมุนตัว ใช้ดาบจันทร์เสี้ยวอีกเล่มหนึ่งตั้งรับไว้ ขุนพลปีศาจหัวเราะลั่นขณะผลักดาบลงพื้น ทันใดนั้นหางที่เต็มไปด้วยหนามเงี่ยงฉกกลับมาที่หน้าของเย่ว์หยางราวอสรพิษ
ปัง!
เย่ว์หยางตีลังกากลับหลังหลบมันได้อย่างหวุดหวิด
ตรงพื้นที่เขายืนก่อนหน้านั้นถูกหางหนามกระแทกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแทน
เวลานี้ เย่ว์หยางแสดงสีหน้าประหลาดใจ เหมือนเด็กบ้านนอกย้ายเข้าเมืองใหญ่และได้เห็นเครื่องบินเป็นครั้งแรกในชีวิต
“สั่นแล้วหรือยัง, เจ้ามนุษย์อ่อนแอ?” พอชื่นชมตัวเองแล้ว ขุนพลปีศาจก็อัญเชิญสัตว์อสูรอีกตัวหนึ่ง อสูรลูกไฟ และให้มันจุดไฟที่เล็บของเขา เดิมที อสูรลูกไฟนี้จะต้องถูกจุดบนดาบคู่จันทร์เสี้ยว แต่อาวุธวิเศษถูกเย่ว์หยางชิงไปก่อน ในเมื่อมันไม่มีทางเลือกจึงต้องประยุกต์วิธีโดยจุดไฟบนเล็บเหล็กแทน อย่างไรก็ตามพลังที่่น่าลุ่มหลงนี้ ไม่ใช่พลังอ่อนด้อยเลย
ตราบใดที่มันใช้เล็บเหล็กตะกุยใส่เด็กมนุษย์คนนี้ไม่ได้ อสูรไฟปีศาจก็จะเผาผลาญมันแทน
พอเห็นเย่ว์หยางถอยออกไป ขุนพลปีศาจยิ่งยินดีและหัวเราะลั่น
จากนั้น มันก็ไล่ตามเย่ว์หยางด้วยความเร็วราวสายฟ้าแล่บ มันยกกรงเล็บที่มีไฟลุกไหม้และตะกุยลงไปที่เย่ว์หยาง
อย่างไรก็ตาม พลังที่ขุนพลปีศาจไม่รู้จักปรากฏขึ้นยับยั้งมันอีกครั้ง มันรู้สึกว่าท้องฟ้าหมุนในเวลาเดียวกัน และเมื่อขุนพลปีศาจโต้ตอบได้ มันพบว่าทั้งร่างของมันโดนเหวี่ยงลงไปที่พื้น มนุษย์นักรบหัววัว ตัวสูงใหญ่กำลังมองลงมาที่มัน นัยน์ตาของมันแดงดุจไฟ อสูรไฟปีศาจระหว่างแขนของมันระเบิดดัง “ปัง” และลามไปทั่วตัวของมันเอง
มันเปลี่ยนถูกไฟปีศาจห่อหุ้ม กลิ้งไปมาบนพื้น
ก่อนที่ขุนพลปีศาจจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น มันมองเห็นกีบเท้าวัวขนาดใหญ่ย่ำลงมาที่หน้าของมันด้วยพลังมหาศาล
หลังจากรออยู่นาน ฮุยไท่หลางเห็นอสูรไฟปีศาจที่ระเบิดเพราะโดนโคเงาใช้เนตรประหารฆ่ามัน มันจึงวิ่งเข้ามาและกลืนซากของอสูรไฟปีศาจลงท้องไปทั้งหมด
“เจ้าหมาไม่รักดี! กินมันได้ทุกอย่างที่ขวางหน้า แกคิดว่าแกเป็นเจ้าหน้าทางการหรือไง, ถึงได้หวังว่าจะมีอาหารมาเสิรฟให้ทุกที่ๆ แกไป?” เมื่อฮุยไท่หลางกลืนซากอสูรไฟปีศาจลงไปแล้ว ก็ปรากฏเปลวเพลิงรอบๆ ตัวมัน เผาผิวมันจนสว่าง แต่แปลกที่หัวอีกหัวที่งอกออกมาจากคอของมัน ภายใน 2 นาทีก็สามารถหลอมรวมพลังจากอสูรไฟปีศาจได้สำเร็จ และฮุยไท่หลางได้ยกระดับขึ้นเป็นสัตว์ชั้นทองแดงระดับ 5 อย่างเป็นทางการ
เห็นได้ชัดว่าฮุยไท่หลางไม่เคยใช้ร่างใหม่หลังจากมันวิวัฒนาการเป็น 2 หัวแล้ว มันอึดอัดเล็กน้อยยามที่มันเดิน และเมื่อหัวทั้งสองมองหน้ากันเอง พวกมันจะเผลอกลัวหน้าของมันกันเอง ในที่สุดหลังจากสังเกตตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า ก็เป็นอันยืนยันว่าอีกหัวหนึ่งนั้นงอกออกมาจากตัวมันเองแน่ๆ ตาทั้ง 4 ของฮุยไท่หลางก็พลันเหลือกขาวเป็นลมล้มลงกับพื้นทันที
เย่ว์หยางอึ้งจนพูดไม่ออก
เขาคาดว่าฮุยไท่หลางเป็นสัตว์อสูรตัวแรกในประวัติศาสตร์เผ่าพันธุ์หมาป่า หรือแม้แต่อสูรเผ่าพันธุ์อื่นทั้งโลกที่กลัวตัวเองมากถึงขนาดเป็นลมได้
ด้วยความกล้าหาญเพียงเท่านี้ เห็นทีภายหน้ามันคงยากจะประสบความสำเร็จแน่
ตรงกันข้ามกับโคเงาที่ไม่รู้จักความกลัวว่าคืออะไร นางยังกระทืบขุนพลปีศาจอย่างโหดร้าย ต่อให้มี 18 ชีวิตก็คงไม่เหลือ ภายใต้การทำร้ายหนักหน่วงรุนแรงของนาง ขุนพลปีศาจไม่มีโอกาสโต้ตอบเลย ต่อให้เขาโต้ตอบได้ก็เปล่าประโยชน์โดยสิ้นเชิง เพราะมีอีกคนกระพริบตากลมโตมองดูอยู่ เสี่ยวเหวินหลีนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม เหตุผลที่แท้จริงที่ขุนพลปีศาจหมดโอกาสโดยสิ้นเชิงก็คือ ปราณกระบี่ของเย่ว์หยาง
ด้วยกระแสปราณกระบี่ของเย่ว์หยาง เขาทะลวงจุดที่อ่อนแอที่สุดของขุนพลปีศาจได้อย่างง่ายดาย ก็คือหัวใจของเขา
“ด้วยทุกอย่างที่ข้ามี ข้าขอพลีให้แก่จ้าวปีศาจบารุธผู้ยิ่งใหญ่, จ้าวปีศาจ..จงเจริญ” ขุนพลปีศาจอยู่ในความสิ้นหวังจึงตะโกนเสียงดังอย่างนี้ จากนั้นกล้ามเนื้อของเขาก็เริ่มผิดรูปดูแปลกๆ และท้องของเขาบวมออกมา ปราณปีศาจของเขาได้รวมตัวอย่างรวดเร็วปกคลุมร่างกายของเขาทั้งหมด
“เจ้า..โปรดเงียบสักครู่ก่อนได้ไหม? ข้ากำลังตรองอย่างหนักว่า”สั่น“คืออะไร” ขุนพลปีศาจกำลังคิดจะใช้การทำลายตัวเอง แต่เย่ว์หยางไม่มีเวลายุ่งกับเขา
ตรงกันข้าม เสี่ยวเหวินหลีกำลังยืนชมดีๆ มาถึงครึ่งชั่วโมงก็ไม่สามารถทนขุนพลปีศาจได้อีกต่อไป นางอัญเชิญเมดูซาศิลาออกมา และพอเมดูซาศิลายิงลูกศรไปหนึ่งดอก ขุนพลปีศาจที่ยังไม่ตายหลังจากถูกโคเงาย่ำใส่มาเป็นเวลานานและเตรียมจะทำลายตนเองก็เปลี่ยนกลายเป็นหิน
โคเงายังคงย่ำใส่ขุนพลปีศาจต่ออีกหลายครั้ง ขุนพลปีศาจได้พบกับความตายที่แท้จริง จากศิลาใหญ่กลายเป็นเศษหินชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“ข้าจะทำสัญญากับมันเลยหรือว่ารอเก็บคัมภีร์ทองอีกเล่มแล้วค่อยทำสัญญาดี? ทำไมซื่อหมิงถึงไม่ให้คัมภีร์ทองแก่ข้านะ และชั้นของคัมภีร์เงินก็ยังต่ำเกินไปด้วย” เย่ว์หยาง เจ้าคนที่ไม่เคยพอใจกับสิ่งที่ตนเองมีลืมสนิทว่า คัมภีร์อัญเชิญของตนเองยังอยู่ในชั้นทองแดงขั้นกลาง ระดับยังต่ำกว่าคัมภีร์อัญเชิญเงินเล่มนี้ถึง 2 ระดับ
ถ้าเขาทำสัญญากับคัมภีร์เล่มที่สอง เขาจะได้รับทักษะธรรมชาติและอสูรผู้พิทักษ์อื่นเพิ่มอีกหรือไม่?
*****************