ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 54 เสียใจ
ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 54 เสียใจ
ไม่มีใครคิดว่าเย่ชิวจะโหดเหี้ยมขนาดนี้ เขาไม่ลืมที่จะเยาะเย้ยฉีอู๋ฮุ่ยก่อนจะจากไป พวกเขารู้สึกได้ว่าในเวลานี้ฉีอู๋ฮุ่ยอาจต้องการสังหารเย่ชิวก็ว่าได้
พวกเขาแอบหัวเราะอยู่ภายในใจ เจ้าสมควรจะได้รับมันแล้ว!
ในหมู่พวกเขา หยางอู๋ตี๋นั้นรู้สึกสบายใจเป็นที่สุด เพราะเขาเป็นผู้ที่ต่อสู้กับฉีอู๋ฮุ่ยในพิธีรับศิษย์ในโถงหยกพิสุทธิ์ เขาได้ประมือกับฉีอู๋ฮุ่ยเพื่อแย่งชิงศิษย์กัน ในท้ายที่สุด เนื่องจากขอบเขตของเขาไม่สามารถเทียบฉีอู๋ฮุ่ยได้ ศิษย์คนนั้นจึงถูกฉกฉวยไปอย่างเสียดาย หยางอู๋ตี๋ยังไม่ลืมความกล้ำกลืนของตนในช่วงเวลานั้นได้
“ฮ่าฮ่า ศิษย์น้อง! เจ้าทำได้ดีมาก…” หยางอู๋ตี๋แอบดีใจ เขาตบไหล่เย่ชิวและหัวเราะออกมา เขาไม่ได้ซ่อนความสุขเลยแม้แต่น้อย เขานั้นตรงไปตรงมา หากเขาอารมณ์ดีเขาก็จะกล่าวตามที่ตนปรารถนา
หมิงเยว่ปิดปากของนางและหัวเราะ “ศิษย์น้องเย่ เจ้าช่างเจ้าเล่ห์นัก ทว่าข้าชอบมันไม่น้อย ข้าคิดว่า… ศิษย์พี่ฉีอาจจะอาเจียนเป็นเลือดด้วยความโกรธเกรี้ยวเมื่อเขากลับไปยังภูเขา แม้แต่คนธรรมดาไม่รับมือการตบหน้าเช่นนี้ได้ นับประสาอะไรกับคนอย่างศิษย์พี่ฉีที่มีความภาคภูมิใจในตนเองสูง”
จู่ ๆ หมิงเยว่ก็รู้สึกเสียใจต่อฉีอู๋ฮุ่ยไม่น้อย ขณะที่นางส่ายหัว นางเองก็ดีใจมากที่คน ๆ นั้นไม่ใช่นาง มิฉะนั้นนางอาจจะไม่สามารถข่มตานอนหลับได้ ยิ่งก้าวถอยหลัง ก็ยิ่งโกรธ ยิ่งอดทนมากเท่าไหร่ก็ยิ่งสูญเสียมากขึ้นเท่านั้น
เย่ชิวยิ้มโดยไม่พูดอะไร ในขณะนี้เมิ่งเทียนเจิ้งได้เดินเข้ามา หัวใจของเขาเจ็บปวดเพราะฉีอู๋ฮุ่ยไม่น้อย ทว่าเขาไม่สามารถพูดอะไรได้
ท้ายที่สุดฉีอู๋ฮุ่ยเป็นคนริเริ่มที่จะยั่วยุเย่ชิวก่อน นอกจากนี้ ปรมาจารย์ขุนเขาคนก่อนของขุนเขาเมฆาม่วงและขุนเขากระบี่เร้นลับล้วนเป็นเช่นนี้ เขาคุ้นเคยกับมันแล้ว
“ศิษย์พี่เจ้าสำนัก…” ทุกคนตะโกนพร้อมกันและหยุดพูดคุยเรื่องนี้หลังจากที่พวกเขาเห็นเมิ่งเทียนเจิ้งเดินผ่านไป อย่างไรก็ตามพวกเขายังคงแอบหัวเราะอยู่ในใจ
“เอาล่ะทุกคน แยกย้ายได้แล้ว! การประลองยุทธกำลังใกล้เข้ามา ทุกคนจงกลับไปเตรียมตัว”
“ทราบแล้ว…” ทุกคนตอบพร้อมกันและแยกย้ายกันไป เมิ่งเทียนเจิ้งมองเย่ชิว อย่างลึกซึ้งและพึงพอใจเป็นอย่างมากมาก
จากสิ่งนี้เป็นการบ่งบอกว่ามรดกของขุนเขาเมฆาม่วงยังได้รับการสืบทอดมา
ไม่กี่เดือนที่ผ่านมาฉีอู๋ฮุ่ยได้แนะนำให้เย่ชิวทำการยุบขุนเขาเมฆาม่วง ท้ายที่สุดมีเพียงเย่ชิวเพียงคนเดียวที่อยู่บนขุนเขานี้นี้ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องมีขุนเขาอีกต่อไป
เมิ่งเทียนเจิ้งดีใจมากที่เย่ชิวไม่เห็นด้วยกับคำแนะนำของฉีอู๋ฮุ่ย
“ศิษย์น้อง ข้าไปก่อน! ไว้พบกันในการประลองยุทธ” หยางอู๋ตี๋ตบไหล่เย่ชิวและจากไปพร้อมกับเสียงหัวเราะ อารมณ์ของเขาดูเหมือนจะดีเป็นพิเศษ
ในไม่ช้าก็มีเพียงเย่ชิวและศิษย์สองคนของเขา หมิงเยว่ หลิวรู่หยานและหลิวชิงเฟิง เท่านั้นที่ถูกทิ้งไว้ที่ขุนเขาเมฆาม่วง
เมื่อเห็นว่าทุกคนออกไปแล้ว หมิงเยว่ก็ล่าวอย่างไม่เต็มใจว่า “ศิษย์น้อง ข้าก็จะกลับเช่นกัน! ลาก่อน”
“เอาล่ะ ศิษย์พี่หญิงดูแลตนเองให้ดี ท่านสามารถมาเยี่ยมเยือนขุนเขาข้าได้เสมอ” เย่ชิวกล่าวอย่างใจเย็น หมิงเยว่ดูผิดหวังเล็กน้อย เขาจะไม่ขอให้นางอยู่หน่อยหรือ
ข้าหงุดหงิดยิ่งนัก ข้าเพียงแค่พูดลอย ๆ ข้าไม่ได้อยากจากไปจริง ๆ เจ้าบัดซบ ข้าขี้เหร่เพียงนั้นเลยหรือ หมิงเยว่เกิดความสงสัยในรูปลักษณ์ของตนอีกครั้ง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นางยังคงเป็นสาวงามลำดับหนึ่งของสำนักเยียวยาสวรรค์ นางมีความเป็นผู้ใหญ่ มีความรู้และใจกว้าง เป็นสตรีในฝันของชายหนุ่มหลายคน
ทว่าดูราวกับสิ่งนี้จะไม่มีประโยชน์กับเย่ชิวมากนัก
เป็นไปได้ไหมว่า… เขาชอบผู้ชายจริง ๆ แค่คิดก็น่ากลัวแล้ว...
“รู่หยาน ไปกันเถอะ” หมิงเยว่กล่าวอย่างขมขื่นและหันไปจากไป
หลิวรู่หยานเดินตามหมิงเยว่ท่ามกลางความเงียบงัน จนถึงขณะนี้นางยังไม่ฟื้นคืนจากความตกตะลึงของนาง อาจารย์อาจารย์ลุงเย่ที่เคยถูกมองว่าเป็นขยะได้ทำให้พวกเขาตกตะลึงอีกครั้ง
หลังจากหมิงเยว่จากไปก็เหลือเพียงหลิวชิงเฟิง
“เอ๊ะ เจ้าไม่ไปหรือ เราไม่มีอาหารเลี้ยงเจ้าหรอกนะ…” เย่ชิวหันกลับมาและชำเลืองมองเขา เด็กคนนี้ต้องการอาศัยอยู่บนขุนเขาเมฆาม่วงหรือ
หลิวชิงเฟิงยิ้มและกล่าวว่า “อาจารย์อาจารย์ลุงเย่ ข้ายังไม่ได้ขอบคุณท่านอย่างถูกต้อง หากไม่ใช่เพราะคำแนะนำของท่านในวันนี้ ข้าคงไม่สามารถตรัสรู้ได้เช่นนี้”
เย่ชิวพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ เด็กคนนี้ไม่เลวเลย ทั้งยังดูแลเขาเป็นอย่างดีตลอดหลายปีที่ผ่านมา แม้ว่าทุกคนในสำนักจะปฏิบัติต่อเขาอย่างเย็นชา ทว่ากลับมีเพียงหลิวชิงเฟิง เท่านั้นที่รักษาความเคารพที่เขาควรมีต่อเขาไว้เสมอมา
“เอาล่ะ ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า!” เย่ชิว พูดอีกครั้งว่า “ในฐานะหัวหน้าศิษย์เจ้ายังมีภาระมากมาย จงกลับไปก่อนเถอะ”
หลิวชิงเฟิงไม่ปฏิเสธและโค้งคำนับอย่างเคร่งขรึม “เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”
“เอาล่ะ ไปเถอะ…”
ในไม่ช้าหลิวชิงเฟิงก็ออกจากขุนเขาเมฆาม่วง ทำให้ขุนเขาเมฆาม่วงกลับสู่ความสงบดังเดิม
เย่ชิวรู้ว่าเรื่องราวของวันนี้จะแพร่กระจายไปทั่วสำนักอย่างแน่นอน ทว่าเขาไม่สนใจ
หลังจากที่ทุกคนออกไป หลินชิงจู้และจ้าวว่านเอ๋อก็เดินขึ้นมา
จ้าวว่านเอ๋อเอียงศีรษะของนางและมองไปในทิศทางของขุนเขากระบี่เร้นลับ นางกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ เหตุใดอาจารย์อาจารย์ลุงฉีถึงต้องบาดหมางกับท่านหรือ”
นางไม่รู้ชัดเจนเกี่ยวกับความบาดหมางระหว่างขุนเขาเมฆาม่วงและขุนเขากระบี่เร้นลับ ดังนั้นนางจึงสงสัยเป็นอย่างมาก
ทั้งสองยืนมองจากด้านข้างโดยไม่พูดอะไร อย่างไรก็ตาม พวกเขารู้สึกได้ถึงความเย่อหยิ่งและดูถูกเหยียดหยามในสายตาของฉีอู๋ฮุ่ย
ทว่าน่าเสียดายที่เขาจากไปด้วยความเสียใจ
เย่ชิวยิ้มและอธิบายว่า “เพราะขุนเขาเมฆาม่วงและขุนเขากระบี่เร้นลับเป็นศัตรูกันมานานหลายชั่วอายุคน การต่อสู้เช่นนี้มีมาแต่ช้านาน ปรมาจารย์เกือบทุกคนจะต่อสู้กันเอง”
“ทว่าน่าเสียดาย ตั้งแต่ต้นจนจบ ขุนเขากระบี่เร้นลับถูกสะกดไว้โดยขุนเขาเมฆาม่วงของเรา”
“หลังจากสั่งสมความแค้นมาหลายปี ความขัดแย้งนี้ก็ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น นับตั้งแต่ฉีอู๋ฮุ่ยสืบทอดตำแหน่งปรมาจารย์ขุนเขา เขาถือว่าขุนเขาเมฆาม่วงเป็นศัตรูเพียงคนเดียวของเขา อย่างไรก็ตาม ปรมาจารย์ของเรายังคงมีชีวิตอยู่ในเวลานั้น ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าที่กระทำจะผลีผลามเกินไป
“ไม่นานปรมาจารย์ขุนเขาเมฆาม่วงรุ่นก่อนก็ได้เสียชีวิตไป ฉีอู๋ฮุ่ยจึงเริ่มเห็นความหวังที่จะปราบปรามขุนเขาเมฆาม่วงของเราอย่างบ้าคลั่ง นับเป็นเวลาสิบปีแล้วที่เขาคอยกดดันและทำให้ข้าลำบากอยู่เสมอ เขาต้องการพิสูจน์ว่าขุนเขากระบี่เร้นลับ ไม่ได้ด้อยไปกว่าขุนเขาเมฆาม่วงของเรา”
จ้าวว่านเอ๋อตระหนักได้หลังจากได้ยินคำอธิบายของเย่ชิว ปรากฎว่าขุนเขาเมฆาม่วงและขุนเขากระบี่เร้นลับมีอดีตที่ซับซ้อนเช่นนี้ นางเข้าใจดีว่าความบาดหมางระหว่าง ขุนเขาเมฆาม่วงและขุนเขากระบี่เร้นลับอาจมาตกอยู่ที่พวกนางในอนาคต นางรู้สึกกดดันอย่างมากในทันที ปรมาจารย์ขุนเขาคนก่อนของขุนเขาเมฆาม่วง ไม่เคยพ่ายแพ้ผู้ใด แม้แต่เย่ชิวก็ยังตอบโต้อย่างแข็งกร้าว
หากเวลานั้นมาถึง พวกนางจะสามารถรักษาขุนเขานี้ไว้ได้หรือไม่
“นั่นคือเหตุผลที่พวกเจ้าต้องขยันบ่มเพาะ เจ้าสามารถแพ้ใครก็ได้ที่ไม่ใช่คนจากขุนเขากระบี่เร้นลับ มิฉะนั้นฉีอู๋ฮุ่ยจะไม่ปล่อยโอกาสอันยอดเยี่ยมเช่นนี้ไป และเหยียบย่ำเราอย่างแน่นอน” เย่ชิวกล่าวอย่างจริงจัง ทั้งสองพยักหน้าตอบพร้อมแววตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
“ท่านอาจารย์ ไม่ต้องกังวล เราจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังอย่างแน่นอน”
จ้าวว่านเอ๋อดูเหมือนจะมีเป้าหมายใหม่ นางมองไปยังขุนเขากระบี่เร้นลับอย่างมีเลศนัยและพึมพำว่า “น่าสนใจ… เช่นนั้นเราจะแพ้ไม่ได้”
นางสามารถควบคุมเคล็ดวิชาเพลิงกรรมบงกชแดงในร่างกายของนางได้เป็นอย่างดีหลังจากที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาฝ่ามือดอกเหมยควบคู่ ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของนางนั้นน่าทึ่งมาก นอกจากนี้ ในช่วงเวลานี้ นางได้ดูดซับพลังของกระดูกสมบัติอย่างต่อเนื่อง ทำให้ระดับการบ่มเพาะของนางได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน
จากการคาดการณ์ของเย่ชิว นางควรจะบรรลุขอบเขตนิ้วทมิฬขั้นที่ 9 ก่อนถึงการลองยุทธเจ็ดขุนเขา
นี่เป็นแค่การคาดการณ์ทั่วไป หากนางขยันกว่านี้ นางอาจจะสามารถทะลวงไปสู่ขอบเขตสวรรค์ได้
ท้ายที่สุดแล้ว กระดูกสมบัตินั้นเป็นผู้สืบทอดของขอบเขตห้าชีวาเร้นลับ พลังที่บรรจุอยู่ในนั้นทรงพลังอย่างยิ่ง มันจะถูกดูดซึมได้ง่ายขนาดนั้นได้อย่างไร
ในทางกลับกัน ระดับการฝึกฝนของหลินชิงจู้ได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องซึ่งอยู่ในขอบเขตสวรรค์ขั้นที่ 2 ความก้าวหน้าของนางก็รวดเร็วมากเช่นกัน
อาจเป็นเพราะจ้าวว่านเอ๋อกำลังไล่ตามนาง แรงกดดันในฐานะศิษย์พี่ใหญ่ทำให้นางมีความปรารถนาที่จะแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในขณะนี้ ฉีอู๋ฮุ่ยได้กลับไปยังห้องฝึกซ้อมและทุบโต๊ะด้วยความโกรธเกรี้ยว
“มารดามันเถอะ!” ฉับพลัน โต๊ะพังทลายลงกลายเป็นฝุ่นทันที
เมื่อศิษย์ข้างนอกได้ยินเสียงดัง พวกเขาต่างตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวทันที ไม่มีใครรู้ว่าเหตุใดเขาถึงโมโหเช่นนี้
แน่นอนว่าไม่มีใครกล้าไปรบกวน เพราะกลัวว่าตนเองจะได้รับเคราะห์ร้ายโดนบันดาลโทสะใส่