ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 51 การตรัสรู้ก็กระตุ้นระบบได้หรือ
ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 51 การตรัสรู้ก็กระตุ้นระบบได้หรือ
ในขณะนี้ หลิวชิงเฟิงได้หมุนตัวหลายพันครั้ง พลังวิญญาณที่หมุนวนอยู่ในท้องฟ้าก็หดตัวและพุ่งเข้าหาราวกับน้ำทะเลก็ว่าได้
“เริ่มแล้ว!”
เหตุการณ์นี้ทำให้เมิ่งเทียนเจิ้งรู้สึกประหม่าขึ้นมา
เขาสงสัยว่าหลิวชิงเฟิงจะสามารถบรรลุขอบเขตใดการหล่อเลี้ยงจากฟ้าดินที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้ได้
ในขณะนี้ ใบหน้าของหลิวชิงเฟิงซีดเล็กน้อย ราวกับว่าเขาเจ็บปวดจากผลกระทบของพลังอันยิ่งใหญ่นี้
ภายใต้การจ้องมองของทุกคน ระดับการบ่มเพาะของเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ขอบเขตสวรรค์ขั้นที่ 5 ขั้นสูงสุด
ขอบเขตสวรรค์ขั้นที่ 6
ขอบเขตสวรรค์ขั้นที่ 7
ขอบเขตสวรรค์ขั้นที่ 8
ขอบเขตสวรรค์ขั้นที่ 9…
“แม่เจ้า… เขาบรรลุขั้นที่ 9!”
ทุกคนสูดอากาศเย็นเข้าไป การตรัสเพียงครั้งเดียวสามารถทำให้เขาทะลวงไปถึงขั้นที่ 9 ได้ในคราวเดียว การตรัสรู้ดังกล่าวน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าการบ่มเพาะกว่าสิบปีเสียอีก
นี่เป็นเรื่องยากที่จะทำใจ ราวกับว่าเขาถูกรางวัลใหญ่และร่ำรวยในชั่วข้ามคืน
“ขั้นที่ 9 เป็นขีดจำกัดแล้ว หากเขาต้องการที่จะบรรลุขั้นและทะลวงไปยังขอบเขตอนันตะมรรคาในคราวเดียว เขาต้องเข้าใจกฎของอนันตะมรรคาก่อน…”
“ตอนนี้ ขึ้นอยู่กับเขาแล้วว่าจะสามารถเข้าใจพลังแห่งกฎก่อนที่การหล่อเลี้ยงจากฟ้าดินจะสิ้นสุดลงได้หรือไม่”
ทุกคนต่างกระวนกระวายใจ เฝ้ารอการทะลวงผ่านขอบเขตอนันตะมรรคของศิษย์คนแรกของสำนักเยียวยาสวรรค์
และบุคคลนี้ควรจะเป็นหลิวชิงเฟิง
หลังจากระดับการบ่มเพาะของเขาเข้าสู่ขอบเขตสวรรค์ขั้นที่ 9 หลิวชิงเฟิงก็เริ่มควบคุมหัวใจเต๋าของเขาและทำความเข้าใจพลังแห่งกฎ
ไม่มีใครกล้าส่งเสียงดังรบกวนเพราะกลัวว่าจะรบกวนเขา
ในขณะนี้ เย่ชิวค่อย ๆ ลอยไปด้านข้างและกล่าวอย่างใจเย็น
“สรรพสิ่งทั้งปวงใต้ฟ้าดินล้วนมีตัวตนหรืออาจไม่มีตัวตน…”
“การหลอมรวมของหยินและหยางคือการควบคุมโดยสมบูรณ์แบบของจักรวาล”
“สิบปีรู้แจ้งการผันแปรสี่ฤดู ร้อยปีรู้แจ้งการเกิด แก่ เจ็บ ตาย พันปีรู้แจ้งเปลี่ยนแปลงของราชวงศ์ ทุกอย่างล้วนมีกฎ”
“กฎที่ว่าเป็นเพียงการไหลเวียนระหว่างฝ่ามือทั้งสองมือ ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติเท่านั้นถึงจะกลายเป็นวิถีเต๋าที่ดีที่สุด”
เสียงของมหาเต๋าดังเข้ามาในหูของหลิวชิงเฟิง ทันใดนั้นน้ำพุวิญญาณในร่างกายของเขาก็พลิกกลับราวกับจักรวาลพลิกตัว มีพลังพิเศษไหลเวียนอยู่ระหว่างนิ้วทั้งสองของเขาอย่างช้า ๆ
“มันจบแล้วหรือ…”
ทุกคนตกตะลึงอย่างถึงที่สุด เย่ชิวกล่าวเพียงสองสามคำเพื่อชี้แนะหลิวชิงเฟิงไปสู่ขอบเขตแห่งกฎ
ในที่สุดเมื่อการตรัสรู้สิ้นสุดลง เขาก็ได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตอนันตะมรรคาได้สำเร็จ
ปัง…
เสียงโครมครามดังมาจากร่างกายของเขา ในชั่วพริบตา กลิ่นอายอนันตะมรรคาก็พุ่งกระจายออกไปทั่วสารทิศ
ทุกคนตกใจเป็นอย่างมาก พวกเขาเห็นหลิวชิงเฟิงกำลังตื่นขึ้นอย่างช้า ๆ เพราะเขาเพิ่งทะลวงผ่าน เขาจึงยังไม่สามารถควบคุมพลังในร่างกายของเขาได้สมบูรณ์ บังเอิญปลดปล่อยพลังอำนาจที่น่าอัศจรรย์ออกมาโดยไม่รู้ตัว
โชคดีที่มีเย่ชิวอยู่เคียงข้าง เย่ชิวกดมือขวาลงเบา ๆ
หลังจากตื่นขึ้น หลิวชิงเฟิงก็โค้งคำนับทันที “ขอบคุณคำชี้แนะจากอาจารย์ลุงเย่”
หลิวชิงเฟิงรู้สึกตื่นเต้นอย่างมากในขณะนี้ เขาได้ทะลวงไปยังขอบเขตอนันตะมรรคาในคราวเดียวและกลายเป็นอัจฉริยะของดินแดนรกร้างได้สำเร็จ เขารู้ดีว่าหากไม่ใช่เพราะคำพูดของเย่ชิว เขาคงไม่สามารถเข้าใจหรือทะลวงผ่านขอบเขตอนันตะมรรคาได้
ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าเหตุใดศิษย์ของขุนเขาเมฆาม่วงจึงมีความโดดเด่นเช่นนี้ เนื่องจากมีอาจารย์คอยแนะนำพวกเขาแบบตัวต่อตัว ความก้าวหน้าเช่นนี้จึงเป็นเรื่องปกติ
หลิวชิงเฟิงไม่ได้สังเกตเลยว่ามุมปากของเมิ่งเทียนเจิ้งกระตุกและบูดบึ้งเป็นอย่างมาก เจ้าไม่เห็นหัวอาจารย์ของเจ้าเลยหรือ
แม้ว่าเขาจะรู้สึกหดหู่เล็กน้อย ทว่าเมิ่งเทียนเจิ้งก็ยังคงพอใจมากกับความก้าวหน้าของเขา
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หลิวชิงเฟิงก็ยังคงเป็นศิษย์คนโตของขุนเขาแรก ยิ่งเขาโดดเด่นมากเท่าไหร่ เมิ่งเทียนเจิ้งก็ยิ่งพอใจมากขึ้นเท่านั้น
“เอาล่ะ ลุกขึ้น! ความก้าวหน้าของเจ้าล้วนเกิดจากตัวเจ้าเอง หากไม่ใช่เพราะความสามารถในการทำความเข้าใจที่สูงมากของเจ้า ทุกสิ่งคงไร้ประโยชน์ไม่ว่าข้าจะกล่าวอันใดออกมา” เย่ชิวกล่าวอย่างใจเย็น
ตอนนี้คงไม่มีใครสงสัยในความสามารถของเขาในการสั่งสอนศิษย์ของเขา แม้แต่ เมิ่งเทียนเจิ้งก็ไม่สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์เช่นนี้ได้ นับประสาอะไรกับคนอื่น ๆ
หลิวชิงเฟิงลุกขึ้นยืนพร้อมสีหน้าที่สดใส เขาทักทายอาจารย์ของเขาก่อนแล้วจึงโค้งคำนับให้กับปรมาจารย์ขุนเขาคนอื่น ๆ
การกระทำของเย่ชิวที่เป็นคนสบาย ๆ มีอิสระและมั่นคงนั้นทำให้เขาแตกต่างจากชายหนุ่มที่ต้องการชื่อเสียงอย่างสิ้นเชิง
ทุกคนมองต่างหน้ากันแล้วยกย่องเขาในใจ
“ฮ่าฮ่า ศิษย์น้อง เจ้ายังคงสงบไม่เปลี่ยนแปลง กล่าวเพียงสองสามคำก็ทำให้บรรลุมหาเต๋า วันนี้ทำให้วิสัยทัศน์ของข้าเพิ่มขึ้นไม่น้อย” หยางอู๋ตี๋รู้สึกปราบปลื้มใจ เนื่องจากเรื่องในวันนี้ ทัศนคติของเขาที่มีต่อเย่ชิวจึงเปลี่ยนไปอย่างมาก ราวกับพลิกหน้ามือเป็นหลังมือกว่าได้
เนื่องจากพวกเขาไม่มีความเกลียดชังอย่างลึกซึ้งระหว่างปรมาจารย์ขุนเขาทั้งเจ็ด พวกเขาเพียงไม่อยากด้อยกว่าใครเพราะเชื่อมั่นใจฝีมือตนเอง อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาได้พบกับผู้ที่เก่งกาจกว่ามาก เหล่าปรมาจารย์ก็ไม่ได้ปิดบังความชื่นชมไว้
เย่ชิวยิ้มและกล่าวอย่างถ่อมตัวว่า “ศิษย์พี่หยางอย่ากล่าวเช่นนั้นเลย นี่เป็นแค่เรื่องเล็กน้อย”
“นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ศิษย์น้อง เมื่อไหร่เจ้าจะชี้แนะข้าบ้าง” หมิงเยว่ยิ้มอย่างมีเลศนัย
เย่ชิว มองไปยังนางและตัวสั่น
“โอ้ ข้าจะไม่กล้ายอมรับคำขอของศิษย์พี่หญิงได้อย่างไรกัน เหตุใดเราไม่หาวันที่และหาสถานที่ในการพูดคุยในภายหลัง” เย่ชิวกระซิบข้างหูของนาง
หมิงเยว่หน้าแดงราวกับลูกมะเขือเทศเมื่อได้ยินสิ่งนี้ นางแอบดีใจแต่ไม่กล้าแสดงออกมา เพราะเกรงว่าคนอื่นจะเข้าใจผิด นางปิดปากและหัวเราะเบา ๆ “เอาล่ะ เช่นนั้นไว้คุยกันในวันหลัง”
“ใช่แล้ว ไว้วันหลัง…”
ในอีกด้านหนึ่ง ฉีอู๋ฮุ่ยที่เงียบมานานได้เดินตรงไปยังหลิวชิงเฟิง
“อาจารย์ลุงมีอะไรหรือไม่” หลิวชิงเฟิงงงงวย ทว่าฉีอู๋ฮุ่ยได้ยื่นมือออกมาเพื่อตรวจสอบหลิวชิงเฟิง
“ขอบเขตอนันตะมรรคาขั้นที่ 1! นี่เป็นเรื่องจริง…”
ฉีอู๋ฮุ่ยขบฟันและหันกลับมาชำเลืองมองไปยังจ้าวว่านเอ๋อและหลินชิงจู้ที่ยืนอยู่ตรงมุมอับอย่างระมัดระวัง
ในฐานะศิษย์ของขุนเขาแรก หลิวชิงเฟิงยืนฟังเพียงครู่เดียวก็ตรัสรู้แล้ว แล้วศิษย์ทั้งสองคนของขุนเขาเมฆาม่วงอยู่ในขอบเขตใดกัน
เขายังไม่ลืมการเดิมพันกับเย่ชิว ทว่าเขาอยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม เมื่อการลองยุทธเจ็ดขุนเขากำลังใกล้เข้ามา มันคงไม่เหมาะสมนักหากเขาไปถามระดับการบ่มเพาะของอีกฝ่ายเป็นการส่วนตัว หากทำเช่นนั้นคงเกรงว่าเขาจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ไม่น้อย
เมื่อการตรัสรู้สิ้นสุดลง ทุกคนก็เตรียมตัวกลับขุนเขา
เนื่องจากความก้าวหน้าของหลิวชิงเฟิงที่บรรลุขอบเขตอนันตะมรรคา ศิษย์จากทั้งเจ็ดขุนเขาต่างถูกกระตุ้นราวกับฉีดเลือดไก่ ทำให้พวกเขาก็เต็มไปด้วยแรงกระตุ้น
เนื่องจากศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักได้บรรลุขอบเขตอนันตะมรรคา ปรมาจารย์ขุนเขาของพวกเขาคงจะไม่ดีใจนักหากพวกเขาหย่อนยาน
เมิ่งเทียนเจิ้งมองไปยังสายตาที่แน่วแน่ของศิษย์เหล่านี้ด้วยความพึงพอใจและกล่าวกับเย่ชิวอย่างมีเลศนัยว่า “ฮ่าฮ่า วันนี้ศิษย์น้องของข้าได้เปิดโลกทัศน์ของข้าอย่างแท้จริง! กล่าวเพียงไม่กี่คำ เจ้าก็ได้มอบโอกาสให้ลูกศิษย์ของข้าตรัสรู้ เห็นได้ชัดว่าขอบเขตของศิษย์น้องเย่นั้นลึกล้ำมากขึ้นเรื่อย ๆ…”
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย
เย่ชิวกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “ศิษย์พี่เจ้าสำนักคงล้อข้าเล่นแล้ว ข้าเพียงแค่ฝึกฝนอย่างตั้งใจ ยังอยู่ห่างไกลกับคำว่าล้ำลึก”
ฉีอู๋ฮุ่ยหัวเราะเยาะ “ฮึ่ม มันก็แค่เรื่องบังเอิญ! การตรัสรู้เป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้ มันจะเกี่ยวข้องกับคนอื่นได้อย่างไร ศิษย์หลานชิงเฟิงพรสวรรค์ที่ดี สวรรค์จึงมีตา การตรัสรู้นี้เป็นเพียงรางวัลจากสวรรค์เท่านั้น แม้แต่ยอดฝีมือขอบเขตราชันยุทธก็ไม่สามารถได้รับโอกาสจากสวรรค์เช่นนี้ได้”
เย่ชิวหรี่ตามองไปยังเขา ...
ฉับพลัน
[ ติ๊ง… ]
[ ท่านช่วยลูกศิษย์ของท่านเข้าสู่การตรัสรู้ ได้กระตุ้นระบบตอบแทนหมื่นเท่า ]
นี่มัน สิ่งนี้สามารถกระตุ้นระบบได้เช่นกันหรือ